“ไม่มี เจ้าเหยียบกระเบื้องเถิด” เซียวชิงเฟิงบอกปัด พร้อมทั้งรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายนิ้ว
“เพคะ”
ฉินเจียวเยี่ยนเดินมาหยุดที่หน้ากระเบื้อง ยกฝ่าเท้าขึ้น ออกแรงเหยียบลงมาอย่างเต็มที่ พร้อมกับที่เซียวชิงเฟิงดีดปลายนิ้วส่งลมปราณไปทำลายกระเบื้องแผ่นนั้น
“ว้าว” เสียงร้องอื้ออึงด้วยความตกใจ ที่เจ้าสาวสามารถเหยียบกระเบื้องจนแตกเป็นผุยผง ท่ามกลางความตกตะลึงของฮ่องเต้เจิ้นหลงที่อ้าพระโอษฐ์ค้าง
นั่นมันกระเบื้องนิลที่ไว้ฝึกองครักษ์ลับเชียวนะ!!
สายพระเนตรตกตะลึงจ้องมองไปที่ปลายเท้าของฉินเจียวเยี่ยน ก่อนจะเหลือบขึ้นมามองร่างเจ้าสาว แต่ฮ่องเต้เจิ้นหลงจำต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อสบสายตาคมของบุตรชายในไส้
เป็นท่านเองสินะ เสด็จพ่อ...
ไอสังหารแผ่ออกรอบตัวของเซียวชิงเฟิง จนฮ่องเต้เจิ้นหลงที่นั่งอยู่ในห้องโถงยังรู้สึกได้
“อากาศเย็น ๆ นะเพคะ” หนิงซูเฟยลูบแขนตัวเองไปมา ด้วยเข้าใจว่า ลมเย็นน่าจะพัดผ่านเข้ามาภายในเรือน “เจ้าไปปิดหน้าต่างที แล้วก็เพิ่มเตาอุ่นเข้ามาด้วย”
“เพคะ พระสนม”
เซียวชิงเฟิงก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าเรือนอี้หงที่ตกแต่งประดับไปด้วยอักษรคู่มงคลสีแดง เทียนมังกรเคียงหงส์ตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเซียวชิงเฟิงวางร่างฉินเจียวเยี่ยนลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปหยิบหยกหรูอี้ขึ้นมาเลิกผ้าคลุมหน้าของนางขึ้นให้ครบถ้วนทุกพิธีการ“อ๊ะ ท่านอ๋อง มิต้องรอตอนเย็นหรือเพคะ?”เหตุใดจึงเปิดผ้าคลุมหน้าแล้วเล่า?“เจ้าลืมแล้วหรืออย่างไร?” เซียวชิงเฟิงแตะปลายจมูกของฉินเจียวเยี่ยนอย่างเอ็นดู “เราเข้าห้องหอกันไปนานแล้วนะ”“เช่นนั้น ท่านอ๋องจะไม่ออกไปรับแขกหรือเพคะ?”“ไปสิ เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเหนื่อย” เขาโน้มตัวลงจูบริมฝีปากบางเร็ว ๆ หนึ่งครั้ง “ข้าจะให้ชุนเถา ชุนหลิ่วเข้ามาปรนนิบัติเจ้า เจ้าจะอาบน้ำ ทานอาหาร หรือนอนพักผ่อนไปก่อนก็ได้”ฉินเจียวเยี่ยนยิ้มรับกับความเอาใจใส่นั้น “เพคะ ท่านอ๋อง”“เจ้าอภิเษกเข้าจวนเฟิงอ๋องแล้ว ไยยังเรียกข้าว่า ท่านอ๋องอีกเล่า?”ฉินเจียวเยี่ยนเม้มปากอย่างเขินอาย เ
“ไม่มี เจ้าเหยียบกระเบื้องเถิด” เซียวชิงเฟิงบอกปัด พร้อมทั้งรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายนิ้ว“เพคะ”ฉินเจียวเยี่ยนเดินมาหยุดที่หน้ากระเบื้อง ยกฝ่าเท้าขึ้น ออกแรงเหยียบลงมาอย่างเต็มที่ พร้อมกับที่เซียวชิงเฟิงดีดปลายนิ้วส่งลมปราณไปทำลายกระเบื้องแผ่นนั้น“ว้าว” เสียงร้องอื้ออึงด้วยความตกใจ ที่เจ้าสาวสามารถเหยียบกระเบื้องจนแตกเป็นผุยผง ท่ามกลางความตกตะลึงของฮ่องเต้เจิ้นหลงที่อ้าพระโอษฐ์ค้างนั่นมันกระเบื้องนิลที่ไว้ฝึกองครักษ์ลับเชียวนะ!!สายพระเนตรตกตะลึงจ้องมองไปที่ปลายเท้าของฉินเจียวเยี่ยน ก่อนจะเหลือบขึ้นมามองร่างเจ้าสาว แต่ฮ่องเต้เจิ้นหลงจำต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อสบสายตาคมของบุตรชายในไส้เป็นท่านเองสินะ เสด็จพ่อ...ไอสังหารแผ่ออกรอบตัวของเซียวชิงเฟิง จนฮ่องเต้เจิ้นหลงที่นั่งอยู่ในห้องโถงยังรู้สึกได้“อากาศเย็น ๆ นะเพคะ” หนิงซูเฟยลูบแขนตัวเองไปมา ด้วยเข้าใจว่า ลมเย็นน่าจะพัดผ่านเข้ามาภายในเรือน “เจ้าไปปิดหน้าต่างที แล้วก็เพิ่มเตาอุ่นเข้ามาด้วย”“เพคะ พระสนม”
ฉินเจียวเยี่ยนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวสิ่งใด นั่งกระดิกเท้าเล่นอยู่ในเกี้ยวแปดคนหามอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จมูกจะฟุดฟิดได้กลิ่นหอมของขนมกุ้ยฮวาจากกล่องไม้ข้างตัวนางเหลือบเห็นกระดาษที่วางอยู่บนกล่องไม้อย่างชัดเจน‘หากเจ้าหิวก็ทานขนมในกล่องรองท้องไปก่อน’ช่างใส่ใจกันจริงนะ เสี่ยวเฟิง...ความอารมณ์ดีของคนในเกี้ยวส่งผลต่อเจ้าบ่าวที่กำลังควบม้านำอยู่ที่หน้าขบวน มุมปากของเซียวชิงเฟิงยกขึ้นสูงเป็นรอยยิ้มกว้าง เรียกเสียงกรีดร้องของคุณหนูจวนอื่น ๆ ที่ยืนรอชมสองข้างทางให้ดังขึ้นไปอีกหืม เหตุใดข้างนอกจึงมีเสียงดังเล่า?มุมปากของเซียวชิงเฟิงตกลงในพริบตา ราวกับการแสดงเปลี่ยนสีหน้าของคณะงิ้วที่จ้างมาในคืนนี้หยางเซิงและตงไฮ่มุมปากกระตุกหยิก ๆ กับอารมณ์ของเจ้านายตรงหน้าที่เปลี่ยนสีหน้าไปมาอย่างไร้สาเหตุครั้นขบวนเจ้าสาวมาถึงจวนเจ้าบ่าว เกี้ยวบุปผาวางลงบนพื้นอย่างมั่นคงและนุ่มนวล เซียวชิงเฟิงพลิกตัวลงจากหลังม้า ก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่หน้าเกี้ยวมือหนาเลิกม่านขึ้น แล้วยื่นมือไปรอรับฉินเจียวเยี่ยนอย่างใส่ใจ
“เจ้าค่ะ” ฉินเจียวเยี่ยนยอบกายทำความเคารพส่งท้าย เซียวชิงเฟิงจับมือประคองส่งนางขึ้นเกี้ยวแปดคนหามเสียงกลองเสียงฆ้องอึกทึก ครึกโครม ขบวนรับตัวเจ้าสาวของเฟิงอ๋องเริ่มออกเดินทาง ชาวบ้านต่างออกมายืนรอชมขบวนอย่างสนอกสนใจ บ้างผลักดันอยากเข้ามาชมใกล้ ๆ หากแต่ทหารองครักษ์ยืนขวางทางเรียงราย ตั้งแต่จวนซ่านเต๋อโหวไปจนถึงจวนเฟิงอ๋องชั้นสองของโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมบนถนนระหว่างทางผ่านของสองจวนเปิดหน้าต่างออกกว้าง บรรดาคุณหนูจากจวนต่าง ๆ โผล่ใบหน้าออกมารับชมความสนุกครึกครื้นระคนอิจฉา“ไฉนแม่ตุ๊กตากระเบื้องอย่างฉินเจียวเยี่ยนจึงได้อภิเษกกับเฟิงอ๋องเล่า?” คุณหนูจวนโหวท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น เบ้ริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะยืนเกาะขอบระเบียงโรงน้ำชา ทอดสายตามองขบวนเจ้าสาวที่ค่อย ๆ เลื่อนผ่านไป“นางได้กลายเป็นพระชายาของราชวงศ์เลยนะ ช่างน่าอิจฉาเกินไปแล้ว” สหายอีกนางก็กล่าวขึ้น ด้วยความไม่พอใจ เดินมาชะโงกหน้าชมอีกราย“พวกเจ้าจะอิจฉาไปไย” เสียงหญิงสาวอีกนางในห้องดังขึ้น นางไม่ได้ก้าวออกมาดูด้วย แต่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เฟิงอ๋องก็เป็นแค่ท่านอ๋องเจ้าสำราญ ฮ่องเต้มิได้โปรดปรานเท่าใดนัก หากเป็นฉีอ๋อง หรือหมิงอ
เสียงประทัดดังขึ้นที่หน้าจวนซ่านเต๋อโหว เพื่อเฉลิมฉลองงานวิวาห์ของเฟิงอ๋องกับคุณหนูรองตระกูลฉิน เศษประทัดลอยไปมาในอากาศ ก่อนจะตกลงบนหลังคาและพื้นซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาเป็นชั้น ๆ สร้างความสวยแปลกตา เพิ่มความเป็นสิริมงคลประตูด้านหน้าของจวนถูกเปิดออกกว้าง แขวนประดับด้วยโคมไฟและผ้าไหมสีแดง บรรยากาศหน้าจวนมีแต่ความครึกครื้น ขณะที่ขบวนเจ้าบ่าวใกล้จะมาถึงภายในเรือนเหมยฮวาก็กำลังชุลมุนไม่ต่างกัน ฉินเจียวเยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าสวยหวานยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานการแต่งหน้าของเสี่ยวหง และที่นางดีใจยิ่งกว่า คือ การได้แต่งหน้าในวันสำคัญด้วยเครื่องสำอางที่คุ้นเคยอย่างไร วันนี้ นางก็ต้องเป็นเจ้าสาวที่งามที่สุดในเมืองหลวงอย่างแน่นอนสายตาของฉินเจียวเยี่ยนมีแต่ความกระหยิ่มยิ้มย่องได้ใจ นางหันซ้ายหันขวาชื่นชมความงามของตนเองอย่างลำพอง ท่ามกลางการกลอกตามองบนของเสี่ยวหงเจ้าจะแต่งหน้าสวยไปไย สุดท้ายก็ต้องคลุมหน้า ไม่มีผู้ใดเห็นอยู่ดี...“หวีผมจนสุดปลาย หวีแรกได้คู่สมใจหมาย หวีสองได้ครองรักนิรันดร์กาล หวีสามให้ลูกหลานเต็มบ้าน หวีสี่ให้พ
ฉินเจียวเยี่ยนร่อนเอวไปมาตามจังหวะปลายนิ้ว มือเล็กขยำผ้าปูเตียงเพื่อระบายอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า ดวงตาจิ้งจอกหลับพริ้มเพื่อสะกดอารมณ์“เจ้าไม่อยากรู้แล้วรึ ว่าเหตุใดข้าจึงหาเจ้าเจอ?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ยั่วยวนให้ฉินเจียวเยี่ยนต้องลืมตาขึ้นมามองอึก เสียวจัง ตะ แต่ก็อยากรู้...“ยะ อยากสิเพคะ อ่า”เซียวชิงเฟิงโน้มตัวไปคร่อมร่างเล็ก กักขังฉินเจียวเยี่ยนไว้ใต้ร่าง พร้อมทั้งขยับปลายนิ้วแทรกกระแทกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง“หลังจากที่ข้าทำให้ฉินเยี่ยนฟางสลบไป ข้าจึงได้รู้ว่า ประตูถูกคล้องกุญแจจากด้านนอก มีคนจงใจขังข้าไว้กับฉินเยี่ยนฟาง”ฉินเจียวเยี่ยนกัดฟันเอ่ยถามขึ้น “ละ แล้วท่านออกมาได้อย่างไร?”“ข้าหนีออกมาทางหน้าต่าง”ฉินเจียวเยี่ยนแทบสำลักน้ำลายกับทางออกที่ไม่คาดคิดของเฟิงอ๋อง “...”หลี่ชิงหง ช่างน่าสงสารนัก...วางแผนขังท่านอ๋องเสียดิบดี ปิดตายประตู แต่ไม่ได้ปิดตายหน้าต่าง...“เมื่อข้าออกมาจากตำหนักข้าง ตง