ซานซานกลับเข้าบ้านมาพร้อมม้วนกระดาษหมึกพู่กันครบครันก็ลงมือวาดภาพร่ายอักษรทันที
ภายในห้องหับอันคับแคบของเรือนไม้ไผ่ที่ทรุดโทรม มีสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นปล่อยผมดำขลับแผ่สยายเคลียไหล่ กำลังนั่งเขียนอักษรด้วยท่าทางขึงขัง เรียวนิ้วจับพู่กันอย่างมั่นคง ท่วงท่าทรงพลัง ทว่ายามสะบัดพู่กันกลับพลิ้วสบายคล้ายริ้วคลื่นของสายน้ำที่รินไหล ดวงตาที่หลุบลงเห็นเพียงแพขนตางามงอนบนดวงหน้าอ่อนหวาน แต่กระนั้นกลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวเฉียบคมเด่นชัด กลีบปากสีแดงเรื่อที่เม้มแน่นบ่งบอกได้ว่านางจริงจังปานใด
มุมห้องห่างออกมาเล็กน้อยมีบุรุษร่างใหญ่ยืนมองนางอย่างเย็นชา สายตาคล้ายจับผิดตลอดเวลา ใบหน้าไร้อารมณ์
จ้าวเหว่ยกอดอกมองซานซานอย่างเยือกเย็น สังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งใจเขียนอักษรประหนึ่งจะไปสอบจอหงวน จึงอดใจมิได้ สุดท้ายก็ถามเสียงต่ำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“หืม...”
ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายกดดัน แววตาทอประกายคมกริบ เอ่ยถามอีกครา
“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามิใช่ชิงหลิน” เขาหรี่ตา “ใครส่งเจ้ามา?”
“หา”
“ที่แท้มีเจตนาอะไร?”
“...”
ซานซานได้ยินก็ชะงักนิ่ง กะพริบตาปริบๆ อึ้งงันครู่ใหญ่
จ้าวเหว่ยจับสังเกตนางทุกกิริยา
เนิ่นนานทีเดียวกว่าซานซานจะได้สติ แต่แทนที่จะตระหนก นางกลับมีสีหน้าสงบ เอ่ยปากเนิบช้าว่า
“ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเรื่องราวเหลือเชื่อนับหมื่นนับพัน หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นก็คือเรื่องของข้า”
ยามเอ่ยยังจรดพู่กันเขียนอักษรไปด้วยท่วงท่าเบาสบาย ไม่มีวี่แววตื่นลนหรือกระวนกระวายแม้แต่น้อย ความสุขุมนุ่มลึกนี้ คือนิสัยของซานซาน
จ้าวเหว่ยยิ่งเพ่งพินิจแน่วนิ่ง แววตาลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีเขามิใช่คนที่นิยมพูดจามากมายกับใครง่ายๆ ยิ่งมีเส้นเสียงแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็ยิ่งทำตัวคล้ายกับเป็นใบ้ไปเช่นนี้ แต่กับซานซาน เขากำลังรู้สึกแตกต่าง จึงเอ่ยอีกว่า
“เจ้าเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ทั้งยังไม่ประสีประสา ใครๆ ต่างก็มองว่าเจ้าเป็นตัวโง่งมประจำหมู่บ้าน หรือที่ผ่านมา เจ้าแค่เสแสร้งแกล้งทำ ให้ผู้คนดูแคลน เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ”
ซานซานได้ฟังถึงกับหลุดยิ้ม แต่มือยังเขียนอักษร พลางเอ่ยคำเรียบเรื่อย “เหย่หนิวของข้ารูปร่างสูงใหญ่สง่างามเป็นเอก เคยมีฝีมือเชิงยุทธ์สูงส่งแต่กลับถูกทำลายวรยุทธ์ไปสิ้น จนต้องมาหลบเร้นซ่อนกายที่นี่”
ประโยคนี้ทำเอาจ้าวเหว่ยขมวดคิ้ววูบ
หญิงสาววางพู่กัน ยกกระดาษขึ้นเป่าเพื่อให้น้ำหมึกแห้ง แล้ววางเอาไว้เบื้องหน้าแผ่วเบา หยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาจรดพู่กันเขียนต่อ ยังไม่ลืมช้อนสายตามองสามีแวบหนึ่ง ก่อนส่งเสียงออดอ้อนว่า
“ตัวข้าไม่มีสิ่งใดปกปิดและก็ไม่มีสิ่งใดจะบอกกล่าว ในเมื่อท่านเองยังมีเรื่องราวมิอาจเผย และข้าก็ไม่คิดถาม เหตุใดเราสองไม่ลืมทุกอย่างในอดีตไปเสีย แล้วอยู่ร่วมกันด้วยดีเล่า”
ถ้อยวาจาของซานซานแทนที่จะทำให้จ้าวเหว่ยโกรธกรุ่น แต่เขากลับนึกขัน ถึงแม้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นยังคงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ หากแต่ในอกกลับรู้สึกพึงพอใจไม่เบา
เขาจึงไม่คิดถามอีก เพียงขยับกายเตรียมเดินจากไปด้วยท่าทางเรียบนิ่ง พลางเอ่ย “เจ้าคงหิวแล้วกระมัง”
หญิงสาวได้ยินพลันชะงักเล็กน้อย นางกำลังสัมผัสได้ว่าสามีที่แสนจะเย็นชา เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
“อืม...ข้าอยากกินโจ๊กปลา”
“วันนี้ไม่มีปลา มีแต่เนื้อกวาง”
“หือ...เนื้อกวางเชียวรึ?” ซานซานตาโต “ยามบ่ายท่านพี่ให้ข้าไปขายไก่กับกระต่าย ที่แท้ก็เหลือเนื้อกวางไว้รึ?”
จ้าวเหว่ยไม่ตอบแต่สั่งเสียงเย็น “เจ้าไปก่อไฟ”
“อา...ได้เลยๆ”
หญิงสาววางพู่กันแล้วลุกขึ้น เดินตามแผ่นหลังสามีทันที
“เหย่หนิวของข้าช่างรู้ใจเหลือเกิน ข้าเบื่อปลาจะแย่ ได้กินเนื้อเสียบ้างจะได้เพิ่มกำลังวังชา” กล่าวจบก็หัวเราะเสียงใส เบิกบานใจยิ่ง
ชายหนุ่มมิได้ต่อคำ เพียงเดินออกมายังลานหน้าบ้านแล้วจัดการกับเนื้อกวางด้วยท่าทางเรียบเฉย คล้ายไม่ใส่ใจกับใครอีกเลย มีเพียงอีกฝ่ายที่เจื้อยแจ้วไม่หยุด
“เหย่หนิว ท่านก็ควรกินให้มาก”
“เจ้าคงไม่คิดวางยาพิษข้ากระมัง”
“โอว...ทุกเจตนาของข้า ล้วนดีแน่นอน”
โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ว่าบัดนี้เรือนไม้ไผ่เก่าคร่ำ คล้ายกับมีเส้นสายสีรุ้งแสนหวานกำลังถักทออยู่เต็มพื้นที่
นัยน์ตาคมดำที่เคยเฉยชาไร้เงาร่างสตรีใดของบุรุษหนุ่ม ค่อยๆ มีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งซึมลึกอยู่ด้านใน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่เขามองนางด้วยสายตาเฉกเช่นสามีมองภรรยา...
ยิ่งดึกลมราตรียิ่งพัดพลิ้ว ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำเนื่องจากวุ่นวายทั้งวัน ตกเย็นยังกินเนื้อเสียจนแน่นท้อง พอพลบค่ำมาหนังตาจึงหนักอึ้ง ซานซานยามนี้จึงหลับใหลประดุจตายไปแล้วบนเตียงเย็นเยียบที่มีผ้าห่มเพียงหนึ่งผืน กำลังมีสตรีนอนพริ้มตาคล้ายสิ้นสติ โดยมีบุรุษนอนขมวดคิ้วจ้องมอง“เจ้าตัวยุ่ง!”จ้าวเหว่ยบ่นออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปรกเนินอกของซานซาน ปล่อยนางได้หนุนท่อนแขน ซุกซบอกอุ่นของเขาไปเช่นนั้นบนเตียงไม่เล็กไม่ใหญ่จึงมีภรรยากำลังนอนกอดก่ายสามีแล้วหลับฝันดีที่สุดในใต้หล้า หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า แววตาที่มองนาง กำลังเต็มไปด้วยรอยยิ้มชายผู้หนึ่งซึ่งสูงส่งตั้งแต่เกิด เป็นโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังมีรูปโฉมที่ล้ำเลิศงดงามเป็นเอก แต่ไหนแต่ไรมา มีสตรีนับไม่ถ้วนอยากชิดใกล้ อยากสนิทสนม อยากแม้กระทั่งถูกครอบครองทว่าเมื่อต้องปลอมตัวซ่อนกาย แปลงโฉมเป็นชายอัปลักษณ์ อย่าว่าแต่ตีสนิทเพื่อแนบชิดเลย แม้แต่หางตาพวกนางยังไม่เหลียวมอง สำหรับคู่ชีวิตที่สามารถยืนหยัดประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งกระทั่งแก่เฒ่า พวกเขาล้วนต้องยอมรับกันและกันได้หมดทุกสิ่ง ไม่ว่าด้านดีห
ยามสายของวันต่อมา เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้ แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หา
เช้าวันต่อมาซานซานแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวาน เตรียมตัวออกนอกบ้านเพื่อไปตลาด เป้าหมายคือติดต่อช่างไม้ ให้ประกอบเครื่องเรือนตามต้องการ เงินที่ได้มาเมื่อวานยังเหลือไว้ซื้อเครื่องเงินบางอย่าง ที่มิใช่เครื่องประดับ แต่กลับนำมาทำเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังยามครุ่นคิด ดวงตาหญิงสาวทอประกายชั่วร้ายแวบหนึ่งชั่วจังหวะนั้น พลันถูกนิ้วดีดหน้าผาก “อ่ะ!”“คิดจะทำอะไรอีก?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ ลดมือตนที่เคาะหน้าผากมนของซานซานเมื่อครู่ลงมาบีบแก้มอีกหนึ่งที“อ๊ะ!” เจ้าของแก้มอุทานเล็กน้อย เอ่ยตอบอู้อี้ “ข้าจะไปสั่งทำเตียงอรหันต์ กับฉากไม้กั้นลม แล้วก็เดินซื้อของหลายอย่าง”ชายหนุ่มเลิกคิ้วหรี่ตามอง “เจ้าควรเว้นระยะสักหลายวัน ให้เรื่องหมอหญิงปริศนาซาลงก่อน แล้วค่อยไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย น่าจะปลอดภัยมากกว่า”เขาปล่อยนิ้วจากแก้มนวลแล้วสั่งเสียงเย็น“ระหว่างนี้ควรละลายยาแก้พิษทั้งหมดใส่ต้นน้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเกิดโดนพิษขึ้นมาอีก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังถึงกับเบิกตาส่งยิ้มแห้ง “อ้อ...ข้าลืมไป”จ้าวเหว่ยทำเสียงดุ “นึกได้แล้วก็ไปจัดการเสียเดี๋ยวนี้”“รู้แล้ว...”ชายหนุ่มยังสั่ง “เสร็จแล้วก็มากิน
หลังจากกินข้าวจนอิ่มหนำ ซานซานที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นตัวเต็มที่ ยิ่งดึกยิ่งสว่างกระจ่างตา ทำตัวราวกับค้างคาวออกหากินกลางคืนซานซานพาจ้าวเหว่ยมานั่งนับดาวอยู่ริมธาร บรรยากาศนับว่าดีไม่น้อย เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาให้พากันดื่มด่ำค่ำคืนแสนหวาน ร่วมชื่นชมจันทรางดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาล มีเพียงแสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์กระจ่างกลางนภากว้าง สีเงินยวงสาดแสงลงมากระทบเรือนร่างบุรุษและสตรีที่นั่งเคียงข้างกัน เกิดเป็นเงาสองสายทอดยาวไปตามพื้นหญ้าพวกเขาต่างก็มีความลับซ่อนเร้น หากแต่การแสดงออกซึ่งหน้ากลับไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทั้งกิริยาวาจาล้วนเปิดเผยและจริงใจ นับเป็นสัมพันธ์ที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่งซานซานนั่งมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย บนนั้นมีจันทร์เสี้ยวคล้ายดาบโค้ง หนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลานุภาพของนางในชาติที่แล้ว“เหย่หนิวรู้จักดาบแสงจันทร์หรือไม่?” หญิงสาวพึมพำ“ดาบแสงจันทร์หรือ?”“อืม...ยังมีดาบวงเดือน แส้หนังโลหิต กระบี่สุริยา กำไลเข็มพิษ วงแหวนพิฆาต ง้าวเหล็กจันทร์เสี้ยว กระบี่สายรัดเอว”อันที่จริงยังมีอีกมาก ชาติก่อนซานซานสามารถเปลี่ยนสิ่งของรอบกายให้กลายเป็นอาวุธร้ายได้ไม่ยากเย
เพราะว่าวันนี้ทั้งวันยังมิได้ออกแรงทำอะไรเลย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงนอน และที่สำคัญครั้งก่อนคนที่เข้าหอกับสามี มิใช่นางที่เป็นซานซาน แต่เป็นชิงหลินก่อนตายต่างหาก“คิดอะไรอยู่?”เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับดังมาจากสวรรค์ ฟังแล้วให้รู้สึกทุ้มนุ่มน่าฟังอย่างประหลาดซานซานจึงตอบกลับอย่างเผลอไผล“ข้ากำลังคิดว่าอยากเข้าหอกับท่านอีกครั้งจะได้ไหม?”สิ้นคำถาม พลันได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะในลำคอ“ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้”ซานซานพยักหน้าถี่ๆ ดั่งนกกระสา ฉับพลันก็รู้สึกว่าเอวถูกรัดแน่น เห็นดวงตาของสามีชัดเจนนักแม้ว่าใบหน้าเขาจักอัปลักษณ์ ทว่าดวงตากลับเรียวคมทรงพลัง แฝงไปด้วยเสน่ห์มนต์มารอันร้อนแรงที่แสนจะเย้ายวน ยามมองสบสายตายิ่งชวนประหวั่นพรั่นพรึงและหลงใหลได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว กลีบปากนางพลันถูกแตะแต้มแผ่วเบา คล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาอ่อนนุ่ม ซานซานเผลอไผลกระทั่งถูกเรียวปากเขาขบเม้มเนิ่นนานก็ยังไม่รู้ตัวสายลมราตรีพัดผ่าน ฝากความเย็นเยียบเอาไว้รอบทิศ ทว่ากายสาวกลับรู้สึกร้อนผะผ่าวยากระงับริมฝีปากที่ขยับแนบชิดยิ่งนานยิ่งดุดันและร้อนกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจรินรดยิ่งร้อนระอุไม่ต่างจากห
เดือนห้า หลังหยาดพิรุณร่วงโรย ท้องฟ้าก็สดใส บุปผายิ่งบานสะพรั่ง หยดน้ำบนยอดหญ้าล้วนพร่างพราว ดุจดวงดาวเฉิดฉายยามกลางวันถนนดินที่เคยแห้งแดงแตกระแหง บัดนี้คล้ายสีทองอร่าม โชยกลิ่นอายแห่งชนบทของหมู่บ้านผิงเหยียนเต็มเปี่ยมเรือนไม้ไผ่โดดเดี่ยวท้ายหมู่บ้าน ที่เคยแห้งกร้านขาดความสดชื่น ยามนี้มีสวนผักอยู่ด้านข้าง เติบโตอวบอ้วน ยิ่งช่วงหลังฝนซาฟ้าโปร่ง ยิ่งเผยความชุ่มฉ่ำคล้ายมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้คนเก็บกินอีกฟากหนึ่งเป็นลำธารใสกระจ่าง ผิวน้ำดุจคันฉ่องต้องแสงตะวัน ส่องประกายระยิบระยับทอดยาวไปไกลลิบ หมู่ปลาหลากสีแหวกว่าย ล่อตาล่อใจ คล้ายภาพมายา ให้ผู้คนจ้องมองภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายอันใสซื่อ ทันใดนั้น ไม้ไผ่ปลายแหลมพลันพุ่งพรวด รวดเดียวก็ปักทะลุลำตัวปลาได้นับสิบซานซานเดินลงน้ำมาหยิบไม้ท่อนนั้นแล้วยกขึ้นสูงเหนือศีรษะเพื่อโอ้อวดใครบางคนบนริมฝั่งพลางส่งยิ้มเบิกบานจ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองอยู่ริมตลิ่ง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา “เจ้าใจร้อนเกินไป”หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเห็นท่านนั่งตกอยู่เป็นนาน ได้แค่ไม่กี่ตัวนี่” กล่าวพลางขึ้นจากน้ำยื่นไม้ให้อีกฝ่ายชายหนุ่มรับไม้จากมือนางมาถือไว้เอง ปากยังเอ่
คืนวันของสามีภรรยาผ่านพ้นไปอย่างสงบ มีชีวิตดั่งภาพฝันอันยาวนาน คล้ายไร้จุดสิ้นสุดแห่งความสุขหลังผ่านความเร่าร้อนมาครึ่งค่อนราตรี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงสตรีก็แหบแห้งเสียแล้ว ทว่าความร้อนแรงแห่งไฟพิศวาสในแววตากลับไม่ลดทอนลงเลย“อา...เหย่หนิว”ซานซานแหงนหน้าส่งเสียงหวิวแผ่ว ฝ่ามือเรียวเลื่อนจากเอวสอบขึ้นมาลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้าง สัมผัสหยาดเหงื่อพราวพร่างที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านช่องลมเข้ามาในห้องนอน“หืม...” จ้าวเหว่ยพรมจูบดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ขบเม้มลงต่ำไปเรื่อยๆ ที่ลำคอระหงและหน้าอกกลมกลึง ฝ่ามือยังกอบกุมที่เอวคอดกิ่วอย่างถนอม ขยับกลางลำตัวอย่างนุ่มนวล มิให้เสียจังหวะรัญจวนเลยแม้นิดเดียว“ไยท่านถึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก หายดีแล้วหรือไร?”บุรุษเหนือร่างไม่ตอบ เพียงถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาวผ่อง ทอดมองนางด้วยแววตาชวนหวามไหว แล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นนุ่ม ตวัดปลายลิ้นร้อนชื้นหยุดวาจานางสตรีใต้ร่างทำได้เพียงพริ้มตา ตอบรับเพลิงปรารถนาที่สามีเป็นผู้มอบให้เสียงกดจูบของกลีบปากจึงดังผสานกับเสียงบดเบียดสอดประสานกลางลำตัว...ซานซานไม่คาดคิดเลยว่า ในชีวิตจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับใครได้แนบ
ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไกลลิบ อู๋เจี๋ยยืนก้มหน้านิ่งขึง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงร้อนรน“องค์ชายโปรดพิจารณา หากพระองค์ยังยื้ออยู่เช่นนี้ พวกนักฆ่าตามมาจนเจอย่อมอันตรายถึงชีวิต การพานางไปด้วยยิ่งมิใช่ผลดี ชิงหลินผู้นี้มิได้มีค่าให้พระองค์ใส่ใจ นางคือตัวถ่วง”“องครักษ์อู๋...”น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมปราณสังหารหนาวสะท้านเช่นนี้ อู๋เจี๋ยไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จึงสงบปากทันทีจ้าวเหว่ยยืนหันหลังให้องครักษ์คนสนิท เหม่อมองออกไปยังม่านมืดของราตรีอันไกลโพ้น นับหลายพันลี้จากจุดนี้คือวังหลวงอันวุ่นวายร้อนระอุ เป็นสถานที่ที่ไม่ควรก้าวย่างเข้าไป แต่จำต้องเหยียบย่ำมิอาจถอนเท้าหรือถอยหลังแม้ครึ่งก้าวเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหากกงหนิวผู้อัปลักษณ์ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริง การตามล่าย่อมมีมาอย่างช่วยมิได้ชายหนุ่มหลุบตาครุ่นคิด หลายวันมานี้ร่างกายอ่อนแอของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก กำลังวังชายิ่งปรับสมดุลผสานลมปราณได้ดี อีกไม่นานย่อมฝึกฝนเพลงยุทธ์เหนือชั้นได้ไม่ยาก‘เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชากัน’เสียงของซานซานยังคงสะท้อนก้องให้ห้วงโสตจ้า
ซานซานยืดตัวหลังตรงยกมือกอดอก ม่านตาดำยิ่งนานยิ่งหรี่แคบ นางกล่าวต่อด้วยสุ้มเสียงเย็นเยียบไปทางอู๋เจี๋ย“วันนี้ที่มา ข้ามิได้มาเยี่ยมเจ้าเฉยๆ หรอกนะ แต่ข้ามาเพื่อบอกกล่าวข่าวดีแก่เจ้า”บุรุษทั้งสองตั้งใจฟังยิ่ง คนหนึ่งยืนอีกมุม คนหนึ่งยืนกลางห้องขัง ตัวเกร็งไปหมดซานซานกวาดตามองเยือกเย็น จับสังเกตทุกกิริยาร่างระหงสืบเท้าเนิบนาบดุจวิญญาณร้ายเข้ามาเดินเล่นวนเวียนรอบกายเหม็นสาบเพราะมิได้อาบน้ำของอู๋เจี๋ย“ข้ามีสามีใหม่แล้ว”“หา!”น้ำเสียงแว่วหวานดังเรียบเรื่อยเท่านั้น ทว่ากลับคล้ายมีฟ้าถล่มผาทลายลงตรงหน้า อู๋เจี๋ยอุทานดังลั่น ดวงตายิ่งเบิกโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า“เจ้าว่าอะไรนะ?”ซานซานขยับยิ้มกว้าง “สามีใหม่ของข้า เขาทั้งหล่อเหลาและมีเสน่ห์ยิ่งนัก บทรักของเขาก็ร้อนแรงเหลือเกิน แล้วยัง...”“หยุด!”อู๋เจี๋ยคำรามก้องจนสะท้อนห้องขัง แต่ทหารยามไม่มีใครได้ยินสักคน องครักษ์หนุ่มสืบเท้าเข้าหาซานซานทันที“เจ้า...”หญิงสาวเลิกคิ้วสูง แววตาท้าทาย ได้ยินชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าอย่างขาดสติว่า“เจ้ากล้ามีสามีใหม่รึ ได้อย่างไร บังอาจยิ่ง ผิดมหันต์นัก ข้า...ข้าจะทูลรัชทายาทให้จัดการเจ้า”ซานซานแค่นเสียงเฮอะ
ฉับพลันในห้วงภวังค์ของซานซานก็มีอู๋เจี๋ยแทรกเข้ามา องครักษ์หนุ่มผู้เป็นสามีของนางขณะเดียวกันก็มีใบหน้าของซูเหยา สตรีอ่อนแอที่คุกเข่าทั้งน้ำตาต่อหน้า ไหล่บอบบางสั่นไหวเพราะร่ำไห้เสียใจสุดแสน ปากยังขอร้องแทนบุรุษไม่หยุด เล่ห์เหลี่ยมยิ่งไม่มีให้เห็นวันที่ประจันหน้ากับอู๋เจี๋ย สายตาของเขายามมองนางกับมองซูเหยาต่างกันในแววตาที่มองนางมีเพียงความหวาดกลัวและรู้สึกผิด แต่แววตาที่มองซูเหยากลับมีความรู้สึกผิดและความรักท่วมท้นพวกเขารักกันมาก่อน ทั้งยังรักกันปานนั้นหากนางไม่ตัดใจ ย่อมมิใช่คนแล้ว...หญิงสาวยิ่งครุ่นคิดหนักหน่วง นางพยายามนึกถึงอู๋เจี๋ยทว่ายิ่งเพ่งพินิจนึกถึงภาพอู๋เจี๋ย ซานซานยิ่งสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง ลักษณะท่าทางยังคล้ายคนแปลกหน้า ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด หากแต่เหตุการณ์เมื่อคืนกับรัชทายาทจ้าวเหว่ยกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งยังมีประโยคเด่นชัดในห้วงฝันนั่นอีก!คิดไปคิดมาก็พลันนึกถึงฉากรักกับจ้าวเหว่ยคิดถึงลีลากอดเกี่ยวโอบกระหวัด ท่วงท่าต่างๆ ยามรึงรัด รสสัมผัสเคล้นคลึงจากฝ่ามือหนา วงแขนแข็งแรงที่กกกอด ยามประทับจุมพิต ทิศทางการไล้แผ่วปลายนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าใบหน้าหล่อเหลาป
หลี่กุ้ยเฟยถอนหายใจหนักอก แล้วเอ่ยตามตรง“อาซาน ฐานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยด้อยศักดิ์เกินไป ทั้งนิสัยใจคอของเจ้ายังร้ายกาจเกินไป ข้าไม่อาจให้เจ้าพลาดพลั้งถลำใจไปกับเสน่หาอันลึกล้ำของรัชทายาทได้ หากเจ้าชอบเขามากๆ แล้วพระชายาในภายภาคหน้าของเขาจะเป็นเช่นไร มิเหลือแต่ซากรึ?”“...!?”ประโยคที่ได้ยินทำผู้ฟังแปลกใจจนเลิกคิ้วสูง นึกฉงนไม่น้อย ได้ยินพระนางกล่าวอีกว่า“ข้ามั่นใจว่า สตรีที่จะได้เป็นพระชายาของเขา ย่อมต้องเป็นสตรีหนึ่งเดียวในดวงใจแน่ เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูหัวใจกับนาง”“...!?”“เอาล่ะๆ เมื่อคืนเจ้าทำดีแล้วแต่อารมณ์กำหนัดของบุรุษข้าเองก็ไม่ควรเพิกเฉย หากปล่อยปละละเลยอาจป่วยไข้เอาได้ จำไว้ว่าต่อให้เจ้าได้ปรนนิบัติบุตรชายข้า ก็อย่าได้คิดเกินเลยกว่าฐานะสาวใช้อุ่นเตียง และอย่าเข้าใกล้หากไม่จำเป็น เขารูปงามปานนั้น สูงส่งน่าหลงใหล เจ้าทนทานมิให้บังเกิดรักปักใจต่อเขามิได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าต้องลำบากแน่ๆ”“...!?”ซานซานรับฟังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หมดคำใดจะเอื้อนเอ่ย ได้ยินหลี่กุ้ยเฟยเอ่ยย้ำอีกครั้ง“ไปคัดกฎระเบียบราชวังหนึ่งร้อยจบ อย่าให้ใครครหาเอาได้ว่าเจ้าใช้ความโปรดปรานข
ชาติก่อนซานซานคือนางมารจอมชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชาตินี้นับว่าเป็นคนดีมากนัก เหลือไม่ดีอีกเล็กน้อยเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นเรื่องนี้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับบุตรชายสุดที่รักของเจ้านาย ทำตัวคล้ายบ่าวหญิงแพศยาในเรือนขุนนางนอกวังไม่ผิดเพี้ยน เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวง หญิงรับใช้ใกล้ชิดของพระสนมยังแอบปีนเตียงฮ่องเต้เพื่อยกฐานะตน เพียงแต่ซานซานมิได้ต้องการฐานะอันใดให้ยุ่งยากซับซ้อน ขอแค่เงินทองเยอะๆยี่ซินตีหน้าขรึมเอ่ยเสียงเข้ม “อย่ามาโกหกเลย อาซาน เจ้ากล้าปฏิเสธรัชทายาทเชียวรึ?”“โอว...” ซานซานมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ไม่ปฏิเสธได้รึ?”ยี่ซินถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้านี่นะ”หลี่กุ้ยเฟยนั่งจิบชานิ่งฟังบทสนทนาด้วยสีหน้าเยือกเย็น รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของซานซานไม่เบา ได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบของคนสนิททั้งสองเกิดขึ้นต่อเนื่องว่า“พี่ซินๆ”“หืม?”“รัชทายาทมีนางกำนัลอุ่นเตียงเยอะหรือไม่?”“เจ้าถามทำไม?”“พระองค์ยังมิได้แต่งงาน แสดงว่ามีคนอุ่นเตียงเยอะแล้ว เช่นนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าไม่ควรเข้าไปเพิ่มจำนวนให้วุ่นวาย”“เหลวไหล!” ยี่ซินเริ่มเสียงดัง “รัชทายาทของพวกเราเป็นบุรุษที่หวงเ
แสงตะวันยามเช้าแผดกล้าร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่ควรไปดูแลบุตรสาวตัวน้อย อันสำคัญเหนืออื่นใดซานซานจึงส่ายศีรษะไล่ความง่วงงุนให้สิ้นไปแล้วลุกขึ้น ยังไม่ลืมทำลายหลักฐานบนเตียงนอน ที่บัดนี้โชยคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายวสันต์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลังร่วมรักส่วนยาห้ามครรภ์ แน่นอนว่าซานซานปรุงขึ้นได้ไม่ยาก และไม่มีใครรู้ด้วยนางจะทำเป็นยาลูกกลอนเม็ดกลมเล็กๆ จะได้พกพาสะดวกหลังจากล้างเนื้อตัวจนสะอาดหอมกรุ่น ยังไม่ลืมลบเลือนริ้วรอยฝากรักก่อนสวมใส่ชุดนางกำนัลเช่นเดิม ออกจากห้องมาหาบุตรสาว กินข้าวเช้าด้วยกัน คุยเล่นหยอกเย้า ชี้แนะทุกเรื่องราว พาไปส่งสำนักศึกษาประจำราชวัง ได้ร่ำเรียนร่วมกับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์เด็กๆ ในชั้นเดียวกันยังอายุน้อย ปัญหาปากเสียงกระทบกระเทียบระหว่างชนชั้นจึงไม่มี ลู่หลิ่งเข้ากับทุกคนได้ดียิ่งโดยเฉพาะองค์ชายห้า นามว่า ถังจ้าวสุนถังจ้าวสุนคือโอรสหนึ่งเดียวของฮองเฮาแห่งต้าถัง หลายครั้งที่ซานซานได้เห็น เด็กชายอ้วนท้วนอายุเพียงเจ็ดปีผู้นี้จูงมือหลิงเอ๋อร์ในวัยสี่ปีวิ่งเล่นไปทั่วอุทยาน หากรอดพ้นสายตานางกำนัลได้ ก็มักจะสลับกันผัดหน้าทาชาดสนุกสนาน บางวันยังมีน้ำมันหอ
ผู้ฝึกยุทธ์มักเปี่ยมกำลังวังชา การศึกครานี้จึงใช้เวลายาวนานนัก การทรมานอันสุขสมคล้ายนิรันดร์การเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างซานซานและจ้าวเหว่ย ยังคงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ นับตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เรือนริมธาร กระทั่งยามนี้ที่ตำหนักใน ความสัมพันธ์ทางกายสนิทสนมเยี่ยงนี้คล้ายโซ่ตรวนชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันทั้งสองเอาไว้จนยากจะคลายตัวลมราตรียังคงเย็นเยียบโชยผ่านเรือนพัก แต่ใครจะรู้ว่าเตียงในห้องๆ หนึ่งจักอุ่นร้อนเพียงใด จ้าวเหว่ยไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยซานซานเอาไว้ให้นอนคนเดียว กำลังวังชามากมายของเขาล้วนใช้ไปกับกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาทำเอาซานซานถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงหน้ามืดตาลายไปหมด หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้สูงส่งเลิศล้ำจักเป็นบุรุษเช่นนี้ ทำนางมึนงงสิ้นดี พอเสียทีได้ไหม?“หยุด...หยุดก่อน...” เส้นเสียงแหบแห้งเพราะผ่านการครวญครางนับครั้งไม่ถ้วนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ไม่ไหวแล้ว...”ขณะที่หยาดเหงื่อกำลังผุดพราย รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าบุรุษ จ้าวเหว่ยก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกโด่งสันหอมแก้มนางไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนมอบอิสระให้แก่ร่างอุ่นนุ่มโดยการปล่อยนางออกจากวงแขนร้อนผ่าวชื้นเหงื่อ แล
รัชทายาทหนุ่มไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดีซานซานยังคงคิดถึงชายอัปลักษณ์แม้ว่ากำลังร่วมรักกับชายงามสูงศักดิ์จ้าวเหว่ยรู้ดี ว่านางใต้ร่างมิได้รักเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองอู๋เจี๋ยที่คิดว่าเป็นเหย่หนิวก็ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เช่นกันก่อนหน้านี้ยามที่ประจันหน้า ทั้งแววตาทั้งท่าทาง เผยชัดแจ้งถึงความแค้นเคืองชิงชัง ไม่มีความหลังให้จดจำหวนคืนนางชัดเจนปานนั้น แต่กลับ…ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลายามก้มลงต่ำพร้อมลมหายใจหนักหน่วงรินรดข้างแก้ม ซานซานก็เริ่มจับกระแสความคิดของจ้าวเหว่ยได้เพราะใบหน้าใกล้กันถึงเพียงนี้ สายตาดำจัดของเขาร้อนแรงปานนั้น ราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริกไม่หยุด ทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนระคนแปลกใจเรียวคิ้วงามขมวดวูบ “ท่านได้ยินนี่”เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มพลันบังเกิด “ข้ามิได้หูหนวก”ซานซานยิ่งรู้สึกผิด “หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ”จ้าวเหว่ยหยุดขยับกาย แต่ยังรักษาความรู้สึกรัญจวนใจเอาไว้ด้วยการฝังนิ่งตรึงนาง ก้มหน้าหอมแก้มนวลแรงๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงสั่นพร่าอย่างใจดีว่า “เจ้าแก้ตัวด้วยการเรียกนามข้าได้”หญิงสาวเบือนหน้าหนี “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”ชายหนุ่มไม
บนเตียงนุ่มที่เริ่มอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร่างสองร่างเปล่าเปลือยกอดกระหวัดรัดรึงด้วยความทุลักทุเลเพราะฝ่ายสตรีไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มานานมาก ทั้งยังรู้สึกแปลกหน้ายิ่ง จึงตอบสนองเงอะงะพอควรจ้าวเหว่ยถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาว ในใจนึกเอ็นดูระคนสงสาร แต่ท่าทางตื่นเต้นของซานซานทำเขานึกอยากแกล้งอย่างที่สุด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะคลายวงแขนปลายจมูกโด่งสันไล่หอมแก้มนวลไม่หยุดยั้ง ริมฝีปากยังไล่จุมพิตไปทั่วใบหน้า ลำคอ เนินอก ทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไม่มีเกรงใจ จนซานซานต้องถอยร่นจนชิดผนังห้องข้างเตียงอย่างหมดท่าบุรุษยิ่งนานยิ่งรุกล้ำ จนใบหน้าขาวผ่องเนียนนุ่มยิ่งนานยิ่งเห่อแดงร้อนแรงกว่าถ่านไฟ กิริยาท่าทางดุจดรุณีวัยแรกแย้ม มิใช่จอมยุทธ์หญิงอีกต่อไป ซึ่งซานซานเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงได้กลายร่างเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปเช่นนี้จ้าวเหว่ยยังคงรุกไล่จุมพิตซานซานไปทั่ว ฝังใบหน้ากับหน้าอกอวบอิ่ม ดูดกลืนยอดถันชูชัน กระทั่งนางเขินอายจนพลิกตัวหันหลังให้เพื่อทำใจ เขาก็ยังไล่จูบนางทางด้านหลังประทับตราตั้งแต่เรือนผม ท้ายทอย หัวไหล่ แผ่นหลังนวลเนียนฝ่ามือร้อนลวกยังจับกระชับเอวคอดกิ่ว ลูบไล้วกวนตรงหน้าท้องแบนราบ จนซ
บรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายทันที จ้าวเหว่ยยิ้มอ่อน วงแขนยิ่งกระชับ “หากบอกว่าใช่”ซานซานให้รู้สึกขนลุกชูชัน “เราตกลงกันแล้วว่าไม่มีเรื่องงมงายไร้สาระ หากยังเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีหม่อมฉันคงไม่สะดวกแล้ว”จ้าวเหว่ยหัวเราะในลำคอเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้ากล้า”ซานซานแค่นยิ้ม “จ้องนาน สี่หีบ!”“...”สมเป็นนาง...ไม่ว่าเรื่องใดยิ่งไม่เคยนึกหวั่น นอกจากไม่กลัวหรือเขินอายยังกล้าท้าทาย...แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่มีทางปล่อยซานซานไปสามีที่ห่างเหินการร่วมรักกับภรรยาเนิ่นนานปี เมื่อเจอกันอีกทีไม่พุ่งกายเข้าใส่ก็คงมิใช่คนปกติเขายังไม่ลืมย้ำเสียงหนัก“เจ้าปรนนิบัติข้าได้แค่คนเดียว เข้าใจหรือไม่?”“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ รีบๆ ทำเถิด”แม้เอ่ยเช่นนั้น แต่ร่างระหงอ้อนแอ้นกลับนอนนิ่งแข็งทื่อบุรุษยกยิ้มเอ็นดูแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงจรดริมฝีปากตนกับนางแผ่วเบาคล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาซานซานพลันเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่ากลีบปากอีกฝ่ายร้อนมากๆ จนอาจจะลวกปากนางได้อึดใจก็เปลี่ยนเป็นกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกได้ถึงจุมพิตที่แนบแน่นยิ่งขึ้น ต่อมาก็กลายเป็นรุกล้ำแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรียวลิ้นร้อนชื้นตวัดออกมาจากปากชายเหนือร่างเข้า