Share

ตอนที่ 10 : หงส์เฒ่า

last update Last Updated: 2025-03-14 04:34:44

เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้

อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ

“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์

“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจ

หยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด

“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้

“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามา

เสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภายิ้มหวาน ยกมือกระดิกนิ้วทักทายแบบสบายๆ

“นั่งสิ” หยางหมิงอวี้ขยับเก้าอี้ตัวเองมาให้เสียวมี่นั่ง 

“มีอะไรที่พวกเราควรจะรู้หรือไม่ ช่วยบอกด้วย และขอยืนยันว่า เราจะช่วยกันขจัดภัยร้ายที่คุกคามชุมชนแห่งนี้ให้หมดสิ้น” หยางหมิงอวี้นั่งลงข้างเตียงที่อินทุภานั่งพิงอยู่ มือของเขาจับมือเธอไว้แน่นขณะที่พูดคำว่า “เรา”

เสียวมี่มองมือที่เกาะกุมกันอยู่นิ่งๆ เป็นครู่ ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“พวกเรา... อยู่กันอย่างยากลำบากเหลือเกินเพคะ โดนกดขี่ข่มเหง บังคับขู่เข็ญ...” เสียวมี่พูดได้เพียงเท่านั้นก็หยุดลง เพราะหยางหมิงอวี้ทำสัญญาณมือให้เธอหยุดพูด

ในขณะนั้น อินทุภาได้ยินเสียงนกฮูกดังขึ้นสามครั้ง หยางหมิงอวี้บีบมือเธอเบาๆ แล้วทำสัญญาณให้ทุกคนนิ่งเงียบ เขาค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง เคาะสามครั้ง แล้วแง้มเปิดเพียงเล็กน้อย แต่หน้าต่างกลับถูกดันจากด้านนอกให้เปิดกว้างขึ้น

ชายคนหนึ่งในชุดดำ ผ้าคาดปากสีดำ ถือกระบี่สีดำเช่นเดียวกัน ก้าวข้ามหน้าต่างเข้ามาในห้อง แล้วทำความเคารพหยางหมิงอวี้อย่างนอบน้อม

“คารวะ ท่านอ๋อง”

“มีข่าวคืบหน้าหรือไม่?” หยางหมิงอวี้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พ่ะย่ะค่ะ เอ่อ...” เขาหยุดชะงักเมื่อหันมาเห็นหญิงสาวที่นั่งพิงพนักเตียง

“คารวะท่านเยว่! ข้าน้อยหยางติง ท่านยังจำข้าได้หรือไม่?” เขาดึงผ้าปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สดใสและแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดี

“ฉันเกิดอุบัติเหตุเมื่อนานมาแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” อินทุภายิ้มจืดๆ พร้อมกับขอโทษอย่างสุภาพ

“พี่ติง! พี่ก็เป็นพวกเดียวกับท่านอ๋องหรือ?” เสียวมี่ลุกขึ้นเข้ามาจับแขนหยางติง ด้วยท่าทางที่ใสซื่อและเป็นกันเอง

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงกับเจ้าเรื่องนี้” หยางติงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้ววางมือซ้อนทับมือเสียวมี่ที่จับแขนเขาอยู่

เสียวมี่ถอนใจเบาๆ ก่อนจะนั่งลง ก้มหน้านิ่งไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอินทุภาด้วยแววตาที่หนักแน่น

“งั้นข้าน้อยจะบอกทุกอย่างให้เจ้าฟังค่ะ ทุกเรื่องที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นตอนนี้!” เสียวมี่ตัดสินใจได้ในที่สุด 

“ตั้งแต่ท่านอ๋องสร้างชุมชนนี้ขึ้นมา และอนุญาตให้พวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเราก็อยู่ดีกินดีมากกว่าแต่ก่อน แต่ไม่นานมานี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ท่านหงส์หัวหน้าหมู่บ้าน จากที่เคยเป็นสุภาพชน กลับกลายเป็นนักบุญใจบาป จิตใจโหดร้าย ใช้อำนาจป่าเถื่อน โลภมาก!” 

เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธแค้น

“เขาออกกฎห้ามทุกบ้านทำมาหากินกันเอง ให้ไปรอรับอาหารที่ศาลากลาง ซึ่งก็มีแค่หมั่นโถวกับซุปผัก พวกผู้ชายที่ไม่ใช่ช่าง ต้องออกทำงานเหมือง พวกผู้หญิงที่อายุสิบแปดขึ้นไปจนถึงสี่สิบ ผลัดเวรกันไปปรนนิบัติหรือทำงานรับใช้ ส่วนผู้ที่อายุมากกว่าสี่สิบ ต้องไปช่วยงานในเหมือง ใครต่อต้านก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ บางครอบครัวพยายามจะหนีออกไป ถ้าถูกจับได้ ผู้ชายจะถูกซ้อมจนตาย ส่วนผู้หญิงจะถูกลงโทษโดยการรุมโทรมข่มขืน จนไม่มีใครกล้าที่จะคิดหนีอีก เขาบอกว่าเป็นกฎของหมู่บ้าน และเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง ที่ให้พวกเราอยู่อย่างทาส เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องปฏิบัติตาม!” 

น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ ยกหลังมือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น

“ความจริงแล้ว..คืนนี้ข้าน้อยจะต้องถูกส่งไปปรนนิบัติบนเตียง เพราะอายุครบสิบแปดพอดี นับว่าสวรรค์ยังเมตตา ทำให้ท่านอ๋องเรียกข้าน้อยไว้ก่อน” เสียวมี่พูดจบก็ร้องไห้โฮออกมา

หยางติงนั่งลงคุกเข่าข้างเดียว ถือกระบี่ยันพื้นไว้ ส่วนอีกมือลูบผมและลูบหลังหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม

“ชายฉกรรจ์พวกนั้น ไม่ใช่นักเลงธรรมดา ที่อาวุธของพวกเขามีตราสัญลักษณ์ของทหารหลวง” หยางติงหันไปรายงานข้อมูลกับหยางหมิงอวี้

“เจ้าเจอหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ ว่าเป็นของฝ่ายไหน?” หยางหมิงอวี้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กระหม่อมวางยาสลบคนเฝ้ายามหน้าประตู แล้วค้นเจอป้ายประจำตัว เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเซียว ส่วนอีกป้ายเป็นตราอนุญาตผ่านทาง ประจำพระองค์ขององค์ชายสองพ่ะย่ะค่ะ” หยางติงตอบอย่างละเอียด

“ตระกูลเซียวรึ? พวกเขายื่นมือมาไกลถึงที่นี่เลยหรือ? ถ้าอย่างนั้น..เจ้าลอบออกไปส่งข่าวให้ในวัง สืบให้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จพี่จะอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ จากนั้นไปที่ค่าย นำกำลังมาซุ่มไว้โดยรอบหมู่บ้านและที่เหมือง รอสัญญาณจากข้าค่อยลงมือ”

“พ่ะย่ะค่ะ!” หยางติงรับคำสั่งแล้วค่อยๆ ออกไปทางเดิมที่เข้ามา

“หยางติง แซ่เดียวกับพระองค์เลยนะเพคะ” อินทุภาถามด้วยความสงสัย

“เสี่ยวติงเป็นญาติผู้น้องข้าเอง ตำแหน่งองครักษ์ซ้าย”

“มีมือซ้าย แล้วมีมือขวาไหมเพคะ?” เธอถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจกวน

“มี! อยู่ในวัง ส่งไปสืบความบางอย่าง คงได้เจอกันเร็วๆ นี้แหละ” หยางหมิงอวี้ตอบพลางอมยิ้ม

“งั้น..สิ่งที่เราควรจะทำต่อจากนี้ เราคงต้องเล่นละครกันสักฉากสองฉากแล้วล่ะเพคะ” อินทุภายิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาส่องประกายราวกับจอมแผนการ

“ยิ้มแบบนี้ คงต้องมีเรื่องวุ่นวายแน่นอน ถ้าไม่ใช่ข้าก็คงจะเป็นพวกนั้น ที่ต้องอ่วมจนกระอัก!”

“แหม! หม่อมฉันเป็นกุลสตรีนะเพคะ ผู้ยิ้งผู้หญิงตั้งแต่หัวจรดเท้า สงบเงียบ เรียบร้อย ราวกับผ้าพับไว้” เธอทำท่าปลายนิ้วดันคาง สะบัดหน้าเชิดขึ้นอย่างสง่างาม

“เสียงสูงเชียว เชื่อก็บ้าแล้ว!” เขาพูดพลางหัวเราะ เสียวมี่พลอยอมยิ้มไปด้วย

“มาเปิดโหมดจริงจังกันเถอะเพคะ หม่อมฉันมีแผน!”

หงส์จิ่ว เพ่งสายตามองชายหนุ่ม ที่กำลังตระกองกอดเอวหญิงสาวสองคน ขณะพาเดินตรงมายังศาลารับรอง ภาพตรงหน้าเรียกความริษยาให้ก่อขึ้นในใจเขาไม่น้อย โดยเฉพาะ เสียวมี่..สาวน้อยที่เขาหมายตาไว้ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว ยิ่งนานวันก็ยิ่งงดงามสะดุดตา  

เขาเฝ้ารอให้ถึงวัยปักปิ่นด้วยความกระหยิ่มใจ เพราะไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่ช้าก็เร็ว นางต้องเป็นของเขาแน่ แต่กลับกลายเป็นว่า… นางถูกสุนัขคาบไปกินเสียแล้ว ความขุ่นแค้นจึงตีตื้นขึ้นมาในอก  

ขณะกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามานั้นเอง เสียวมี่ก็สะดุดล้ม หยางหมิงอวี้รีบคว้าตัวไว้ได้ทัน ร่างบอบบางจึงตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา หน้าอกแนบชิดกันอย่างแนบแน่น ราวกับถูกโอบกอดโดยสมบูรณ์ และไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังอุ้มเธอขึ้นทั้งตัว แล้วพาเดินตรงมาหาหัวหน้าเฒ่า ผู้เฝ้ามองด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากความริษยาที่กลั้นไว้แทบไม่ไหว  

“เชิญเสด็จกระหม่อม บรรทมสบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หงส์จิ่วเอ่ยถาม

“หายเพลียจากการเดินทางเป็นปลิดทิ้งเลย” หยางหมิงอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หันไปส่งสายตาหยอกเย้ากับสาวน้อยในอ้อมแขน แล้วค่อยๆ วางนางลงให้นั่งอย่างเรียบร้อย จากนั้นโอบไหล่กลมกลึงของสองสาว ดึงเข้ามาชิดกาย 

สองนางได้แต่ก้มหน้าด้วยรอยยิ้มเขินอาย ขณะที่หงส์จิ่วกำมือแน่น… ความอดทนของเขากำลังจะถึงขีดสุด!

หงส์จิ่วหันหน้าหนีภาพบาดตา ทำสัญญาณมือให้ยกอาหารเข้ามาได้

“เชิญประทับกระหม่อม อาหารเช้าพร้อมแล้ว” 

ระหว่างที่อาหารทยอยเข้ามาวางเรียง หงส์จิ่วแอบลอบมองชายหนุ่มไปด้วย กัดกรามแน่นที่เห็นสองสาวผลัดกันปรนนิบัติทั้งซ้ายและขวา สาวน้อยที่ติดตามมาด้วยเมื่อวาน เขาเพิ่งจะได้สังเกตเห็นชัดๆ ถนัดตาก็ตอนนี้เอง

หงส์เฒ่ามองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ เริ่มจากนัยน์ตาคมหวาน จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อ ช่างเข้ากันได้ดีกับรูปหน้าเรียวของเธอเสียเหลือเกิน ริมฝีปากอิ่มที่แดงระเรื่อนั้น เวลาเธอยิ้มช่างหวานละมุนราวกับหยดน้ำผึ้ง ผมยาวตรงดำเป็นมันพลิ้วสลวยยามเคลื่อนไหว ผิวที่โผล่พ้นขอบผ้านั้นก็นวลเนียน ขาวผ่องละมุนละไมราวกับแพรเนื้อดี หากเขาได้ลูบไล้สัมผัสทั้งตัวจรดเท้าโดยไม่มีผ้าคลุมกีดขวาง คงรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์มากกว่าเจ็ดชั้นเป็นแน่แท้

สตรีที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทั้งเนื้อทั้งตัวเช่นนี้ หากเป็นเขา คงไม่เหลียวมองหญิงอื่นอีกเลย และคงไม่ยอมให้เธอลงจากเตียงแม้แต่ก้าวเดียว หากได้มือเรียวงามคู่นั้นมาจับกุมแก่นกายของเขา คงจะรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งตัว เขามองไปที่หน้าอกของหญิงสาว แล้วถอนหายใจแรง มันอวบอัดเต่งตึงจนน่าฟัด หากได้อยู่ด้วยกันสักคืน เขาคงจะซุกซบกัดไม่ยอมปล่อยแน่นอน

หงส์จิ่วกำมือแน่นไว้ใต้โต๊ะ ยิ่งคิดยิ่งเพิ่มความแค้นเคืองให้พลุ่งขึ้นในใจ องค์ชายหน้าสำอางผู้นี้ มีของดีอยู่กับตัวอยู่แล้ว ยังมาขวางหน้า แย่งหญิงสาวที่เขาหมายมั่นปั้นมือไปเชยชมก่อนเขาเสียอีก

ซึ่งหากหยางหมิงอวี้ได้ยินความคิดของชายเฒ่าผู้นี้ เขาคงทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาอาจฆ่าได้ทุกคนที่คิดจะแตะต้องของรักของเขาจริงๆ

“ข้าคิดว่าจะไปดูที่เหมืองสักหน่อย เจ้าว่าจะไปด้วยกันหรือไม่?” หยางหมิงอวี้หันไปถามอินทุภา  

“ฝ่าบาทเสด็จเพียงลำพังเถิดเพคะ อากาศร้อนเหลือเกิน ถนนหนทางก็คงลำบากไม่น้อย ถ้าผู้หญิงอย่างพวกหม่อมฉันไปตรากตรำอย่างนั้น คงไม่ไหวเป็นแน่" อินทุภายิ้มหวาน เอ่ยเสียงใสพลางส่งสายตาออดอ้อน "ผู้หญิงเป็นเพศที่บอบบางนะเพคะ โดนลมพัดเพียงนิดก็อาจล้มป่วยไปหลายวัน ให้เสียวมี่พาหม่อมฉันดูของสวยๆ งามๆ ที่นี่ดีกว่านะเพคะ”  

ขณะพูด เธอก็กอดแขนคนข้างๆ อย่างออดอ้อน แสร้งทำตาหวานระยับราวกับจงใจหว่านเสน่ห์ และดูเหมือนมันจะได้ผล...  

หยางหมิงอวี้ชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกตาพร่าไปกับรอยยิ้มหยาดเยิ้มแบบนั้น ก่อนที่จะจับมือนุ่มนิ่มของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว หัวแม่โป้งไล้วนบนหลังมือเบาๆ คล้ายกับคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  

อินทุภากลั้นยิ้ม พอใจที่สามารถแกล้งเขาได้ นึกหมั่นไส้ไม่หายกับฉากเมื่อครู่ ที่เขาอุ้มเสียวมี่ขึ้นมาอย่างแนบเนียน เสียจนแยกไม่ออกว่าเล่นละครหรือของจริง

ดูจะสมบทบาทเกินไปหน่อยแล้ว!!  

หยางหมิงอวี้ขมวดคิ้ว หงุดหงิดใส่ตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มไปกับมารยาของหมาป่า ที่เอาหนังแกะมาห่ม จนเกือบทำให้ลืมตัว 

ได้ทีแสดงใหญ่ ถ้าเผลอไปจูบเข้า มีหวังได้โวยวายใหญ่โต หาว่าเราเอาเปรียบแน่ๆ!

“ท่านหงส์เล่า จะเป็นการรบกวนหรือไม่ หากข้าจะขอชมโรงงานเครื่องประดับ?” อินทุภาถามขึ้นกึ่งบังคับ ส่งยิ้มหวานเชื่อมให้หงส์จิ่วอีกคน  

ชายเฒ่าเหลือบมองหญิงสาว ก่อนจะหันไปมองหยางหมิงอวี้ ลังเลว่าจะเลือกทางไหนดี... จะร่วมทางไปเหมืองกับองค์ชาย หรือจะอยู่คุมสองสาวนี่ดี  

แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้ หยางหมิงอวี้ก็เป็นฝ่ายตัดบทให้  

“ท่านหงส์ไปเหมืองกับข้าเถอะ เผื่อมีข้อสงสัยจะได้ขอคำชี้แนะ”

หงส์จิ่วได้แต่มองสองสาว ที่ส่งยิ้มหวานให้เขาอย่างจนใจ 

ไอ้หมอนี่มันตัวขัดลาภชัดๆ!

“อ่า.. ได้ๆ กระหม่อม” เขาตอบแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งผาก

“กระหม่อมจะไปสั่งให้คนเตรียมรถม้า พ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าเลย ขี่ม้าไปจะสะดวกกว่า” หยางหมิงอวี้ตัดบท

“งั้นกระหม่อมขอตัวสักครู่” เขาทำความเคารพแล้วถอยหลังออกไป

“ฝ่าบาท ระวังพระองค์นะเพคะ เขาต้องมีอะไรตุกติกแน่ๆเลย” อินทุภาสอดมือเข้าหามือแข็งแรง ซึ่งเขาก็กุมไว้กระชับ แล้วบีบเบาๆ

“ไม่ต้องห่วง เสี่ยวติงคงดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ข้าห่วงเพียงเจ้า” หยางหมิงอวี้บีบมือหนักหน่วงขึ้น สายตาห่วงหาอาทร

เขารู้สึกเป็นห่วงสาวน้อยตัวเล็กผู้นี้ยิ่งนัก ตัวเท่าเมี่ยง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะสู้แรงผู้ชายเป็นสิบได้อย่างไร แต่ละคนอาวุธครบมือ เขาคงแทบคลั่งถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา แล้วเขาไม่สามารถปกป้องได้เลย

อินทุภาสบตา มุมปากโค้งนิดๆ ส่งสายตาแววหวานปลอบใจ บีบมือตอบมือแข็งแรง เป็นการให้สัญญาว่าจะดูแลตัวเองโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดใดๆ

อินทุภา เสียวมี่ และชายฉกรรจ์ทั้งสี่ เดินทางมาถึงโรงเครื่องประดับ ซึ่งมีสภาพภายในดูไม่ต่างจากอู่ซ่อมรถยนต์ ที่พื้นเต็มไปด้วยรอยคราบดำคล้ำ อุปกรณ์ทำงานวางกระจัดกระจาย มีโต๊ะทำงานที่ไม่สูงจากพื้นมากนัก แสงสว่างจากเชิงเทียนบนโต๊ะเป็นเพียงแหล่งสว่างในพื้นที่จำกัด คนทำงานสิบคนกำลังยุ่งอยู่กับการขึ้นรูปเครื่องประดับจากทองคำ

“ขอดูชิ้นงานที่ทำสำเร็จแล้วได้หรือไม่?” 

อินทุภาถามช่างคนหนึ่งที่ว่างอยู่ เขาพาตรงไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง ที่มีกล่องโปร่งวางเครื่องประดับ ที่ขัดเงาเรียบร้อยแล้ว วางเรียงรายอยู่ ทั้งหมดเป็นเครื่องประดับทองคำ รูปแบบและลวดลายเป็นแบบโบราณ ตามที่อินทุภาเคยเห็นบนอินเทอร์เน็ต บางชิ้นดูหนาจนเทอะทะ ไม่สัมพันธ์กับอัญมณีที่ประดับเลยแม้น้อย

“เครื่องประดับพวกนี้ จะส่งไปขายที่ใด?” เธอถามนายช่างคนเดิมที่ยืนคุมอยู่ข้างๆ

“ส่งไปวังหลวงทั้งหมดขอรับ” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แล้วมีค่าตอบแทน มีค่าแรงให้หรือไม่?”

“เอ่อ...คือ” เขาหันไปมองชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง "พวกเราอยู่ภายใต้การดูแลของท่านหงส์ขอรับ" เขาตอบอย่างนอบน้อม ก่อนโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วเดินห่างออกไป

อินทุภาเดินไปดูช่างทองคนหนึ่งที่กำลังสกัดทองด้วยมือ วิธีสกัดทองแบบนี้ เธอเคยทำในห้องทดลอง ตอนเรียนฟิสิกส์สมัยมหาวิทยาลัย และได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ขณะฝึกงานที่โรงงานเครื่องประดับของแม่ คุณแม่ของเธอมีธุรกิจเครื่องประดับและอัญมณีภายใต้ชื่อ ‘ดินาร์ เจ็มส์’ มาจากคำว่า ‘ดินาริอุส’ ซึ่งหมายถึงเหรียญทองในภาษาละติน

เงินเดือนของช่างทอง และช่างอัญมณีที่บริษัทของแม่สูงมาก ทำให้พวกเขาพอใจ และทุ่มเทในการทำงาน คนเหล่านี้รักการสร้างสรรค์ความสวยงาม เมื่อเห็นอินทุภาออกแบบได้สวยแปลกตา ก็ยิ่งทึ่ง และอยากแสดงฝีมือให้สวยงามตามแบบ

อินทุภาย่นจมูก เธอคิดในใจ ก่อนจะปฏิรูปทั้งหมดนี้ คงต้องปฏิวัติอีตาแก่หงส์นั่นเสียก่อน! 

เมื่อท่านอ๋องกลับมา ต้องหารือวางแผนกันจริงจังเสียที!

เธอไม่ทราบว่าใช้เวลา อยู่ที่โรงเครื่องประดับนี้นานเท่าไหร่ แต่พอออกมายืนกลางแจ้ง ตาก็พร่าไปเหมือนกัน คำนวณจากการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์ คงจะประมาณยามโฉ่วหรือยามอิ๋น ราวๆ บ่ายสองหรือบ่ายสาม เธอจึงให้ชายฉกรรจ์นำทางมาส่งที่ห้องพัก

หลังจากชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นจากไป อินทุภาขอให้เสียวมี่คอยสังเกตการณ์ภายนอก และดูว่าท่านอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนพิเศษ (2) : แฝดร้ายสายเกรียน! แห่งหยางซื่อ  

    หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ    ตอนพิเศษ (1) 

    ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 67 : ตอนจบ (2) ต้นกำเนิดแห่งสายเลือดและชะตากรรม

    "มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 66 : ตอนจบ (1)

    สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 65 : ลั่นกลองรบ!

    ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู

  • พระจันทร์หวามรักข้ามมิติ   ตอนที่ 64 :  ความลับที่มาพร้อมกับเรกิ!!

    "เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status