หรือไม่ก็ สำหรับอัครมหาเสนาบดีวั่นแล้ว การที่หลานชายสายตรงที่ตนอบรมเลี้ยงดูมากับมือถูกจำคุก อนาคตพังพินาศ อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีกเฉียวเนี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูห้องที่ปิดแน่น นางพอจะจินตนาการออกว่าตอนนี้ฮ่องเต้คงกำลังขบกรามเบิกตากราดเกรี้ยวเพียงใดเดิมทีเฉียวเนี่ยนก็มีใจอยากอาศัยมือของอัครมหาเสนาบดีวั่นดึงองค์หญิงซูหยวนให้ร่วงจากตำแหน่งอยู่แล้ว จึงเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ไม่จำเป็นต้องถึงเพียงนี้กระมัง? ท่านก็รู้ดีว่าองค์หญิงซูหยวนเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินต้าจิ้ง แม้จะมีผิด แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นความผิดที่ต้องตัดหัว ท่านไยต้องกดดันถึงเพียงนี้? หากจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ความผิดของวั่นเจ๋อเยว่กลับร้ายแรงยิ่งกว่าองค์หญิงมิใช่หรือ? เช่นนั้นก็ควรตัดหัวเขาด้วยกระมัง?”ในห้อง ฮ่องเต้ฟังถ้อยคำของเฉียวเนี่ยนก็พยักหน้ารัวถูกต้อง หากจะตัดหัว ก็ต้องตัดหัวคนของตระกูลวั่นก่อน!แต่อัครมหาเสนาบดีวั่นกลับหัวเราะเย็นชา “ฝ่าบาท ในเมื่อเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของต้าจิ้ง ก็ยิ่งสมควรเป็นแบบอย่างที่ดี! เป็นสตรีแต่กลับประพฤติตัวต่ำช้า ทั้งวางยา ทั้งใส่ร้ายผู้
“หลับลึกขนาดนั้นเลยหรือ?” ฮ่องเต้ถามเรียบๆ คล้ายไม่อยากจะเชื่อ หลังตรวจฎีกาในมือเสร็จจึงวางพู่กันลง แล้วก็ถอนหายใจยาว “เรื่องมันไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าหลับได้ก็ไม่แปลก แต่เจ้าจงรู้ไว้ว่าเมื่อคืนนี้เราถูกความวุ่นวายรบกวนจนไม่ได้หลับเลย!”เฉียวเนี่ยนไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้พูดเช่นนี้เพราะอะไรเพราะอย่างไรเสีย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นนางที่สั่งให้ลุงเกิ่งไปแจ้งข่าวแก่ท่านอัครมหาเสนาบดีวรยุทธของลุงเกิ่งสูงส่ง การแฝงตัวเข้าไปในจวนอัครมหาเสนาบดีเพื่อทิ้งกระดาษไว้แล้วถอยออกมาโดยไม่มีร่องรอยนั้นเป็นเรื่องง่ายยิ่ง ไม่เพียงแค่ไม่มีคนในจวนอัครมหาเสนาบดีพบเห็น ต่อให้พบเห็น ก็ไม่มีทางจำลุงเกิ่งได้ใครจะนึกว่าสารถีธรรมดาในจวนอ๋องผิงหยางกลับมีวรยุทธที่น่ากลัวถึงเพียงนี้?ดังนั้นเฉียวเนี่ยนจึงไม่ตระหนกเลยแม้แต่น้อยที่จริง ฮ่องเต้ก็ไม่ได้มีท่าทีจะโทษนางอยู่แล้ว คำถามเมื่อครู่ก็เพียงแค่ต้องการหลอกให้สารภาพเท่านั้นจากนั้นฮ่องเต้ก็ยื่นมือออกมา “เราปวดหัวนัก เจ้าเข้ามาดูให้เราหน่อย!”ดูท่า นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ทำให้เฉียวเนี่ยนถูกเรียกเข้าวังอย่างเร่งด่วนเฉียวเนี่ยนรับคำแล้วเข้าไปตรวจชีพจรให้ฮ่องเต
ค่ำคืนนี้เฉียวเนี่ยนได้นอนหลับสนิทอย่างหาได้ยาก นางเอนกายลงนอนแทบจะทันทีที่ฟ้ายังไม่มืดสนิท กระทั่งมีคนจากในวังมา นางจึงตื่นขึ้นตอนนั้น ฟ้าก็สว่างแล้วคนที่มานั้น เฉียวเนี่ยนจำได้ดี เป็นเสี่ยวอันจื่อจากเรือนนอนของฮ่องเต้ คนสนิทของซูกงกงเมื่อครั้งเฉียวเนี่ยนดูแลปรับสมดุลร่างกายของฮ่องเต้ ก็มักพบเขาอยู่เสมอ จึงคุ้นหน้ากันดีเสี่ยวอันจื่อทำความเคารพเฉียวเนี่ยน “ท่านหญิงเฉียว ฮ่องเต้มีรับสั่งเชิญท่านเข้าวังเข้ารับ”เฉียวเนี่ยนเงยหน้ามองฟ้าแล้วขมวดคิ้ว “ชั่วยามนี้ฮ่องเต้น่าจะเสด็จออกว่าราชการ ไม่ทราบเรียกข้าเข้าวังด้วยเหตุใด?”“วันนี้ฮ่องเต้มิได้เสด็จออกว่าราชการขอรับ” เสี่ยวอันจื่อกล่าวตามจริง “ส่วนสาเหตุ ขอให้ท่านหญิงเฉียวเข้าวังก่อนเถิดแล้วค่อยว่ากัน!”เฉียวเนี่ยนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ใจเริ่มไม่สงบ แต่ก็ยังพยักหน้า “รบกวนกงกงนำทางด้วย”ครึ่งชั่วยามให้หลัง เฉียวเนี่ยนจึงมาถึงเรือนนอนของฮ่องเต้ไม่คาดว่าจะพบอัครมหาเสนาบดีวั่นตอนเฉียวเนี่ยนมาถึง อัครมหาเสนาบดีวั่นกำลังคุกเข่าอยู่หน้าห้องนอนของฮ่องเต้ ร่างของชายชราคุกเข่าได้ตรงเป๊ะ ดวงตาเปล่งประกายแน่วแน่ จ้องมองไปยังประตูห้องฮ่อ
หนิงซวงถึงกับตาแดง “คุณหนู ทำไมผอมลงขนาดนี้?”ครึ่งเดือนกว่าๆ มานี้ เฉียวเนี่ยนยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น กินดื่มก็เพียงพอประทังไปตามเรื่อง ย่อมผอมลงไม่น้อยเห็นหนิงซวงมีท่าทางเป็นห่วง เฉียวเนี่ยนก็ยื่นมือไปบีบจมูกเล็กๆ ของหนิงซวงเบาๆ “แค่เหนื่อยนิดหน่อย ไม่เป็นไร”หนิงซวงพยักหน้ารัว “เข่นนั้นพอกลับถึงจวนแล้ว บ่าวจะดูแลคุณหนูให้ดี จะต้องขุนคุณหนูให้อวบอิ่มขาวผ่องแน่นอนเจ้าค่ะ!”“เช่นนั้นข้าจะไม่กลายเป็นหมูหรือไง?”“คุณหนูเป็นหมูก็ยังสวยเจ้าค่ะ!”เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากเป็นหมูหรอกนะ!”ฟังบทหยอกล้อของนายบ่าวทั้งสอง ลุงเกิ่งก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาเปิดม่านรถม้า แล้วหันไปพูดกับเฉียวเนี่ยนว่า “คุณหนู เชิญขอรับ”เฉียวเนี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงขึ้นรถม้าด้วยความช่วยเหลือของหนิงซวงเมื่อรถม้าแล่นห่างออกไป เซียวเหอจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “จะหลบอยู่อีกนานแค่ไหน?”สิ้นเสียง ก็มีร่างหนึ่งเดินอ้อมมาจากหลังแนวกำแพงวังด้านไม่ไกลนัก คนผู้นั้นคือหลินเย่ว์เขามองเซียวเหอหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินเข้ามาอย่างช้าๆ สายตามองไปยังรถม้าที่แล่นจากไปแล้ว จึงเอ่ยว่า “วันนี้นับว่าโชคดีที่ไม่เกิดเรื่อ
สวีเหม่ยเหรินจากไปแล้วเซียวเหอเป็นผู้จัดให้คนสนิทนำส่งด้วยตนเอง ย่อมต้องปลอดภัยแน่นอน“แล้วเจ้าเล่า? จะเข้าเฝ้าฮ่องเต้อีกหรือไม่?” น้ำเสียงเยือกเย็นของเซียวเหอเอ่ยถาม ดวงตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและความเป็นห่วง จ้องมองเฉียวเนี่ยนไม่วางตาเฉียวเนี่ยนส่ายหัวช้าๆ “ไม่แล้วเจ้าค่ะ หากฮ่องเต้ทรงอยากพบข้า ย่อมจะมีรับสั่งมาเอง”ระหว่างพูด เฉียวเนี่ยนก็เผลอมองไปทางประตูวังก็เห็นรถม้าคันคุ้นตากำลังจอดอยู่ไม่ไกลข้างรถม้ามีคนยืนอยู่สองคน คือ ลุงเกิ่งกับหนิงซวงพอหนิงซวงเห็นเฉียวเนี่ยนหันมาทางนี้ ก็รีบเขย่งเท้ายกมือขึ้นสูง โบกมือให้เฉียวเนี่ยนกลัวนางจะมองไม่เห็นเฉียวเนี่ยนก็รีบโบกมือตอบ ยืนยันว่านางเห็นแล้วเซียวเหอมองตามสายตาเฉียวเนี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก “นางมาทุกวัน”คำพูดแผ่วเบาเพียงประโยคเดียว ทำเอาเฉียวเนี่ยนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งก็ได้ยินเซียวเหอเอ่ยว่า “บางทีก็พารถม้ามาด้วย บางทีก็ยืนอยู่คนเดียวหน้าประตูวัง ข้าบอกนางไปแล้วว่าเจ้าต้องอยู่ในวังอีกพักหนึ่ง หากจะออกจากวัง จะให้จีเยว่ไปแจ้งนางล่วงหน้า แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังมารออยู่หน้าวังทุกวัน บางวันรอเพียงหนึ
อวิ๋นเอ๋อร์ถูกดุเข้า นางก็หลุบตาลง ไม่พูดอะไรอีกเพียงได้ยินองค์หญิงซูหยวนตรัสว่า “เจ้าไปให้ห้องเครื่องจัดเตรียมไว้หนึ่งชุด อย่าทำให้ดีนัก ถึงเวลาองค์หญิงผู้นี้จะถือไปถวายเสด็จพ่อด้วยมือตนเอง เพียงบอกว่าทำเองก็พอ”อวิ๋นเอ๋อร์ถึงได้พยักหน้าและกล่าวรับคำในเวลาเดียวกัน เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบว่าองค์หญิงซูหยวนหายจากฤทธิ์ยาแล้ว ก็ถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก สายตาที่มองเฉียวเนี่ยนก็ไม่อาจห้ามความชื่นชมไว้ได้ “ล้วนเป็นเพราะเจ้าช่วยไว้ ไม่อย่างนั้น วันนี้เราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการอย่างไรดี!”ท่าทางของซูหยวนเช่นนั้น จะให้พวกหมอแก่ๆ ในโรงหมอหลวงมารักษาได้อย่างไร!เฉียวเนี่ยนยิ้มมุมปาก “ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำเพคะ”กล่าวจบ เฉียวเนี่ยนก็หันไปมองข้างๆ อีกครั้งเซียวเหิงได้จากไปแล้ว นางจึงเอ่ยว่า “ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หม่อมฉันกับสวีเหม่ยเหรินก็พอมีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ขณะนี้อยากไปส่งสวีเหม่ยเหรินเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าฝ่าบาทจะอนุญาต”“อืม สมควรอยู่” ฮ่องเต้พยักหน้า “เจ้าไปเถอะ!”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” เฉียวเนี่ยนคำนับหนึ่งครั้ง ก่อนเร่งรีบออกจากตำหนักซิ่วชุนไปร่างของสวีเหม่ยเหรินถูกเคล