ไม่กี่วันหลังจากนั้น สมัตถ์ก็มานั่งอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัท RPS Cosmetic Co.,Ltd. บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงาม เขานั่งชั่งใจเป็นหนสุดท้ายก่อนรับภาระอันหนักอึ้งมาไว้บนบ่า คุณย่าที่รักปรารถนาให้เขารับมันไว้แต่โดยดี แต่เขายังสองจิตสองใจ แม้ว่าหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์มันจะมากกว่าหุ้นของหุ้นส่วนอีกสองคนที่เหลือ แต่ยังน้อยไปเมื่อเทียบกับหุ้นของผกากรอง ท่านประธานคนใหม่ของ RPS และดูเหมือนว่ามารดาของเทียนหยดจะทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากจิกหัวใช้ลูกสาว
น่าแปลกใจไหมเล่าที่เทียนหยดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในหุ้นของบริษัทนี้ หล่อนทำหน้าที่เป็นเพียงใครบางคนที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสั่งการไม่ต่างจากเขา ทว่าไร้ตำแหน่งที่แน่นอน เขาเดาว่าตำแหน่งจริงๆ ของหล่อนนั้น น่าจะแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมเขาเสียมากกว่า
“เสร็จหรือยังยัยเทียน ฉันต้องรีบไปโรงเรียนตาโอบนะ” สตรีวัยเลยสาว ที่วันนี้แต่งกายเรียบหรูดูดีทุกกระเบียดนิ้ว เอ่ยถามบุตรสาวอย่างไม่เกรงใจใคร ด้วยว่านั่งอยู่ตรงนี้มาชั่วโมงหนึ่งแล้ว ฟังถ้อยเจรจาเรื่องข้อตกลงของหุ้นส่วนใหม่จนเบื่อเหลือกำลัง
“ชู่ว์...คุณแม่คะ เสียมารยาท”
“ช่างสิ ฉันรีบ”
“ใช่ครับ พวกเราทุกคนก็คิดว่าคุณน่าจะเซ็นเอกสารสักที” หนึ่งในหุ้นส่วนสูงวัยของ RPS เอ่ยขึ้น บุรุษสูงวัยอีกท่านที่นั่งอยู่ข้างกันยังพยักหน้ารับคำ
สมัตถ์ขยับกายอย่างอึดอัด จนทนายเจ้าเก่าที่พามาด้วยยังรู้ได้ถึงความอึดอัดนั้น
“เซ็นเถอะครับ คุณมีแต่ได้กับได้ หุ้นตรงส่วนนี้เป็นของคุณรุ่งรดิศมาก่อน ท่านมีสิทธิ์จะยกให้ใครก็ได้ แค่คุณเซ็นมัน ทุกอย่างก็จบ” ทนายร่างเตี้ยที่ยิ่งดูเตี้ยเมื่อนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ เอ่ยหว่านล้อมคนที่เป็นเหมือนเจ้านาย งานนี้คงไม่สำเร็จลงโดยง่ายหากว่าสมัตถ์ยังมีความลังเล
สมัตถ์ถอนหายใจแรงๆ ใบหน้าเครียดขึ้นทุกขณะ
“ไปคุยกับฉันที่ระเบียง สองนาทีค่ะ ลุกเดี๋ยวนี้”
เทียนหยดสั่งแล้วลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ระเบียง หญิงสาวเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกไป ลมแรงพัดเข้ามาภายในห้องที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ แดดแรงพอสมควรและเริ่มร้อนแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเดือนมกราคมซึ่งเป็นหน้าหนาว
สมัตถ์ตามออกมาราวกับโดนยาสั่ง เขาไม่ชอบการถูกสั่ง แต่ไม่มีทางเลือกยามที่เทียนหยดบัญชา
“มันไม่มีแรงจูงใจอะไรเลยที่พ่อเลี้ยงของเธอต้องมายกหุ้นให้ฉันฟรีๆ ตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์” สมัตถ์โพล่งออกมาอย่างเหลืออด จ้องมองวงหน้าเนียนกริบของเทียนหยดแล้วใจเต้นแรง วงหน้างามช่างนวลเนียนเกินจะกล่าว ราวกับมิเคยมีไฝฝ้าราคีใดๆ
“มีแน่นอนค่ะ มันมีแน่ ฉันอยากบอกคุณจะแย่แต่ต้องให้อคติในใจคุณหายไปเสียก่อน”
“เธอมีความลับที่ยังไม่ได้บอกฉัน”
“ค่ะ ใช่” เธอยอมรับ ยกมือกอดอกอย่างไม่รู้จะเอามันไปไว้ตรงไหนดี
สมัตถ์มองตามมือนั้น พุ่มทรวงของหล่อนถูกทำให้รูปร่างชัดเจนขึ้นด้วยการกอดอก ให้ตายเถอะ หล่อนยั่วเขาโดยไม่รู้ตัวเลย
“คุณแค่เซ็นยอมรับหุ้นนั่นแล้วมาทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แค่นั้นก็จบ”
“แต่ฉันไม่อยากเซ็น” เขายืนยัน มีความไม่มั่นใจมากมายหลายสิ่งอย่าง
“คุณต้องเซ็น คุณมีความจำเป็นที่ตัวเองรู้ดีที่สุด” เธอหว่านล้อม เริ่มโมโหขึ้นมาแล้วล่ะ คนอะไรดื้อด้าน เอาเงินมากองให้แทบเท้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมก้มลงไปหยิบมัน
“เธอจะได้อะไร เธอไม่มีหุ้นในบริษัทด้วยซ้ำ” เขากังขา
เทียนหยดส่ายหน้า ผมยาวถึงบั้นเอวถูกรวบเป็นหางม้าสูงกลางศีรษะ มันช่วยดึงใบหน้างามให้ตึงมากขึ้นไปอีก
“ฉันได้ความสะดวก”
“ยังไง”
“แม่ฉันคงอกแตกตายถ้าบริษัทตกเป็นของคนอื่น แม่ไม่มีความรู้เรื่องงานบริหาร และฉันไม่มีความสามารถพอ ฉันมีงานของฉัน ฉันทำงานให้ RPS เต็มตัวไม่ได้ ที่สำคัญก็คือ คุณลุงอยากได้ความมั่นคงในระยะยาว ท่านหวังว่าความสามารถของคุณจะดูแล RPS ไว้ให้ท่านจนกว่าตาโอบจะโตพอที่จะทำงานแทนท่านได้ ท่านอยากให้เตชะทัตยังมีความมั่นคงทางการเงิน”
“แต่ฉันไม่อยากได้เงินของศัตรู”
เขาเอ่ยอีก คอแข็งขึ้นมา เชิดหน้าไปทางอื่นที่มิใช่ใบหน้าของเทียนหยด
“คุณไม่อยากแต่ครอบครัวคุณอยาก ทุกคนมองออกว่างานนี้คุณมีแต่ได้กับได้ มีแต่คุณที่ทำเป็นหยิ่งยโสไม่เข้าท่า คุณกำลังลำบากสมัตถ์ คุณขายโรงแรมขายสมบัติใช้หนี้ และครอบครัวคุณกำลังจะไม่มีกิน ยอมรับความจริงซะ!”
สมัตถ์กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ศักดิ์ศรีของเขากำลังถูกบั่นทอนด้วยวาจาของสตรีที่อยู่ตรงหน้า หล่อนช่างพูดความจริงได้ยอกแสยงใจเหลือเกิน
“คุณโกรธฉันได้สมัตถ์ เพราะฉันก็โกรธเหมือนกันที่คุณลุงทำแบบนี้ คุณลุงไม่จำเป็นต้องให้อะไรพวกคุณเลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เตชะทัตก็สูญเสียไม่แพ้โสภณวิชญ์ คุณคิดแต่ว่าแม่คุณต้องตาย แล้วคุณลุงฉันล่ะ น้องฉันอายุแค่สิบขวบ เขายังเล็กกว่าคุณด้วยซ้ำ แต่เห็นแล้วว่าเขาก็กลายเป็นกำพร้าไม่ต่างจากคุณ อย่าหยิ่งในศักดิ์ศรีให้มากนัก ยอมรับความจริงและยอมรับสิ่งที่สวรรค์ส่งมาให้คุณเถอะ”
“เทียนหยด!” สมัตถ์ร้องออกมาอย่างสุดจะทน โกรธจนตัวสั่นเพราะรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนจากวาจาสาวเจ้า เทียนหยดไม่ได้ด่าเขาเลย แต่ทำไมถึงรู้สึกเจ็บจุกอย่างนี้ก็ไม่รู้ ความมั่นใจในตัวเองถูกกดให้จมดินเสมอยามอยู่ใกล้หล่อน หล่อนคือตัวโชคร้าย เป็นเหมือนปีศาจประจำตัวเขาเลยล่ะ
“คะ คุณสมัตถ์ ฉันคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจสิ่งที่ฉันบอกแล้ว เราควรเข้าไปข้างในแล้วเซ็นเอกสารให้เสร็จๆ ดีไหมคะ” บอกแล้วขยับไปที่ประตูกระจก จัดการเลื่อนมันออกแล้วก้าวเข้าไปในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ
สมัตถ์ก้าวตามมา หน้าตาไม่เข้าใกล้ความรื่นรมย์ เขานั่งลงยังเก้าอี้ตัวเอง จัดการเซ็นเอกสารจนเรียบร้อย ท่ามกลางความโล่งใจของเทียนหยด ก่อนที่การประชุมภายในของผู้ถือหุ้นจะจบสิ้นลง สมัตถ์กลับไปพร้อมทนายของเขาและเอกสารแฟ้มเขื่อง ผกากรองกับเทียนหยดเดินออกจากห้องประชุมเป็นกลุ่มสุดท้าย ถัดจากผู้ถือหุ้นสองคนที่ล่วงหน้ามาก่อน ใบหน้าผกากรองยังบึ้งตึงแม้แต่ตอนที่เดินเข้ามาในลิฟต์
ภายในลิฟต์โดยสารที่มีเพียงสองแม่ลูก ลิฟต์เคลื่อนลงไปเรื่อยๆ ตามความสูงของอาคารหกชั้น
“แม่คะ”
“อย่ามาพูดกับฉัน ฉันโกรธอยู่” ผกากรองว่าแล้วมองหน้าตัวเองในผนังลิฟต์มันวาว มีความไม่พอใจระบายอยู่บนใบหน้าของตัวเองจนต้องเลื่อนดวงตาไปมองทางอื่น
“มันเป็นความประสงค์ของคุณลุงนี่คะ”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้อะไรคนพวกนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ แกรู้ดีที่สุดยัยเทียน” ว่าแล้วจับกระเป๋าคลัตช์ใบหรูมาหนีบไว้ใต้วงแขนแรงๆ ด้วยรูปร่างที่ระหงทุกสัดส่วนทำให้ผกากรองยังดูดีเมื่อเทียบกับอายุจริง
“ถ้าไม่ยกให้เขา แม่อยากยกให้ใครละคะ คุณลุงให้หุ้นพวกเขาอย่างน้อยๆ แม่ก็มั่นใจได้เลยว่าเขาไม่พาบริษัทเจ๊งแน่ๆ หนูทำคนเดียวไม่ไหวหรอกนะคะ”
เทียนหยดชี้แจง เธอไม่ได้ทำงานให้ RPS เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง งานบริหารจัดการของเธอเธอก็ต้องดูแล
“นั่นแหละที่ทำให้ฉันโกรธ ถ้าฉันรู้เรื่องงานบริหารมากกว่านี้สักนิดก็คงไม่ต้องให้หุ้นพวกเขาหรอก”
เทียนหยดส่ายหน้าช้าๆ มองมารดาแล้วสะท้อนในอก
“แม่คะ ถึงยังไงคุณลุงก็ยกหุ้นให้คุณสมัตถ์อยู่ดี ต่อให้แม่ทำงานเก่งแค่ไหน หุ้นตรงนั้นคุณลุงก็ไม่ให้แม่หรอกค่ะ”
“ใช่! แกรู้ดีนี่ว่าอะไรเป็นอะไร มีแต่ฉันเท่านั้นแหละที่ไม่รู้” บอกอย่างนึกเคืองบุตรสาว มีบางเรื่องที่เป็นความลับที่อดีตสามีไม่ยอมบอกนาง แต่กลับบอกบุตรสาวของนางแทน
“มันไม่มีอะไรนี่คะ แม่เชื่อเถอะว่าคุณลุงท่านไม่ได้นอกใจแม่จริงๆ”
“น่าเชื่อตายล่ะ พวกนั้นแอบนัดแนะพบกันตั้งหลายครั้งหลายหน และเป็นแกแท้ๆ ที่คอยอำนวยความสะดวกให้พวกนั้นได้เจอกัน ฉันอยากรู้นักเทียนหยด แกยังคิดว่าฉันเป็นแม่อยู่หรือเปล่าฮะ!”
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างของผกากรองและอารมณ์อันติดลบของนาง เทียนหยดมองตามร่างมารดาแล้วได้แต่ทอดถอนใจ บางครั้งการเป็นคนกุมความลับก็น่าหนักใจเกินจะกล่าว เธอพูดมันออกมาไม่ได้ จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ