“สวัสดีค่ะท่านรอง ดิฉันผู้ช่วยเลขาเจริยามารายงานตัวค่ะ”
“สวัสดีครับเลขาเจริยาคนสวย” คำพูดที่แปลกหูทำเอาเจย่าขมวดคิ้ว เธอเงยหน้าขึ้นจ้องตากับคนตรงหน้าวินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น แต่พอเธอได้มองเขาที่นั่งอยู่บนโต๊ะรองประธานให้ชัดๆ กลับทำให้หัวใจของเธอราวตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “พี่คิน!!!” อนาคินอมยิ้มชอบใจในทันทีเขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหาเธอ “เรียกท่านรองสิเลขาเจริยา นี่มันเวลาทำงานนะ” เขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกใจไล่เรียงเหตุการณ์ไม่ทัน “ท่านรองต้องเป็นพี่คีรินไม่ใช่เหรอ ไหนตอนนี้ถึงเป็นพี่ได้ล่ะ” เธอถามกับเขาด้วยเสียงสั่นๆ ก็เธออยากมาเป็นเลขาของพี่คีรินคนที่เธอชอบไม่ใช่เขาที่เธอเหม็นขี้หน้า! “คีรินไม่โทรหาเธอเลยเหรอ?”เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เขาไม่ได้บอกเธอเหรอว่าเขาต้องไปบริหารบริษัทที่อังกฤษแทนคุณเจมส์หนึ่งปี แล้วที่นี่ให้ฉันดูแลแทนนะ” เจย่าจ้องมองแววตาของอนาคินด้วยนัยน์ตาสั่นๆ “ไหนเธอบอกว่าเป็นน้องสาวสุดที่รักของคีรินไม่ใช่เหรอ” คำพูดกวนพลางเยาะเย้ยของเขาทำให้เจย่ารู้สึกช้ำในอกเป็นอย่างมาก “ทำไม พูดแค่นี้ก็จะร้องไห้แล้ว?” “เจไม่ได้จะร้องเพราะคำพูดพี่ แต่เจร้องเพราะต้องมาเห็นหน้าพี่ทุกวันต่างหาก” เธอพูดพลันยกมือปาดน้ำตาและแสดงสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวจ้องเขาอย่างไม่หวาดกลัว แต่ดวงใจกลับรู้สึกสั่นๆ ฝั่งอนาคินเองเขารู้สึกเจ็บในอกไม่น้อย ให้กับสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่ “เหรอ ถ้าไม่อยากทำก็ว่างงานสักปีสิ รอคีรินกลับมาค่อยมาทำ” ใช่ถ้าไม่อยากจะเห็นหน้าเขาขนาดนั้นเธอก็ไปเลย เขาคิดคนเดียวอย่างน้อยใจ “เจไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ เพราะมันดูไม่มืออาชีพ อีกอย่างเจจะไม่ร้องไห้ให้พี่อีกแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย” เธอกัดฟันพูดพลางจ้องเขาตาแข็ง แต่อนาคินก็แอบยิ้มไม่ใช่เพราะชอบในความกล้าของเธอ แต่ชอบที่เธอจะทนอยู่กับเขาต่อต่างหาก “งั้นก็ไปเอาเอกสารบนโต๊ะ” เขาชี้นิ้วไปบนโต๊ะทำงานของตัวเอง “แฟ้มสีส้ม ก๊อบปี้หน้าหลังเข้าเล่มยี่สิบห้าเล่มให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงแล้วเอาไปให้ฉันที่ห้องประชุม ใส่แผ่นใสด้วยนะ” เขาเอ่ยจบก็เดินยิ้มๆ ออกไป ปล่อยให้หญิงสาวยืนอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนั้น “ยี่สิบห้าเล่มเลยเหรอ” เธอบ่นเบาๆ แต่กระนั้นก็ยอมทำตาม เดินไปหยิบแฟ้มเอกสารอันนั้นมาแล้วลงไปที่ชั้นล่าง ณ โรงแรมหรูใจกลางเมืองลอนดอน นาย อนาวิน หรือ คีรินกำลังยืนทักทายลูกค้าของเขาอยู่บนร้านอาหารของโรงแรมก่อนที่สายตาคมจะเหลือบไปเห็นว่าโซเฟียหญิงสาวข้างบ้านของเขา กำลังยืนจับมือกับผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าโรงแรม แต่สิ่งที่สะดุดตาชายหนุ่มคือเขาเห็นว่าเธอร้องไห้ด้วย คีรินตาเบิกกว้างรีบเพ่งมองอย่างวิเคราะห์ ก่อนเขาจะเห็นว่าเธอสะบัดมือออกจากชายคนดังกล่าวแล้วเดินกึ่งวิ่ง หนีไป “เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาบ่นพึมพำเบาๆ แต่เพราะต้องไปคุยงานก่อนชายหนุ่มจึงยังไม่อาจไขข้อข้องใจได้ในตอนนี้ “ฮือ~” ทางด้านหญิงสาว โซเฟียกำลังเดินร้องไห้น้ำตาซึมไปตามถนนมือของเธอกำสายกระเป๋าสะพายแน่น เมื่อนึกถึงคำพูดของเขาคนนั้น ‘โซเฟียมาทางนี้’ ซาเวียร์คนของกาเบรียลได้เข้าไปดึงตัวเธอมาจากหน้าโรงพยาบาล ‘นายจะพาฉันไปไหน’ ซาเวียร์พาตัวของโซเฟียมาที่โรงแรม เพราะมีกาเบรียลรอเธออยู่ที่คาเฟ่ชั้นหนึ่งของที่นี่ ‘คุณกาเบรียลต้องการเจอเธอน่ะโซเฟีย’ ชายหนุ่มเดินจูงมือของเธอมาส่งจนถึงมุมวีไอพีของคาเฟ่ หญิงสาวรีบส่งยิ้มให้เขาแม้ความรู้สึกของเธอจะไม่ได้รู้สึกยิ้มไปด้วยก็ตาม หญิงสาววางกระเป๋าลงไว้ที่เก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับกาเบรียลพอดี ‘แผนการเป็นยังไงบ้าง เห็นว่า 3-4 วันมานี้แกสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็วแล้วนี่ แล้วเมื่อไหร่จะรีบๆ ทำ’ ชายแก่ถามกับเธอแกมออกคำสั่ง ‘ความรู้สึกของคนนะคะ มันจะไปเร่งรัดได้ยังไง อีกอย่างเขาก็ยังดูไม่ได้ชอบหนูตอบด้วยซ้ำ’ หญิงสาวตอบไปด้วยคำโกหกเล็กน้อย ถึงเขาจะชอบหยอดเธอกลับก็ใช่ว่าเขาจะชอบเธอตอบนี้ กาเบรียลมีสีหน้าไม่พอใจในทันทีเขากอดอกแล้วหันไปจ้องหน้าลูกน้อง ซาเวียร์มีสีหน้าลังเลก่อนยื่นซองอะไรบางอย่างมาให้หญิงสาวสองห่อ ‘นี่มันอะไร’ เธอมองดูด้วยความสงสัย ‘ตัวช่วยเร่งความสัมพันธ์ไง ห่อสีเหลืองยานอนหลับ ห่อสีฟ้ายาปลุก’ หญิงสาวตกใจมองคนตรงหน้าตาเหลือกโต ‘อะไรนะ นี่จะให้หนูรีบรวบหัวรวบหางเขาขนาดนี้เลยเหรอคะ หนูกับเขาพึ่งจะเจอกันได้อาทิตย์เดียวเองน่ะ มันจะไม่เร็วไปหรือไง’ เธอตอบโต้ออกมาอย่างไม่พอใจ ‘จะใช้เวลาไปทำไม ในเมื่อหน้าที่แกคือการจับเขา ฉันไม่ได้ให้แกไปรักกับเขาจริงๆ สักหน่อย’ กาเบรียลพูดเสียงเรียบแต่โซเฟียกลับรับรู้ว่าเขาด่าเธอผ่านแววตาที่มองมา เธอยื่นซองในมือคืนให้กาเบรียล ‘เอาคืนไปค่ะ ถ้าจะให้หนูทำ หนูขอทำในแบบวิธีของหนู ถ้าคุณรอไม่ได้ หนูก็ไม่ทำ’ เธอลุกยืนทันทีพลางรีบหยิบกระเป๋า ซาเวียร์เดินเข้ามาขวางไว้พร้อมกับคำพูดของกาเบรียลที่ทำให้เธอต้องฉุกคิด ‘ถ้าแกไม่ทำงานนี้จนสำเร็จ ฉันจะไม่จ่ายค่าหมอค่าโรงพยาบาลให้แม่แกต่อ’ เธอหันกลับไปจ้องหน้ากาเบรียล ‘อะไรนะ แต่การจ่ายค่าหมอค่ารักษามันคือค่าแรงที่คุณตกลงไว้ ตอนที่หนูเสี่ยงไปเอาข้อมูลให้คุณเมื่อหลายเดือนก่อนไม่ใช่เหรอ ไหนคุณบอกว่าถ้าหนูทำได้จะจ่ายค่ารักษาให้แม่จนเธอหายไง’ เธอรีบหันมาเรียกร้องความยุติธรรมจากเขา กาเบรียลลุกพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ‘แล้วมันจะทำไม ในเมื่อเงินมันก็เงินของฉัน’ โซเฟียถึงกับยืนนิ่งพูดไม่ออก ‘ทำไมคุณถึงได้กล้ากลืนน้ำลายตัวเองแบบนี้’ มือใหญ่เอื้อมขึ้นมาบีบแก้มของเธอด้วยความโกรธ ซาเวียร์จ้องมองอย่างนึกห่วง ‘แกมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน!! หน้าที่แกคืออะไรไปคิดดูนะ!!’ พูดจบกาเบรียลก็เดินหนีไป ซาเวียร์เดินมาหาหญิงสาวที่กำลังน้ำตาคลอเขาหยิบห่อยาสองห่อบนโต๊ะนั้นใส่มือให้กับเธอ ‘เธอก็รู้ว่าคุณกาเบรียลไม่ชอบให้ใครมายกเลิกกลางคัน’ หยดน้ำตาตกลงกระทบแก้มของหญิงสาว ทำไมเธอถึงได้มีเขาเป็นพ่อนะ ‘รวมถึงห้ามทำพลาดด้วยใช่ไหม’ เธอร้องไห้โฮยกมือขึ้นปาดน้ำตา ซาเวียร์ยืนมองอยู่เป็นเพื่อนเธอสักพัก ก่อนจูงมือพาเดินออกมาส่งที่หน้าโรงแรม ‘ทำไมเธอถึงต้องทน หนีไปเถอะนะ’ ชายหนุ่มบอกตอนที่เขาพาเธอมาถึงหน้าโรงแรมโซเฟียที่ยังร้องไห้อยู่ส่ายหัว อย่างไม่เข้าใจ ‘นายจะให้ฉันทิ้งแม่ตัวเองไปงั้นเหรอ’ เธอสะบัดมือออกเต็มแรงก่อนจะเดินหนีมา “ฉันจะทำยังไงดี จริงอยู่ว่าฉันชอบเขา แต่บางทีให้ฉันไม่ต้องรู้สึกอะไรกับเขามันคงจะง่ายกว่านี้” หญิงสาวบ่นกับตัวเองเมื่อใบหน้าของคีรินกำลังครอบครองความคิดของเธออยู่ เขาที่แสนดีขนาดนั้น เธอจะไปหลอกเขาลงได้ยังไง ร่างเล็กหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งริมทาง เธอคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรต่อดี แม้การที่ครอบครัวเขาต้องมาดองกับลาวาเลนเต้อาจจะไม่ได้เสียหายมาก แต่หากเขารู้ทีหลังว่าเธอตั้งใจหลอกเขา ในอนาคตเขายังจะรักเธอลงงั้นหรือ“เบอร์พี่คิน…” เธอนั่งเงียบจ้องไปที่จอมือถือ เขาโทรมาทำไม? จะโทรมาพูดเรื่องเมื่อคืนเหรอ? หรืออะไร หญิงสาวหน้าแดงแจ๋เมื่อแอบคิดไปไกล จนสายจากเขาถูกตัดไปเอง ก่อนจะเด้งขึ้นเป็นข้อความเข้ามาแทน หลังเธออ่านข้อความบนจอจบเขาก็โทรเข้ามาอีกรอบจนเธอเผลอกดรับอย่างไม่ได้ตั้งตัว เจย่าหน้าเจื่อนไปในทันทีแต่ก็จำต้องยกมือถือขึ้นแนบหู แต่เขากลับไม่พูดอะไรมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ดังแทรกเข้ามา “มีอะไรคะ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด” เธอจึงตัดความเงียบด้วยการถามเขาก่อน [“พี่นึกว่าเธอเองก็จะไม่พูดกับพี่ด้วยเหมือนกันแหะ เป็นยังไงบ้าง”] เจย่าขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไรเป็นยังไงบ้าง” เธอสวนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเปล่า ปลายสายจึงเงียบไปอีกรอบ [“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงอยากได้ยินเสียง”] เขาว่าเจย่าเผลออมยิ้ม ตาบ้านี้จะมาหยอดอะไรอีกล่ะ [“เตรียมของหรือยัง วันจันทร์นี้อย่าลืมว่าต้องไปชุมพรกับพี่นะ”] “จำได้แล้วน่า เจไม่ใช่ปลาทองนะไม่ลืมหรอก” เธอตอบกลับเขาเชิงประชด [“ก็ดี งั้นวันจันทร์หกโมงเช้าพี่จะไปรับที่บ้านนะ เราจะเอารถไปเอง”] “ห๊า!!!” เจย่าตาเบิกกว้างนี้เธอจะต้
ณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่
เช้าวันรุ่งขึ้น เจย่าตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังอยู่ “เรามานอนตรงนี้ได้ไง” เธอชะงักมองร่างกายของตัวเอง ที่ตอนนี้ก็ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวาน ไม่ทันจะคิดให้มากความหญิงสาวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองสั่นอยู่ในกระเป๋าสะพาย ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เธอรีบเปิดดู ปรากฏเห็นเป็นสายค้างของพ่อกับแม่และพี่ชายที่โทรตามตั้งแต่เมื่อคืน เจย่าตาเหลือกลุกพรวดและวิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่ได้หันกลับมาสนใจ ว่าห้องที่ตนนอนอยู่ทั้งคืนเป็นห้องของใครเสียด้วยซ้ำ ร่างเล็กวิ่งจู๊ดออกมานอกตึกแล้วเรียกแท็กซี่ไปเอารถที่บริษัทขับกลับบ้านทันที บ้านฤทธา “เจย่า!!” คนเป็นพ่อและพี่ชายที่รออยู่รีบลุกขึ้นมาสำรวจดูยัยตัวดีที่เดินเข้าบ้านมา “เมื่อคืนไปไหนต่อ ทำไมหายไปทั้งคืนโทรหาก็ไม่รับ” จิรกิตติ์เอ่ยถามกับลูกสาวเสียงดุ เจย่ายิ้มเจื่อนมองหน้าพ่อ “ก็ไปดื่มกับเพื่อนไงค่ะ พอดีเมามากกลับไม่ได้เลยค้างห้องเพื่อนนะคะ” เธอตอบแม้จะยังไม่มั่นใจว่าใช่ห้องเพื่อนจริงหรือเปล่า “แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกกันก่อน” จอนนี่บ่นสายตาเขายังคงสำรวจน้องอย่างจับสังเกต “ก็เมาจะไปส่งมาได้ไ
“ได้ งั้นฉันจะทำให้เธอจำฉันเอง” แผนร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมรอยยิ้มแต้มมุมปาก อนาคินก้มหน้าลงจูบเธออีกครั้งรอบนี้หญิงสาวยอมเปิดปากให้แต่โดยดี เขาจึงว่าจะลองลิ้มรสจูบหยอกกับลิ้นเล็กของเธอสักครู่ ก่อนจะหยุดและทำตามแผนที่คิดไว้ แต่มันดันไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเธอพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือเขา หญิงสาวนั่งลงบนตักของคนใต้ล่างพลางรูดซิปเสื้อของเธอออกพร้อมถอดมันทิ้งไป “เจย่า?” เขาเรียกชื่อของเธอเสียงสั่น พลางมองหน้าสวยที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตรงหน้า อนาคินกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อ เธอโชว์ความมหึมาเด้งดึงชูชันต่อหน้าเขา ชายหนุ่มหันหน้าหนีใบหน้าแดงก่ำ ที่เขาคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้นะ ในระหว่างที่คิดหน้าของเขาก็ถูกเธอดึงกลับไปพร้อมโอบหัวเขาไว้จนใบหน้าคมเข้าไปซุกอยู่ที่อกอวบ “ไม่ไหวแล้วเว้ย” แล้วเช่นนี้เสือแบบเขาเหตุใดจะทนได้ อนาคินรวบเอวเล็กกอดไว้ในทันทีพลางใช้ปากดูดยอดอกเสียงดังจ๊วบ บวกกับเจ้าของร่างน้อยที่กำลังครางเสียงสั่น “อะ อ่า อือ” เจย่ากัดที่ริมฝีปากตัวเองด้วยความหวาดเสียวแววตาหลับพริ้มราวคนกำลังฝันหวาน กระโปรงตัวยาวของเธอถูกเขาถอดออกอย่างง่าย “ไม่กงไม่แกล้งมันแล้ว เอาจริงกันเล
ณ ผับ× ทุกคนในโต๊ะลุกขึ้นชนแก้วกันพวกเขามีรอยยิ้มและสนุกไปกับเสียงเพลง เจย่าเองก็เช่นกันแม้เธอจะแค่จิบๆ แต่พอดูเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เมากันแล้วลุกดีดเต้นให้ดูก็หัวเราะชอบใจ “เบาๆ ด้วยนะพี่ซูชิอย่าไปเหยียบตีนคนอื่นเข้าล่ะ ยิ่งตัวโตๆ อยู่” วาเนียที่นั่งข้างเจย่าร้องบอกกับพี่ซูชิที่ลุกออกจากโต๊ะไปเต้นกับหนุ่ม “ว่าแต่เจย่าไม่อยากลุกเต้นหน่อยเหรอครับ เพลงกำลังมันเลยนะ” โทนี่ที่ดูจะเป็นคนรักสนุกไม่น้อยเขาถามเธอพลางโยกตัวไปตามเสียงเพลง “ไม่เป็นหรอกค่า ไม่ค่อยชอบนะ” ระหว่างที่คุยอยู่วาเนียก็จับแก้วเหล้าใส่มือให้เพื่อน “ยกๆ หมดแก้วดิวะ มานั่งตั้งนานแกยังไม่หมดแก้วเดียวเลยนะ” วาเนียจับแก้วของเธอขึ้นมาชนด้วย “แกฉันไม่ชอบดื่ม ถ้ากลับบ้านเมาทั้งพ่อทั้งพี่ชายบ่นหูชาแน่” “โอ้ย โตๆ กันแล้วนะน้องเจย่า ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกไหมคะ ชีวิตเราจะได้ใช้คุ้มค่าขึ้นนะ” พี่อ้อมบอก หญิงสาวก็ยิ้มอ่อนให้ เพราะเธอก็แอบคิดจะหาเช่าคอนโดอยู่เหมือนกัน ก็ระยะทางจากบ้านมาที่บริษัทมันก็ไกลกันสมควร “นี่ที่เขาว่ากันว่าท่านรองคนใหม่รักสนุกนี่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” โทนี่เอ่ยเป็นเชิงบ่นแต่ทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะเลิ่กลั่กหันมองตาม