LOGINชั่วจังหวะที่จางฉวนกำลังตกอยู่ในภวังค์อันเนิ่นนาน เสียงของชิงลี่ก็ดังแทรก
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่หลินกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่ใช่หรือไม่ เพราะได้แต่งงานกับสามียาจกอัปลักษณ์ พี่จึงต้องพัฒนาตนเองเพื่อสามี ผู้อื่นจะได้ไม่ดูถูกไปมากกว่านี้ ช่างดียิ่ง พี่หลิน ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวพี่มากเลย พี่คงรักกงหนิวมากสินะ”
กล่าวจบยังยกยิ้มน่ารัก ตอกย้ำเด่นชัดว่าชิงหลินตกต่ำ มีสามีต่ำตม ต้องเร่งพัฒนาตนเองให้ผุดขึ้นจากดินโคลน
ซานซานตอบรับเสียงเย็น “เรื่องของข้ากับสามีไม่ต้องให้ใครมาบอก ข้าย่อมรักและถนอมเขายิ่งกว่าผู้ใดอยู่แล้ว”
เรียวคิ้วคมจึงขมวดวูบ จางฉวนพลันรู้สึกไม่ชอบใจ
แต่ชิงลี่ได้ฟังยิ่งแช่มชื่น นางหันไปส่งยิ้มให้จางฉวนอย่างไร้เดียงสา เพื่อเป็นการดึงสติชายข้างกายกลับมา ก่อนหันไปมองชิงหลินอีกครั้ง ส่งเสียงสดใสอย่างต่อเนื่องอีกว่า
“พี่หลินทำเช่นนี้นับว่าดีแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าเองก็เป็นห่วงพี่อยู่มาก ก่อนหน้านี้พี่ทำผิดกับพี่ฉวนเอาไว้ ต่อไปพี่ต้องทำดีกับกงหนิวให้มาก จะได้เป็นการชดเชย”
กล่าวจบก็ส่งยิ้มสว่างไสว ดวงหน้าเรียวเล็กมีแต่ความจริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แต่ความหมายล้วนชัดเจน ว่าชิงหลินทำผิดกับจางฉวนแต่กลับทำเพื่อกงหนิว ช่างไร้ยางอาย
เป้าหมายของชิงลี่คือให้จางฉวนตระหนักในข้อนี้
สตรีตรงหน้ามีสามีแล้ว ชิงหลินถูกกงหนิวกลืนกินไปแล้ว
ยามนี้จางฉวนพลันมีแววตาดำคล้ำ สีหน้าบึ้งตึงทันใด นึกเสียดายอดีตคู่หมั้นขึ้นมาทันที
ชิงลี่หาได้ล่วงรู้หัวใจบุรุษไม่ ยังเอ่ยต่ออย่างย่ามใจว่า
“พี่หลินต้องรักกงหนิวให้มากๆ นะเจ้าคะ อย่าได้ทำผิดต่อสามีเชียว”
ประโยคนี้ยิ่งทำให้หางคิ้วของจางฉวนกระตุกไม่หยุด
ซานซานหาใช่สตรีผู้ชมชอบภาษาดอกไม้ นางคร้านจะฟังคำไร้สาระตรงหน้าจึงตอกกลับตรงๆ ว่า “เจ้าจะยุ่งกับข้าไปไย ในเมื่อข้าก็แต่งกับกงหนิวตามแผนการของพวกเจ้าแล้ว”
สิ้นประโยคนั้น ทุกสิ่งคล้ายหยุดชะงักไร้สรรพสำเนียง
ชิงลี่กับจางฉวนพลันนิ่งเงียบไป
ชิงลี่เป็นฝ่ายดึงสติกลับมาได้ก่อน จึงไม่คิดเชื่อหูตัวเอง นางไม่เชื่อหรอกว่าพี่สาวผู้โง่เขลาจะรู้อันใดมากไปกว่าที่ตนหลอกลวงเอาไว้ ท่าทางที่เปลี่ยนไปเช่นนี้คงถูกสามีอัปลักษณ์ทรมานจนสติหลุดกระมัง นางจึงยิ้มหยอกเย้าซ่อนนัยเยาะเย้ยว่า
“พี่สาวคงล้อเล่นแล้ว พี่อย่าได้พูดจาโป้ปดโทษฟ้าดิน สร้างเรื่องให้น้องเสียหายเช่นนี้เลย ชีวิตที่ลำบากยากเข็ญเป็นพี่สาวที่เลือกเอง จักโทษใครไม่ได้ ขอเพียงทำตัวให้ดี บางทีมลทินที่มีอาจลบล้างได้ ข้าย่อมช่วยลบคำสบประมาทนั้น ขอแค่พี่อย่าพูดจาเลอะเทอะเชียว”
นับได้ว่าเป็นการกำราบพี่สาวได้อย่างเหลือร้ายอยู่หมัด ชิงลี่บอกว่าสิ่งที่ชิงหลินพูดก่อนหน้าไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน
ซานซานหรี่ตามองหน้าชิงลี่นิ่งๆ ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำ มองตรงลำคอที่พ้นสาบเสื้อของอีกฝ่าย ซึ่งมีรอยแดงรำไร
เห็นได้ชัดว่าชายหญิงตรงหน้าคงเพิ่งเสร็จกิจมา
หลักฐานเต็มสองตายังกล้าตลบตะแลงสะบัดลิ้นไปเรื่อย
หญิงสาวนึกรำคาญการต่อคำอันไร้สาระกับสตรี เห็นทีคุยกับบุรุษน่าจะดีกว่า จึงเบนสายตาไปสนใจอดีตคู่หมั้นแทน
“พี่ฉวนไยไม่รีบแต่งงานกับน้องสาวข้าเสีย ท่านเพียรอุตส่าห์ลอบคบหากันเนิ่นนาน บัดนี้มิใช่สมควรพลอดรักได้เปิดเผยหรอกหรือ” นางเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อทีละคำอย่างไม่ไว้หน้า
“อ้อ...ข้าต้องขออภัยที่กล่าวผิดไป เห็นอยู่เต็มสองตาว่าพวกท่านกำลังเดินพลอดรักกันไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งยังสง่าผ่าเผยยิ่ง อา...แล้วเหตุใดไม่แต่งน้องสาวข้าเสียทีเล่า แล้วเยี่ยงนี้คำครหาทั้งหลาย จักลบล้างได้เยี่ยงไร ในเมื่อพี่สาวก็ทำชื่อเสียงของสกุลด่างพร้อยไปแล้วคนหนึ่ง น้องสาวข้าไฉนยังปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้บุรุษเชยชมผิดประเพณี”
ซานซานกล่าวยาวเหยียดทำเอาจางฉวนได้ฟังพลันชะงัก ส่วนชิงลี่เบิกตาโพลง
เดิมทีซานซานก็มิได้คิดจะเสวนากับอสรพิษทั้งสองนานเยี่ยงนี้ แต่น้องสาวแสนดีเริ่มก่อนจึงช่วยไม่ได้
แม้ว่าใบหน้ายังคงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ แต่ซานซานกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าอย่างกดดันต่อเนื่องว่า
“อันที่จริง ตัวข้าเองก็รู้ถึงความจำเป็นของพวกเจ้าดี เพราะหมู่บ้านของเรา น้องสาวไม่อาจแต่งก่อนพี่สาวได้ ถึงแม้พวกเจ้าจักรักกันลึกซึ้งถึงขั้นได้เสียแต่ยังต้องรอพี่คนนี้แต่งก่อน ทว่าท้ายที่สุดเมื่อแผนการผลักไสข้าได้เสร็จสิ้นอย่างสวยงามเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่รีบตบแต่งเสียเล่า”
นางหรี่ตาส่งเสียงเหยียด “หรือบุรุษชอบกินเล่นไปเรื่อยๆ ส่วนสตรียิ่งชอบเผื่อแผ่ไปอย่างนี้ อืม...เน่าเมื่อใดค่อยว่ากัน”
ชายหญิงตรงหน้ายิ่งอึ้งตะลึงค้าง
ซานซานยังไม่หยุด นางว่าต่อ “ในเมื่อข้าเปิดทางให้แล้ว พวกเจ้าย่อมพร้อมแต่งได้ทุกเมื่ออย่างไม่ต้องรู้สึกผิดอันใด แต่อย่าลืมเสียเล่า ต่อให้ผู้คนทั้งหลายมีดวงตามืดบอด ทว่าฟ้ารู้ดินรู้ ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร พวกเจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ละอายใจบ้างก็ดี ยามตายเป็นผีจะได้ไม่ถูกนรกสูบ”
จบคำก็แสยะยิ้มมุมปาก แววตาคมกริบ
ได้เป็นสตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนช่างดีกว่าสตรีชั้นสูงจริงๆ
ไม่ต้องรักษาจริต ระวังวาจา สะใจยิ่ง!
ชิงลี่ได้ฟังยิ่งหน้าเขียวคล้ำ โทสะลุกโชนในแววตา ไม่คิดว่าพี่สาวผู้ขลาดเขลาไร้ปากเสียงมาตลอด กลับมีวาจาร้ายกาจเยี่ยงนี้ นางจึงหันไปทางจางฉวน เห็นเขาเพียงยืนเงียบงัน ไม่เอ่ยวาจาสักคำ สองตายังมองชิงหลินอย่างตื่นตะลึง คล้ายกับได้เจอสิ่งอันน่าประทับใจ
แววตาของชิงลี่ยิ่งฉายแววชิงชังต่อชิงหลิน
ส่วนจางฉวนนั้น ยามนี้กำลังอึ้งงัน เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าถ้อยคำที่ได้ฟัง จักเกิดจากสตรีตรงหน้า ซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้นผู้โง่งมของเขา นางเผ็ดร้อนเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
อา...ช่างถูกใจ
คนเราเมื่ออ่อนแอจนถึงระดับหนึ่ง พอเจอกับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างที่สุด ก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และหลุดพ้นจากความขลาดเขลาได้ภายในคืนเดียว
เมื่อทำความเข้าใจได้ จางฉวนจึงผ่านพ้นภาวะตกตะลึง มุมปากผุดรอยยิ้มบางเบา นำพาความหล่อเหลาเพิ่มหลายส่วน เขาคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้สตรีตรงหน้าอย่างจงใจ ด้วยรู้ดีกว่าใคร ว่ามันได้ผลเสมอ
ชิงหลินมักมองเหม่อเขาไม่วางตา…
ทว่าทุกสิ่งพลันเปลี่ยนไป เมื่อสตรีตรงหน้าแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนยกยิ้มเยียบเย็น แล้วเอ่ยเนิบช้าอย่างเย็นชา “เก็บรอยยิ้มหลอกลวงของท่านเอาไว้ใช้กับสตรีโง่งมคนอื่นเถิด ข้าเห็นแล้วอยากอาเจียนยิ่ง”
จบคำก็จากไป ปล่อยให้คู่ชายหญิงทำหน้าราวกับเห็นผี
อ๋องทมิฬผู้นี้กำลังได้ค้นพบตนเองอีกด้านอย่างคาดไม่ถึงทว่าความกลัวของถังไห่เฉิงพลันสลายหายไปจนสิ้น เพราะลี่เซียนถึงขั้นเก็บเรื่องในสวนบุปผาไปฝันร้ายนางละเมอออกมาคล้ายเด็กหญิงตัวน้อยว่าเขากลับไปหาหญิงอื่นที่เป็นคนรักเก่า ในฝันของนาง หญิงผู้นั้นเป็นหลิงเจิน นางพูดออกมายามหลับฝันว่าต่อให้หลิงเจินเป็นคนดีสักปานใด และเขากับหลิงเจินจักรักกันมากแค่ไหน นางก็ยังไม่อาจวางใจนางพร้อมจะหลีกทางให้จริงๆ เพียงแต่กลับมิอาจตัดใจจากเขาได้เลย จึงคิดเอาไว้แบบไม่บอกใครว่าจะใช้พลังเร้นกายลอบติดตามปกป้องเขาเงียบๆ ไม่ต้องเป็นพระชายาก็ได้หลิงเจินคงไม่รู้ใช่ไหม? ว่านางมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้!แม้ไม่สามารถกดกอดคลอเคลียร่วมรักกันได้เหมือนเก่า แต่นางขอตามปกป้องเงียบๆ แบบหญิงแพศยาลอบมีความรู้สึกอันดีกับเขาได้หรือไม่เขาที่กำลังกล่อมนางนอนถึงกับกลั้นยิ้มจนปวดกราม ลี่เซียนมีความคิดเถรตรงเหมือนมารดาของเขามากเลยทีเดียวอ๋องหนุ่มคิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่าสตรีที่เขารักสองคนนี้เหมือนกันจริงๆกาลก่อนเสด็จแม่ก็ลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเสด็จพ่อแม้มิใช่ความคิดที่ดีเท่าใด หากแต่เสด็จแม่เป็นนางมารที่ต้องกลับใจมิให้ทำเรื่องชั
อ๋องหนุ่มเดินตรงเข้ามาทางหญิงสาวที่เก้าอี้หินอย่างเร็ว สีหน้าของเขาเย็นชา สายตายิ่งดุดัน กระนั้นเขากลับไม่พูดไม่จาต่อจากนั้น เพียงโน้มตัวลงและยื่นมือเรียวยาวให้ลี่เซียนเพราะหากชักช้า ภรรยาของเขาคงได้นอนหลับตรงนี้แน่ทุกครั้งที่นางฟังนิทาน พลังมหาศาลคล้ายถูกสูบจนสิ้น และนางย่อมต้องได้นอนกลางวันหลังกินอาหารอิ่มก่อนเท่านั้นอ๋องทมิฬผู้เคร่งขรึมเหี้ยมโหดโฉดทุกสมรภูมิผู้นี้เป็นสามีที่ดูแลเอาใจใส่และทะนุถนอมภรรยาหนึ่งเดียวของเขามากเมื่อแม่นางน้อยเหลือบตาเห็นถังไห่เฉิง สองแขนเรียวเล็กก็กางออกโดยสัญชาตญาณชายหนุ่มโอบร่างนุ่มด้วยอ้อมแขนอย่างรักใคร่หวงแหน ให้นางได้ซุกซบแผงอกอุ่นของเขา มองนางถูใบหน้านวลเนียนคลอเคลียไปมาเบาๆ เพื่อหามุมสบาย ฟังเสียงครางหวิวอย่างผ่อนคลายคล้ายลูกแมวน้อยอยู่ครู่หนึ่งจึงปรายตามองหลิงเจินอย่างอำมหิตคาดโทษ แม้อีกฝ่ายจักเป็นสหายตั้งแต่เด็ก เป็นถึงศิษย์รักของพี่หญิงใหญ่ เขาก็ไม่ละเว้นรุ่ยชินอ๋องอุ้มพระชายาเดินจากไปอย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยทุกสายตาโดยรอบบริเวณให้มองอย่างคาดไม่ถึงอยู่เช่นนั้น หลิงเจินถึงกับอ้าปากตาค้างนั่นใช่ถังไห่เฉิงที่นางรู้จักหรือไม่?อิงอิงยิ่งตก
ภายใต้ต้นไม้กฤษณาหอมกรุ่นร่มรื่นเย็นสบายลี่เซียนเห็นอีกฝ่ายจู่ๆ เงียบงัน ก็มิได้เอ่ยคำทำลายความเงียบนั้น เพียงพินิจอีกฝ่ายนิ่งๆ สังเกตจากรูปร่างหน้าตางดงามและผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่องเปล่งประกาย ดูก็รู้ว่าเชื้อสายคงเป็นสตรีชั้นสูง นางจึงคาดเดาได้ไม่ยาก พลางถามเสียงเนือย“เจ้าเป็นลูกของภรรยาเอกผู้แทรกกลางนางนั้นหรือ?”หลิงเจินยังคงทอดมองเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า หาได้เปล่งวาจาใด แต่นั่นย่อมเพียงพอแล้วสำหรับลี่เซียนหมอหญิงแค่นยิ้มเย็นชา แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นมิตรต่อพระชายามากยิ่งขึ้นนางจึงกล่าวต่ออย่างเถรตรงเฉกเช่นสหายที่ดีที่พึงกระทำต่อกัน ไร้ฐานันดรของอีกฝ่ายกางกั้น ปราศจากความห่างเหินแบ่งแยกชนชั้นเหมือนเช่นคราแรก สรรพนามที่เรียกขานยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย“สามีมากภรรยานับเป็นเรื่องธรรมดาของชายหญิงทั่วไป ทว่าบุตรของพวกเขามิได้คิดเช่นนั้นกันทุกคน ข้าหนีออกจากบ้านด้วยเงินทองที่แอบเก็บออมเอาไว้ รวมกับที่แอบขโมยท่านแม่มา”“...”ลี่เซียนชะงักพลางมุ่นคิ้ว ขโมย?หลิงเจินปรายตามองลี่เซียนนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่หรี่แคบพร้อมคำถามคาดคั้นกับคำว่า ‘ขโมย’นางเหยียดยิ้มหยันแล้วเล่าต่อ “เงิน
หลิงเจินไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านางกำลังจะกลายเป็นสหายที่รู้ใจที่สุดผู้หนึ่งของลี่เซียนหมอหญิงจับประคองพระชายาเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้หิน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้กฤษณากลิ่นหอมกรุ่นจรรโลงจิตใจ ส่งผลให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายเมื่อนั่งเคียงกันแล้ว สองตาหลิงเจินเพียงมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่อันไกลโพ้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“หมู่บ้านห่างไกลความเจริญมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเป็นเพียงหมอชาวบ้านธรรมดา ทว่ากลับมีรูปร่างหน้าตาสง่างามโดดเด่น พื้นเพของเขาเป็นเพียงสามัญชนไร้สกุลยิ่งใหญ่ บิดามารดาล้วนตายจากไป ญาติมิตรอพยพย้ายถิ่นฐานจนหมดสิ้น เนื่องจากไม่เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติจึงอยู่กินกับภรรยาตั้งแต่อายุยังน้อยโดยมิได้ผ่านการแต่งงานอันใด ยามนั้นพวกเขายังไม่มีฐานะอะไร ต่อมา...ฝ่ายชายมีโอกาสสร้างผลงานความดีความชอบเพราะสามีภรรยาเดินทางเข้าเมืองหลวงและได้รักษาอาการเจ็บป่วยปางตายให้ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งจนขุนนางผู้นั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง จากนั้น...หมอหนุ่มซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจึงเริ่มมีชื่อเสียง เงินทองไหลมาเทมา กระทั่งมีหน้ามีตาและมีฐานะที่ดี ผู้คนนับถือ มีเกียรติย
ทางฝั่งลี่เซียน…หญิงสาวยังคงมองหลิงเจินด้วยสองตากระจ่างใส นางเอ่ยต่ออย่างจริงใจว่า “ข้าเลือกถามเจ้า ทว่า...เจ้าเองก็ควรเอ่ยปากกับข้าตามตรงเช่นกัน มิใช่ลอบโพทะนากล่าวหาท่านอ๋องว่าเป็นบุรุษชั่วร้ายหลายใจ ร้างเยื่อใยจากสตรีอีกคนโดยการลอบมีสัมพันธ์กับสตรีอีกคน ถึงขั้นพาข้ามาหยามเกียรติเจ้าถึงที่นี่ เรื่องเยี่ยงนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ต่อให้ท่านอ๋องเป็นคนไม่ดีอย่างไร ทำเรื่องโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของข้า และเจ้าไม่มีสิทธิ์คิดทำร้ายเขา ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม”ลี่เซียนยังคงเป็นเหรินเซียนนางน้อยที่มีความคิดสัตย์ซื่อแต่กระจ่างแจ้งทุกเรื่องราว นางมีความคิดเป็นสีขาวบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ทั้งยังแยกแยะความรักและบุญคุณความแค้นชัดเจนประโยคยาวเหยียดนั้นทำถังไห่เฉิงชะงักงันไปชั่วขณะ หัวใจในอกแกร่งวูบไหวอ่อนยวบสองตาคู่คมจ้องมองลี่เซียนอย่างลึกซึ้งสุดจะหยั่ง มีความรักใคร่ท่วมท้นอยู่ในนั้นอย่างไม่ปิดบังในขณะที่หลิงเจินถึงกับก้าวเท้าถอยหลังอย่างตระหนกนี่...นางเคยพูดอะไรไปตอนเมาเหล้าหรือไม่? แย่แล้ว...ลี่เซียนถอนหายใจอย่างคนปลงตก เอ่ยอีกครา “หากเจ้าจะต่อว่าย่อมเป็นข้าที่สมควรถูกกระทำ เพราะ
เมิ่งหรูให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก นางจึงหยิกเอวของหวังหย่งไปหนึ่งทีแบบแรงมากแม่ทัพหนุ่มสะดุ้งตัวโยน เจ็บบั้นเอวจนต้องขบกราม สูดปากร้องออกมาคำหนึ่ง จากนั้นจึงรับรู้ได้ถึงโทสะของภรรยาหลังจากหาจังหวะเอ่ยแทรกบทสนทนาระหว่างถังไห่เฉิงกับอู๋จวินได้ หวังหย่งก็เริ่มเข้าเรื่องทันทีแบบไม่มีอ้อมค้อมว่า“ทูลท่านอ๋อง เมื่อวานอิงอิงเข้ามาประกาศต่อหน้าทุกคนว่าพระองค์ทรงขอหลิงเจินแต่งงาน พวกท่านทั้งสองเป็นคนรักกัน และยามนี้พระชายาคงรู้เรื่องนั้นแล้ว จึงได้พาอิงอิงกับหลิงเจินแยกตัวออกไป กระหม่อมเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงหวังหย่ง ถ้วยชาพลันหลุดมือจากบุรุษสูงศักดิ์“อะไรกัน?" ถังไห่เฉิงขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”อู๋จวินเพียงเลิกคิ้วนิ่งฟังเงียบๆ ตามวิสัยเว่ยฉีรีบเอ่ยบ้าง “เมื่อวานกระหม่อมก็อยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงแม่ทัพซุนและแม่ทัพกู้ ทุกคนล้วนได้ยินวาจาของอิงอิง ทว่ามิได้เชื่อถือแม้แต่น้อย เกรงก็แต่พระชายาจะไม่สบายพระทัย มิสู้พวกเราควรตามกลุ่มสตรีไปพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสายตาอำมหิตและกลิ่นอายมรณะแผ่ซ่านคาดโทษชนิดไม่เห็นหัวใครพลันปรากฏ ถังไห่เฉิงฟาดฝ่ามือใส่โต๊ะไม้สลักเสียงดัง







