“พวกเจ้านี่นะ อยากจะซุกซนทำสิ่งใดก็ไม่พ้นมือข้าเสียทุกครั้ง” เสียงแม่นางบ่นเหยียดยาวพลางสะบัดแปรงแต่งหน้าขนสัตว์ในมือบนใบหน้าของเมิ่งลี่ไปมาอย่างเบามือ“ข้าก็มิได้ให้เจ้าแต่งหน้าให้ฟรี ๆ เสียหน่อย” ฉินเจียวเยี่ยนตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นตะครุบปากตนเองแทบไม่ทันหลี่ชิงหงเหลือบตาไปมองฉินเจียวเยี่ยนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกัน พลางกระตุกมุมปากอย่างลำพองใจ “สองตำลึงทอง”“เหตุใดสองตำลึงทอง?” ฉินเจียวเยี่ยนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ นางรู้ว่าเมื่อครู่ตนเองหลุดพูดคำสมัยใหม่ออกมา แต่ก็พูดเพียงคำเดียวเท่านั้นนี่“เจ้าพูดซ้ำสองครั้ง” หลี่ชิงหงตอบสั้น ๆ อย่างเหนือกว่าฉินเจียวเยี่ยนถึงกับเบิกตากว้าง “…”แค้นใจที่ข้าได้หนึ่งตำลึงทองจากเจ้าเมื่อคราก่อนใช่หรือไม่?“แล้วคราวนี้ พวกเจ้าจะไปซุกซนที่ใด? รายงานไท่จื่อไว้แล้วรึ?” หลี่ชิงหงถามต่อเหตุใดเจ้าจึงทำราวกับพวกข้าเป็นเด็กเล็กที่มักสร้างแต่ปัญหา ต้องรายงานตัวให้ผู้ปกครองรับทราบอยู่เสมอเล่า“ข้าจะไปสืบความที่หออวี่หลิน ท่านอารองของเมิ่งลี่ไปติดพันนางโลมที่นั่นน่ะ” ฉินเจียวเยี่ยนสรุปความจบในป
“เยี่ยนเยี่ยน!” เสียงเรียกชื่อของนางดังขึ้น ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนลอบกลอกตามองบนเหตุใดวันนี้ ตำหนักบูรพาจึงมีแขกมาเยี่ยมเยียนมากมายนัก?“ลี่เอ๋อร์” ฉินเจียวเยี่ยนเรียกสหาย ก่อนจะเห็นเมิ่งลี่ที่เดินตามหลังสาวใช้เข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เกิดสิ่งใดขึ้นรึ?”“เฮ้อ” เมิ่งลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างสหาย “ที่จวนมีปัญหาเล็กน้อยน่ะ”“หากเล็กน้อยจริง เจ้าคงไม่ถอนหายใจแรงปานนี้หรอกกระมัง”ฉินเจียวเยี่ยนรู้จักเมิ่งลี่ดีกว่าผู้ใด เพราะพวกนางเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ว่า ทุกคนจะกล่าวว่า พวกนางคือตุ๊กตากระเบื้องที่มีเพียงรูปโฉมงดงาม แต่ไร้ความสามารถอย่างที่แม่นางในห้องหอพึงมีแต่เมิ่งลี่นั้น มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มอบความจริงใจให้แก่ผู้อื่น เป็นห่วงเป็นใยคนรอบตัวเสมอ นางมองว่า ปัญหาของทุกคนที่นางรัก ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาของนางด้วย“ก็ท่านอารองของข้าน่ะสิ” เมิ่งลี่เอ่ยขึ้นฉินเจียวเยี่ยน เจ้าก็ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้หลอกถามเลยรึ?“ช่วงนี้ ท่านอารองของข้าติดพันกับนางโลม จนทะเลาะกับท่านอาสะใภ้รองเกือบทุกวัน”
การย้ายเข้าสู่ตำหนักบูรพาของจวนเฟิงอ๋องได้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ผ่านไปเพียงสามวัน ก็สามารถเข้าไปพำนักได้ในทันทีเมื่อเซียวชิงเฟิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้วนั้น เขาจึงจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเข้าร่วมว่าราชการเช่นเดียวกับฉีอ๋อง เพื่อเป็นการแบ่งเบาราชกรณียกิจของเสด็จพ่อร่างสูงรั้งแม่นางน้อยในอ้อมแขนมากอดอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาซุกใบหน้าลงในซอกคอที่ปรากฏแต่รอยจูบจากฝีปากของเขา สูดดมกลิ่นดอกเหมยของนางเข้าเต็มปอดให้ตายเถอะ มีฉินเจียวเยี่ยนอยู่ในอ้อมแขนบนเตียงอุ่น ๆ เช่นนี้ แล้วข้าจะตัดใจไปทำงานได้อย่างไรกัน?เสด็จพ่อ ข้าขอลาออกได้หรือไม่?เฮ้อ…เซียวชิงเฟิงกดจูบลงบนไหล่เนียนเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะถอยตัวออกจากผ้าห่มผืนหนาอย่างเงียบเชียบ เพื่อไม่ให้รบกวนใครอีกคนที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราเซียวชิงเฟิงลุกขึ้นแต่งตัว แล้วจึงไปขึ้นรถม้ามุ่งตรงเข้าสู่วังหลวง โดยมีหยางเซิงและตงไฮ่คอยควบม้าดูแลความปลอดภัยอยู่ข้าง ๆเมื่อยามซื่อ ไท่จื่อเฟยจึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา ชุนเถาและชุนหลิ่วจึงได้เข้ามาปรนนิบัติตามปกติ ก่อนจะมีสาวใช้นางหนึ่
“ด้วยโองการแห่งฟ้า เฟิงอ๋องมีความดีความชอบในการปราบกบฏหมิงอ๋อง ณ เมืองชางหลิน ด้วยไพร่พลเพียงสองหมื่นนาย นับว่า มีความกล้าหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา มุ่งมั่นพยายามเพื่อนแว่นแคว้น จึงขอพระราชทานแต่งตั้งให้เฟิงอ๋องดำรงตำแหน่งไท่จื่อ เป็นรัชทายาทตามธรรมเนียมของราชวงศ์”“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” เฟิงอ๋องยื่นมือไปรับพระราชโองการจากโจวกงกงจากนั้น โจวกงกงจึงหันไปรับพระราชโองการอีกฉบับมากางอ่านต่อ“ด้วยโองการแห่งฟ้า พระชายาเฟิงอ๋องมีความกล้าหาญ เปี่ยมไปด้วยปัญญา กล้าใช้ตนเป็นอุบายในการจับกุมพรรคพวกของกบฏหมิงอ๋อง นอกจากจะได้รับการแต่งตั้งเป็นไท่จื่อเฟยแล้ว ฮ่องเต้เจิ้นหลงยังพระราชทานผ้าไหมชั้นดีห้าสิบพับ ไข่มุกราตรี ปะการังมรกต และทองอีกหนึ่งร้อยตำลึง”“หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการเพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนยื่นมือไปรับพระราชโองการเช่นกันโจวกงกงรีบช่วยประคองให้เซียวชิงเฟิงและฉินเจียวเยี่ยนให้ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “แคว้นต้าเซี่ยช่างโชคดีที่มีท่านทั้งสอง”“โจวกงกงกล่าวหนักเกินไปแล้ว”
เซียวชิงเฟิงชะงักกายไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินพระชายาส่งสัญญาณอย่างที่เขารู้ดีแก่ใจ“เสี่ยวเยี่ยนทนไม่ไหวแล้วหรือ?” เซียวชิงเฟิงขยับตัวขึ้นไปถาม สองดวงหน้าแดงก่ำอยู่เสมอกัน ฉินเจียวเยี่ยนยกเปลือกตาขึ้นมองอย่างอ่อนระทวย นางพยักหน้าเล็กน้อย“ได้สิ”ริมฝีปากหนาฉกวูบลงมาแนบชิดอีกครั้ง สองปลายลิ้นตวัดไล้กันนัวเนียในโพรงปาก จนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ฉินเจียวเยี่ยนรู้สึกได้ถึงฝ่ามือสากที่ลูบไล้ไปตามขาอ่อนของนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบังคับให้นางอ้าขาออกกว้างของแข็งเป็นแท่งยาวถูไถขึ้นลงไปมาราวกับต้องการเคลือบน้ำหวานให้ทั่วความยาวนั้นสวบ“อึก อื้อ” เสียงครางดังลั่นขึ้นในลำคอ เมื่อร่างกายของนางรู้สึกถึงการเติมเต็มจนสุดความยาว สิ่งแปลกปลอมเหยียดยาวเป็นเส้นตรงจนชนความอ่อนนุ่มของนางด้านในร่างสูงผละริมฝีปากออกไป ฉินเจียวเยี่ยนจึงหลับตาพริ้ม เพื่อรอรับสัมผัสกระแทกกระทั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมา หากแต่รอแล้วรอเล่า สัมผัสที่ปรารถนาก็ยังไม่มาถึง จนนางต้องลืมตาหาคำตอบดวงตาจิ้งจอกคู่งามจึงได้เห็นร่างสูงที่พลิกร่างนอนตะแคงอยู่ข้างนาง มือหนึ่งส
“ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่า ของแต่ละชิ้นใช้การอย่างไร?”ฉินเจียวเยี่ยนเม้มริมฝีปากแน่น‘ของเช่นนี้ มองด้วยตาก็น่าจะเข้าใจวิธีใช้งานแล้วนะเพคะ’“หากเจ้าไม่อธิบาย ข้าจะช่วยเสนอแนะแนวทางของเจ้าให้เหล่านางโลมได้อย่างไร?” เซียวชิงเฟิงหว่านล้อม‘ฟังดูมีเหตุผล... แต่ก็ยังไม่รู้สึกสมเหตุสมผลเท่าใดนัก’เหตุใดแม่นางน้อยนางนี้ จึงหลอกยากหลอกเย็นนักหนา...เซียวชิงเฟิงถอนหายใจอย่างนึกระอาที่อีกฝ่ายไม่หลงกลเขาเสียที จึงตัดใจย่อตัวลงไปอุ้มร่างแน่งน้อยขึ้นแนบอก“อ๊ะ ท่านพี่” ฉินเจียวเยี่ยนยกสองมือขึ้นโอบรอบคอของสวามีในทันใดด้วยเกรงว่าจะหล่นลงมา แต่เมื่อนางหันหน้ามาอีกที ร่างสูงก็พานางมาวางลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยเสียแล้ว‘อา... เอวข้าเพิ่งจะหายดีเองนะ นี่ท่านจะเคี่ยวกรำตัวข้าอีกแล้วรึ?’มุมปากของเซียวชิงเฟิงยกขึ้นสูง เมื่อได้ยินความคิดโอดครวญของอีกฝ่าย หากแต่แสร้งไม่ใส่ใจและไม่มองใบหน้าหงิกงอของนาง เขาเอื้อมมือจับลงบนเข็มขัดแล้วกระชากออกในคราวเดียว เสื้อชั้นนอกของฉินเจียวเยี่ยนก็แหวกออกกว้างใจของนา