เข้าสู่ระบบรถม้าจอดสนิทที่หน้าประตูจวนชิงผิงโหว กัวรั่วชิงลงจากรถม้าอย่างสง่างามราวกับเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงน้ำชาธรรมดา โดยมีกัวลี่ลี่ที่เพิ่งถูกส่งกลับมาสมทบก่อนหน้าเดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโล่งอก ผสมกับความตื่นเต้นที่ไม่อาจซ่อนเร้นได้
ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้าสู่เรือนกุ้ยฮวา บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นส่วนตัว กัวลี่ลี่รีบประคองเจ้านายไปนั่งบนเก้าอี้ไม้จันทน์บุไหมปักลายอย่างนุ่มนวล ก่อนจะรีบไปรินน้ำชามาให้คุณหนูของตนจิบ
“น้ำชาเจ้าค่ะ คุณหนู” กัวลี่ลี่เอ่ยเสียงเบา นางยื่นถ้วยชาดอกมะลิอุ่นๆ ให้เจ้านาย ก่อนจะถามรัวๆ อย่างตื่นเต้น “สรุปแล้ว ท่านได้พบกับท่านแม่ทัพใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพว่าอย่างไรบ้าง แล้วพวกท่านไปทำอะไรกันที่ไหนกันบ้างหรือเจ้าคะ”
กัวรั่วชิงรับถ้วยชามาถือไว้ ความร้อนจากถ้วยชาไม่ได้ร้อนแรงเท่าความรู้สึกที่ยังคุกรุ่นอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงฉากจูบที่เร่าร้อนในศาลาไม้ไผ่กลางหุบเขา ใบหน้าของนางก็พลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
“เด็กคนนี้! ถามอะไรเยอะแยะปานนั้น ข้าตอบไม่ทันเจ้าแล้ว” กัวรั่วชิงแสร้งทำเสียงดุแต่แววตาเต
หวงเชียนเล่อหันหลังเดินออกจากสวนหินอย่างเงียบเชียบ เขากลับไปยังเรือนรับรองฝั่งบุรุษที่ตนเองได้จัดการเข้าพักไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยการใช้เทียบเชิญพิเศษในฐานะแม่ทัพฉีหลิง ซึ่งย่อมได้รับความสะดวกในการเข้าพักแม้จะแจ้งทางอารามอย่างกะทันหันก็ตามผู้ติดตามของหวงเชียนเล่อที่นั่งรออยู่ในห้องถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะของผู้บังคับบัญชา “ท่านแม่ทัพ ท่านจะออกไปไหนอีกหรือ” ผู้ติดตามถามอย่างระมัดระวัง ทำท่าจะลุกตามไป“ไม่ต้องตามมา” หวงเชียนเล่อออกคำสั่งเสียงเข้ม “ข้าไปจัดการเรื่องส่วนตัวที่ต้องจบลงในคืนนี้” พูดจบเขาก็ก้าวอาดๆ ออกไปอีกครั้งยามวิกาล อารามเขาฉงซานเงียบสงบยิ่งกว่าที่ใด มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้และแสงสลัวจากโคมไฟกระดาษที่ยังคงส่องทางตามทางเดินหวงเชียนเล่อรู้ดีว่าเรือนพักของซุนจิ่งอี้อยู่ส่วนไหนของอาราม เพราะเขาได้สอบถามอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แม่ทัพหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้เสียงราวกับพยัคฆ์มุ่งหน้าไปยังจุดหมายเขาไม่ได้สนใจที่จะแอบดู หรือเข้าไปขอพบอีกฝ่ายตามมา
เรือนพักรับรองสำหรับสตรีเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เป็นเรือนไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ห่างกันพอประมาณ แต่ละหลังมีพุ่มไม้และไม้ประดับโอบล้อมไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว เรือนเหล่านี้ถูกจัดเตรียมไว้ให้สามารถพักอาศัยได้อย่างสะดวกสบายราวสี่ถึงห้าคน บรรยากาศโดยรอบล้วนชวนให้รู้สึกสงบเย็นกัวรั่วชิงเหลือบมองเห็นว่า ห้องพักหลายแห่งมีผู้มาแสวงบุญจับจองอยู่แล้ว แม้จะเห็นสาวใช้ หรือคนเดินเข้าออกอยู่บ้าง แต่ทุกเรือนล้วนเงียบสงบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนล้วนแต่สำรวมกายวาจาตามหลักของอารามหลังจากการพักผ่อนในเรือนชิงเหอได้ไม่นาน กัวรั่วชิงและกัวลี่ลี่ก็ออกมายังบริเวณพระอุโบสถหลักตามนัดหมาย ซุนจิ่งอี้ยืนรออยู่ก่อนแล้วในท่าทางที่สงบและสำรวมทั้งสองเข้าไปไหว้พระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ในโถงพระอุโบสถ จากนั้นจึงเดินไปยังส่วนรับบริจาค เพื่อบริจาคทานเป็นจำนวนเงินที่พอเหมาะสำหรับการทำบุญใหญ่ของอาราม“ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนทำวัตรเย็น” ซุนจิ่งอี้กล่าว “ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่สวนไผ่ของที่นี่ก่อนสักครู่ แล้วค่อยกลับมาทำวัตรเย็น”&ldqu
หลายวันต่อมา ในเช้าที่อากาศเย็นเยียบ ซุนจิ่งอี้ได้เดินทางมาถึงจวนชิงผิงโหวอย่างตรงเวลา เขาอยู่ในชุดลำลองผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุภาพและสง่างาม รถม้าของเขาจอดรออยู่หน้าประตูใหญ่ ซึ่งมีนายประตูต้อนรับและให้คนเข้าไปแจ้งข่าวไม่นานนักกัวรั่วชิงก็เดินออกมาจากโถงต้อนรับพร้อมกับ กัวไห่เจินและเฉินเหยียนเฟยที่ตั้งใจมาส่งนางถึงรถม้าซุนจิ่งอี้ซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว รีบโค้งคำนับต่อชิงผิงโหวอย่างนอบน้อม “ท่านโหว ฮูหยิน”“ตามสบายเถิด” ชิงผิงโหวตอบอย่างผ่อนคลาย แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยอำนาจ “การเดินทางไปถือศีลบนเขาถือเป็นเรื่องดี แต่ถนนหนทางก็ยากลำบาก ชิงเอ๋อร์เป็นลูกสาวที่พวกเราทะนุถนอม ข้าขอฝากให้ท่าน ดูแลนางให้ดี ตลอดการเดินทางและในอารามด้วย”เฉินเหยียนเฟย ยื่นห่อผ้าห่มขนสัตว์บางเบาให้กับกัวลี่ลี่ แล้วกล่าวกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง “ไปถือศีลก็อย่าลืมดูแลสุขภาพ อากาศบนเขาย่อมหนาวเย็นกว่าในเมือง เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”“ท่านพ่อท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงรับปาก แล้วหันไปทักท
“สหายเจ้า?” ซุนจิ่งอี้ทำท่าครุ่นคิด “คงหมายถึงคุณหนูเล็กสกุลเหยาใช่หรือไม่”กัวรั่วชิงพยักหน้า “ใช่แล้ว”“ความจริงเรื่องนี้ข้าก็นึกชื่นชมเจ้าอยู่เหมือนกัน” ซุนจิ้งอี้มองนางด้วยสายตาชื่นชม “ไม่ว่าคุณหนูเหยาจะเป็นเยี่ยงไร หรือจะถูกใครเหยียดหยามว่าเป็นคนเขลา แต่เจ้าก็ยังให้ความสำคัญกับมิตรภาพ อยู่เคียงข้างนางเสมอ คุณหนูเหยาช่างโชคดีที่มีสหายอย่างเจ้าจริงๆ”“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าไม่ว่าผู้ใด หากสหายเกิดเรื่องหรือเจ็บป่วย ก็คงไม่ทอดทิ้ง”“เจ้าถ่อมตัวอีกแล้ว เจ้าก็รู้คนมีคุณธรรมเยี่ยงนั้นไม่ได้มีมากนักหรอก” ซุนจิ่งอี้ยิ้มบางๆ “วันนี้ไม่เสียเปล่าจริง ที่ได้เจอกับคนดีๆ อย่างคุณหนูกัว”“ท่านรองเสนาบดีเองก็เป็นบุรุษที่เปี่ยมด้วยความรู้และคุณธรรม ข้าเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านเช่นกัน” กัวรั่วชิงตอบอย่างอ่อนโยน ในใจของนางยอมรับว่าบุรุษผู้นี้ดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ด้วยเหตุผลตื้นๆ และนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งแสดง
กัวรั่วชิงยิ้มตอบอย่างกระตือรือร้น“ความคิดของอาจารย์มู่หานนั้นเฉียบคมมาก โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจของขุนนางท้องถิ่นไปยังกลุ่มชนชั้นกลาง ข้าเห็นด้วยว่ามันคือรากฐานของความมั่นคงในระยะยาว” ครั้นเห็นเขามองมาด้วยสีหน้าแสดงความสนใจ นางก็ยิ่งยากจะพูดต่อ “แต่ข้าก็ยังคิดว่าการเมืองในยุคสมัยนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ หรือของขุนนางบางคนอย่างเช่นทุกวันนี้”“โอ้ ข้าก็มีความคิดคลายกันกับคุณหนูกัว” ซุนจิ่งอี้ยิ้มด้วยความพอใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับเจอเพื่อนที่เข้าใจกัน“แต่ใช่ว่าข้าจะไม่ชอบรัชมัยนี้หรอกนะ นับตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์บัลลังก์ ก็ทรงปกครองแว่นแคว้นหลังการเปลี่ยนรัชสมัยได้อย่างราบรื่น แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ” ช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นช่วงที่เปราะบางยิ่ง แต่มู่เหวินหลงกลับควบคุมดูแลทุกสิ่งได้อย่างดี แม้จะมีการก่อกบฏอยู่สองสามครั้ง แต่ราชสำนักก็จัดการได้อย่างหมดจด ถอนรากทอนโคนคนเหล่านั้นจนสิ้น นั่นย่อมหมายความว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทั้งเด็ดขาดและเต็มไปด้วยพระราชอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งยากยิ่งนักที่สตรีจะพูดเรื่องการเมืองก
ฤดูสาทรได้แผ่ความเย็นเยียบเข้าปกคลุมเมืองหลวง แสงอาทิตย์ยามเช้าทอประกายสีทองอ่อนๆ ผ่านสายหมอกบางเบา ลมที่พัดพามาเริ่มมีไอเย็นผสมอยู่ ทำให้ผู้คนต้องเริ่มสวมใส่เสื้อผ้าหนาขึ้น แม้จะเป็นฤดูแห่งความผลิบานของดอกเบญจมาศ แต่ก็เป็นสัญญาณของการเตรียมตัวเข้าสู่ความเหงาของฤดูเหมันต์ที่กำลังจะมาถึงเช้าวันดูตัวครั้งที่สามมาถึงอย่างรวดเร็ว กัวรั่วชิงสวมอาภรณ์งดงาม โดยเลือกผ้าไหมสีม่วงอ่อนที่ขับใบหน้าให้ดูนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความสุขุม นางให้กัวลี่ลี่ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยโดยไม่ประดับเครื่องประดับที่ฉูดฉาด เน้นความเรียบง่ายตามแบบอย่างกุลสตรีที่สมบูรณ์แบบครานี้เฉินเหยียนเฟยดูตื่นเต้นและกระวนกระวายใจมากกว่าครั้งก่อน พยายามตรวจตราและสาบเสื้อให้นางด้วยตนเอง“หากไม่ติดเรื่องเป็นพ่อม่าย ท่านรองเสนาบดีซุนจิ่งอี้นับเป็นบุรุษที่เพียบพร้อม มีเกียรติและไร้ข่าวฉาวใดๆ แม่ไม่อยากให้ครั้งนี้ผิดพลาดอีกจริงๆ เจ้าจะต้องวางตัวให้ดี ทำให้เขาประทับใจ”กัวรั่วชิงยิ้มบางๆ “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะปฏิบัติตนตามมารยาททุกประการ”ครั้นถูกมารดากำชับอีกสองสามประโยค กัวรั่วชิงก็เดินทางออกจากจวนชิงผิงโหวภัตตาคารฉางอันตั้งอยู







