“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง
“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”
“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า
“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”
หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะ
อินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหาร
อื้อหือ..อลังการงานสร้าง!!
“เชิญเสด็จทางนี้กระหม่อม” ท่านหงส์เชื้อเชิญให้หยางหมิงอวี้นั่งที่โต๊ะแถวหน้า กึ่งกลางวงกลม แล้วเชิญให้อินทุภานั่งโต๊ะตัวถัดมาทางซ้ายมือของเขา
หยางหมิงอวี้สบตาอินทุภาแล้วเลิกคิ้วให้ เธอขึงตาใส่ สะบัดหน้ามองไปทางอื่น
เชอะ! อยากทำไรก็ทำไปสิ!
กลุ่มหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ราวกับเนื้อผ้าไม่พอตัดชุด เดินเรียงถือถาดสำรับเข้ามา ด้านหลังเป็นนางรำเนื้อผ้าน้อยชิ้นกว่ากลุ่มแรก โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้ง เดินนวยนาดเข้ามาหลังจากกลุ่มแรกวางอาหารเรียบร้อยแล้วออกไป
เสียงดนตรีดังขึ้น อินทุภาเพิ่งจะเห็น เครื่องดนตรีหลายชิ้นสอดประสานบรรเลงเพลงอยู่ด้านนอก นางรำนุ่งน้อยห่มน้อย เริ่มขยับส่ายสะโพกดินระเบิดร่ายรำ ส่งสายตายั่วเย้า ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งไปทางหยางหมิงอวี้ เธอหันไปมอง เห็นเขาทำหน้าเรียบเฉย บางครั้งก็เอียงหน้าฟังหงส์จิ่ว ที่ชวนสนทนาอยู่ทางด้านขวา
อินทุภาทอดสายตามองสาวงามที่นั่งข้างๆ เขา กำลังใช้มือข้างหนึ่งรินเหล้าใส่จอกเล็ก ส่วนอีกมือวางบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม พร้อมเบียดหน้าอกแนบชิดกับแขนที่แข็งแรง จนเห็นการเสียดสีทุกครั้งที่เขายกจอกเหล้าขึ้นดื่ม เธอมองสะโพกผายดินระเบิดขยับชิดตัวเขาเข้าไปอีก จนเข่าแทบจะเกยขึ้นมานั่งบนตักอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเขายังเฉย ไม่ได้มีอาการที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
อินทุภามองอย่างรำคาญใจ นึกอยากจะลุกไปจิกผมสาวคนนั้นให้หน้าหงายจนหลุดติดมือมาเป็นกระจุกเลยยิ่งดี จะได้เลิกทำท่าทางยั่วยวนชวนปล้ำกลางที่สาธารณะแบบนั้นเสียที
เฮอะ!! พวกมลพิษทางสายตา!
สาวน้อยที่นั่งข้างๆ ค่อยๆ รินเหล้าให้อินทุภา แล้วตักอาหารใส่จานวางไว้ให้ตรงหน้า เธอแอบมองด้วยความพิจารณา สังเกตเห็นกิริยามารยาทที่เรียบร้อย และสีหน้าที่สงบนิ่ง ซึ่งดูขัดแย้งกับลักษณะการแต่งตัวที่โดดเด่น ของสาวผู้นี้ด้วยความแปลกใจ
“สาวงามทั้งหมดนี้ เป็นคนของหมู่บ้านนี้หรือ?” อินทุภาชวนคุย
“เฉพาะที่นั่งอยู่ในนี้ กับคนเดินอาหารเจ้าค่ะ นางรำกับนักดนตรีนำมาจากในเมือง” หญิงสาวกล่าว
“ทำไมต้องแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้ด้วยล่ะ หรือว่า.. ขอโทษนะที่ต้องถาม คือ.. มีบริการสำหรรับผู้ชายที่หมู่บ้านนี้ด้วยหรือเปล่า? ” เธอถามแบบตะกุกตะกัก เพราะกลัวคนข้างๆ จะเข้าใจผิด
“ไม่มีแบบนั้นเจ้าค่ะ หัวหน้าหมู่บ้านได้จัดเตรียมไว้สำหรับต้อนรับแขกโดยเฉพาะ” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เท่ากับว่า ไปเกณฑ์สาวๆ ในหมู่บ้านมาหรอกรึ?” หญิงสาวไม่ตอบ ก้มหน้ารินเหล้า ปากเม้มเป็นเส้นตรง
“เจ้าชื่ออะไร?” อินทุภาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เสียวมี่ เจ้าค่ะ”
“เสียวมี่ข้าคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจ หรือต้องการใช้ช่วยเหลืออะไร ข้าเต็มใจช่วย ขอให้บอก” เสียวมี่สบตาอินทุภาแต่ไม่พูดอะไร ยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วคีบอาหารมาวางไว้ให้ในจาน
อินทุภาหันหน้าไปทางหยางหมิงอวี้ เห็นเขามองตรงมาที่เธอ ไม่ได้มองโชว์นางรำดาวยั่วอะไรนั่น แต่อินทุภาสะบัดหน้ามองทางอื่น เพราะหมั่นไส้หน้าอกที่เบียดเสียดถูไถกับลำแขนแข็งแรงนั้น โดยที่เขาไม่คิดจะขยับหนี
อินทุภายกเหล้าขึ้นดื่มอย่างโมโห แต่แล้วก็สะดุ้งชาวาบ ร้อนไปตลอดลำคอ เธอไม่ทันคิดว่าเหล้าโบราณจะแรงถึงขนาดนี้
หยางหมิงอวี้จับตาดูอินทุภา ซึ่งดูเหมือนจะเริ่มเมา เขาเห็นเธอยกดื่มหมดจอกครั้งแรก จากนั้นก็ค่อยๆ จิบในจอกต่อมา จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังยกดื่มไม่หยุดคล้ายจะติดใจในรสสุรานั้น เขาค่อนข้างเป็นห่วง แต่ก็ต้องนิ่งไว้ก่อน เพราะต้องคอยสังเกตดูท่าทีของคนเหล่านี้ไปด้วย
“ท่านหงส์ ข้าเห็นจะต้องขอตัวไปพัก วันนี้เดินทางมาไกลเลยค่อนข้างจะเพลีย” เขาเตรียมตัดบท รู้สึกเป็นห่วงคนที่เริ่มจะเมา
“ฮ่อๆ ได้ๆ กระหม่อมจัดเตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวกระหม่อมจะให้เด็กๆ พาไปพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านหงส์สะบัดมือ ส่งสัญญาณให้สาวงามที่นั่งข้างๆ หยางหมิงอวี้รับหน้าที่ นางยิ้มอย่างดีใจราวกับถูกรางวัลใหญ่ รีบสอดแขนกอดรัดแขนข้างหนึ่ง ของหยางหมิงอวี้ไว้แน่นยิ่งกว่ากาว เตรียมประคองเขาให้ลุกขึ้น
“หม่อมฉันจะพาไปเองเพคะ” นางพูดเสียงหวาน กระชับแขนกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม เบียดหน้าอกเต่งตูมเข้าไปชิดยิ่งขึ้น
“โอ๊ะ ไม่เป็นไร ให้เด็กคนนั้นไปแทนแล้วกัน” หยางหมิงอวี้ชี้มือไปที่สาวน้อยที่นั่งข้างๆ อินทุภา
ท่านหงส์ทำมือสะบัดให้นางถอยออกไป ท่านอ๋องผู้นี้คงจะชอบแบบเรียบๆ ติ๋มๆ มากกว่าพวกใส่พานถวายถึงโอษฐ์ เขากัดกรามไว้แน่นจนเห็นได้ชัด จำใจเรียกสาวน้อยข้างๆ อินทุภามาแทน
หยางหมิงอวี้อุ้มอินทุภาไว้ในอ้อมแขน แล้วกอดกระชับตัว เดินตามสาวน้อยไปยังห้องพักที่เตรียมไว้
“ห้องพักท่านเยว่ ห้องนี้เพคะ”
“ห้องข้าล่ะ?”
“ห้องบรรทมฝ่าบาท อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรือนเพคะ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอก”
“เจ้าไปที่ห้องข้า จุดเทียนเฉพาะตรงหัวนอน แล้วนอนอยู่ที่นั่น”
“เพคะ” สาวน้อยรับคำเสียงเบา ก้มหน้า ปากสั่น
หยางหมิงอวี้พยุงอินทุภาไปที่เตียง จัดการถอดเสื้อผ้าชั้นนอก เดินหาน้ำกับผ้าสำหรับเช็ดตัว
“ฮื้อ! อย่ามายุ่ง! จะไปไหนก็ไป! พวกเสเพล!” อินทุภาเสียงอ้อแอ้ ปัดมือ หลบหน้าหนีผ้าชุบน้ำเย็นๆ นั้น
“ข้าทำอะไรผิด? ถึงได้กลายเป็นคนเสเพล” เขากลั้นยิ้ม
“พระองค์! ก็คงไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่เซ็กส์ทอย!”
“เพ้อใหญ่แล้ว เซ็กส์ทอยคืออะไร? ฟังดูเหมือนความหมายจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“คนบ้ากาม! มักมาก! ล่าราคะ!” เธอตะโกนใส่หน้า มือผลักไปที่อก
หยางหมิงอวี้ไม่อยากโต้เถียง หรือแก้ตัวตามที่ถูกกล่าวหา เขาดึงอินทุภาขเข้ามาในอ้อมกอด จนร่างกายทั้งสองเบียดชิดกัน เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดนั้นกลับจมหายไปท่ามกลางริมฝีปากของเขา วงแขนแข็งแรงรัดไว้แน่นจนเธอแทบจะขยับตัวไม่ได้ ความอึดอัดทำให้เธอพยายามดิ้นหนี แต่ก็ไร้ผล
ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากเธอ แล้วเคลื่อนลงมาจูบไล่ตามลำคออย่างอ่อนโยน ก่อนจะเบี่ยงขึ้นไปสัมผัสแอ่งเล็กหลังติ่งหู เธอตัวแข็งเกร็งไปชั่วครู่ แต่แล้วก็ยอมเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้เขาทำตามใจโดยไม่ขัดขืนอีก พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“หายเมาหรือยัง? เลิกแกล้งได้แล้วนะ” เขากระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความขี้เล่น
“อื๋อ!... รู้ได้ยังไงน่ะ?” เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำอีก
“รู้สิ! เมาตรงไหนกัน หลอกด่าชัดๆ!” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ
อินทุภายิ้มอายๆ แล้วทุบไปที่อกเขาเบาๆ ด้วยความขัดใจ แต่แววตาของเธอกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“เกลียดคนรู้ทัน! ปล่อยก่อนเพคะ” เธอดันอกเขา ยันตัวจะลุก เขาจึงคลายแขนออกช้าๆ
“ว้า! เสียดาย รู้งี้ปล่อยเลยตามเลยเสียก็ดีหรอก” อินทุภาหัวเราะเบาๆ ให้กับความทันคนของเขา
“จริงๆ ก็มึนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเมาหรอกเพคะ หม่อมฉันทำเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกจับแยกกัน”
อินทุภาขยับถอยหลังไปพิงพนักหัวเตียง ในขณะที่หยางหมิงอวี้นอนราบหนุนหมอน มือข้างหนึ่งสอดหนุนหลังศีรษะอีกทีหนึ่ง
“หม่อมฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากล เป็นห่วงฝ่าบาท ในดงอิทธิพลอันธพาลแบบนี้ เราเกาะกลุ่มกันไว้น่าจะปลอดภัยกว่า”
“อืม แล้วเจ้าเห็นด้านนอกศาลาหรือไม่ ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือ เฝ้ายามอยู่โดยรอบ ข้านับจำนวนคร่าวๆ ได้ราวๆ ยี่สิบกว่าคน”
“พวกเขาจะลงมือคืนนี้ไหมเพคะ?”
“คิดว่าไม่ มันโจ่งแจ้งเกินไป หลักฐานอาจจะมัดตัวได้ แต่หลังจากที่เราออกไปจากที่นี่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง!”
“เสียวมี่ ผู้หญิงที่นั่งข้างหม่อมฉัน ถ้าเราสามารถให้เธอยอมพูดอะไรออกมาได้บ้าง คงจะดีไม่น้อย”
“ข้าให้นางไปนอนรอที่ห้องข้าแล้ว ตบตาคนพวกนั้นเอาไว้ก่อน บางทีเผื่อจะได้เรื่องได้ราวอะไรมาบ้าง”
“ได้แน่ๆ เพคะ! ได้ขึ้นสวรรค์กันคืนนี้แหละ!” เธอตวัดสายตาใส่เขาอย่างขวับๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความขี้งอน
หยางหมิงอวี้หัวเราะเบาๆ เขาชอบกิริยาขี้งอนเหมือนเด็กน้อยของเธอเหลือเกิน มันทั้งน่ารักและน่าเอ็นดู เขาค่อยๆ เขยิบตัวเลื่อนศีรษะขึ้นมาหนุนตักเธอ พร้อมกับอ้อมแขนไปโอบเอวหญิงสาวไว้อย่างนุ่มนวล
“คนดี ยังไม่เชื่อใจกันอีกหรือ รู้ไหมว่าเวลาอยู่ใกล้เจ้าทีไร ข้าจะคลั่งตายอยู่แล้ว” เขาพลิกตัวมาชิดอินทุภาอีกครั้ง พูดเสียงอู้อี้ด้วยน้ำเสียงอ้อน
“ใช่สิ! อยู่ใกล้กันแล้วจะคลั่ง เลยต้องไปหาคนที่อยู่ไกลๆ หน่อย จะได้หายคลั่งใช่ไหมล่ะ!” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“โอ๊ะ! ข้าน้อยมิกล้า! มือเท้าหนักแบบนี้ ใครจะกล้าไปหาคนอื่นได้อีก!” เขาพูดพลางยิ้มกว้าง พร้อมกับกอดเธอไว้แน่นขึ้น
“นี่แน่ะไม่กล้า! แล้วที่เบียดเสียดถูไถกันเมื่อหัวค่ำนั่น คืออะไร! นี่ๆ!! ฉันหมั่นไส้จะตายอยู่แล้ว!” เธอกำหมัดรัวกระหน่ำทุบลงที่ต้นแขนแข็งแรงของเขา ด้วยความหมั่นไส้สุดขีด กับอาการที่พูดอย่าง แต่ทำอีกอย่างของเขา
“เด็กบ้านี่! ชักกำเริบใหญ่แล้วนะ!” เขาตวาดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความขบขัน
หยางหมิงอวี้ค่อยๆ ลุกขึ้นมาคุกเข่า จับมือเธอไว้ทั้งสองข้าง กดลงไปข้างลำตัวของเธออย่างนุ่มนวล ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบที่ริมฝีปากนุ่มอุ่นเบาๆ หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้าง ทำท่าจะขัดขืน แต่แล้วไม่นานก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย โอนอ่อนเข้าหา ทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจ
ที่ยอมนี่อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์สุรากระมัง
ชายหนุ่มค่อยๆ จูบริมฝีปากของเธออย่างอบอุ่นและนุ่มนวล ทุกการสัมผัสเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ไม่เร่งร้อน สองมือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาตามแขนเธออย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ แหวกสาบเสื้อด้านหน้าออกจากกัน ปลดตะขอบราลูกไม้ แล้วประคองเธอให้นอนลงใต้ร่างของเขา มือลูบไล้เคล้าคลึงที่ทรวงอกอย่างอ่อนโยน นิ้วหัวแม่มือปัดยอดอกเบาๆ จนเธอแอ่นหลังขึ้นอย่างลืมตัว เขาจึงลูบไล้ต่อไปอย่างชวนสยิว ทั่วทั้งร่างของเธอ
เขาถอนริมฝีปากเพื่อจูบไซ้มาตามลำคอ แล้วเบี่ยงขึ้นมาหาติ่งหู งับเม้มเบาๆ ก่อนจะจูบระเรื่อยลงมาหยุดที่ยอดทรวงอกอวบ
อินทุภาค่อยๆ เลื่อนมือเข้าไปในผมดกหนาของเขา แล้วกดศีรษะให้แนบชิดกับเรือนร่างของตัวเอง ปลายลิ้นที่สัมผัสเบาๆ โลมไล้ไปมานั้น ทำให้เกิดความทรมานที่แปลกประหลาด จนต้องบิดตัวไปมาในอ้อมแขนที่แข็งแรงของเขา เพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกวาบหวาม ใจหนึ่งก็อยากให้เขาเลิกทำแบบนี้เสียที แต่อีกใจก็ไม่อยากให้เขาหยุดเลยสักนิด
“เป่าเป้ย์..น่ารักเหลือเกิน นุ่มนิ่มไปทั้งตัว” เขาพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา แหบพร่าเล็กน้อย
หญิงสาวรู้สึกว่า ตัวเองกำลังเสียการควบคุม ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง นอกจากเสียงครวญครางเบาๆ ที่หลุดออกมา โดยที่เธอไม่อาจหักห้ามใจได้
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น