เสียงซุบซิบของผู้คนที่มุงดูยังคงดังต่อเนื่องไปทั่วร้านราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง ใบหน้าของซูหมิ่นจูซีดเผือดลงเรื่อยๆ คล้ายกับถูกกระชากหน้ากากที่ปกปิดความอวดดีออกจนหมดสิ้น นางยืนกำชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ไว้แน่นจนมือสั่นเทิ้ม สายตาที่ก้มมองพื้นแสดงความอับอายที่นางไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต
ส่วนกัวรั่วชิงยังคงยืนอยู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบที่แฝงไปด้วยชัยชนะ
ในขณะที่ความรู้สึกอับอายกำลังถาโถมเข้าใส่จนซูหมิ่นจูแทบจะทนไม่ไหว จู่ๆ เงาร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านอย่างไม่รีบร้อน ผู้คนต่างหันไปมองแล้วต่างพากันแหวกทางให้อย่างรวดเร็ว เขาอยู่ในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีครามเข้ม ชายเสื้อมีลายปักเมฆมงคลสีเงินอย่างประณีต ใบหน้าของเขาดูงดงามราวกับเทพเซียน ดวงตาคมกริบทว่าแฝงไปด้วยความเย็นชาและไร้อารมณ์ใดๆ
เป็นหวงเชียนเล่อปรากฏตัวขึ้นพอดี ซูหมิ่นจูเห็นเขาแล้วดวงตากลมโตของนางก็เป็นประกายราวกับเห็นแสงสว่างในอุโมงค์ นางรีบปล่อยชายกระโปรงชุดสีขาวตัวนั้น แล้ววิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“พี่เชียนเล่อเจ้าคะ” เสียงของนางส
เหยาหลิงเจินได้ฟังก็ทำตาโตทันที “ไอ้หยา! รักสามเศร้าอีกแล้วรึ คราวก่อนกว่าเจ้าจะหย่าโจวจื่อหมิงได้ ก็พากันวุ่นวายจะแย่ ถ้าคราวนี้ยังเจอพวกเติ้งถูจื่อ[1]อีก ข้าว่าเจ้าอยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือไร”กัวรั่วชิงถอนหายใจ ขนาดเหยาหลิงเจินได้ชื่อว่าเป็นคนเขลายังปวดเศียรเวียนเกล้าแทนนาง แล้วนางจะไม่รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไรแม้นางจะหวั่นไหวให้หวงเชียนเล่อมากมายเพียงใด แต่การที่มารดาเขาส่งซูหมิ่นจูมาเยี่ยงนี้ ก็ชัดแล้วว่าฮูหยินจิ้งกั๋วกงจะไม่ยอมรับนางเป็นสะใภ้ แล้วถ้าฝืนแต่งเข้าจวนจิ้งกั๋วกงที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงไปทั้งอย่างนี้ นางอาจจะต้องลำบากใจมากกว่าตอนอยู่ที่จวนจวงเสียงป๋อก็เป็นได้นางไม่อยากมีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกแล้วแต่ติดก็ตรงที่หวงเชียนเล่อรักมั่นจริงใจกับนางมาเนิ่นนานนี่แหละนางถึงได้รับปากว่าจะเชื่อใจเขา“ไม่ใช่แบบที่เจ้าเข้าใจหรอกเจินเจิน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวหวงเชียนเล่อโดยตรง แต่เป็นเพราะสตรีที่หมายปองเขาเหล่านั้นต่างหากเล่า”“ซูหมิ่นจูอะไรนั่นอยู่ไกลถึ
หลังเหตุการณ์ฝูงผึ้งโจมตี วันนี้ร้านจื่อชิงที่เดิมทีเป็นที่นิยมกันในหมู่คนทั่วไปเท่านั้น กลับมีลูกค้าเข้ามาหนาตาอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มสตรีชนชั้นสูงและคุณหนูที่หลั่งไหลเข้ามาจนแน่นขนัด การมีอยู่ของลูกค้ากลุ่มใหม่นี้เป็นผลพวงโดยตรงจากข่าวลือในเมืองหลวงระยะนี้ ที่กล่าวถึงถุงหอมกันแมลงของกัวรั่วชิง ทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลมาเพื่อซื้อเครื่องหอมที่เชื่อว่าจะป้องกันตนเองจากแมลงร้ายและฝูงผึ้งได้ กลิ่นหอมของเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวในร้านที่เคยสงบ กลับผสมปนเปกับกลิ่นน้ำหอมฉุน ๆ ของบรรดาสตรีมากมายที่เบียดเสียดกันเข้ามาแต่ถึงแม้ลูกค้าจะมากเพียงใด บรรยากาศภายในห้องส่วนตัวของกัวรั่วชิง ก็ยังคงดูอบอุ่นและเป็นส่วนตัว ราวกับโลกอีกใบที่แยกขาดจากความวุ่นวายภายนอกอย่างสิ้นเชิงกัวรั่วชิงนั่งอยู่บนตั่งริมหน้าต่างที่มองเห็นสวนเพินจิ่ง[1] ทางด้านหลัง นางกำลังพินิจดูต้นไม้ที่ถูกจัดวางในถาดสวนอย่างใจเย็น ในมือถือถ้วยชาอุ่นๆ ที่ส่งไอน้ำขึ้นมาคลอเคลียใบหน้า แสดงถึงความสุขุมที่หาได้ยากในบรรดาคุณหนูทั่วไป“คุณหนูเจ้าคะ ใกล้เวลาที่คุณหนูเหยานัดหมายเอาไว้
หลังจากหวงเชียนเล่ออุ้มร่างของซูหมิ่นจูที่ใบหน้าบวมแดง และเริ่มหายใจติดขัดออกไปอย่างรวดเร็ว ความวุ่นวายก็เริ่มคลายลง เหลือไว้เพียงเสียงกระซิบกระซาบ และกลิ่นหอมของผึ้งที่ยังคงตลบอบอวลอยู่ในอากาศหวังเวยพี่ชายของหวังหลิงมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน เขามีสีหน้าเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความ ตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นน้องสาวของตนเองเปียกปอนและใบหน้าบวมแดงไปหมด เขาไม่ลังเลแม้แต่ชั่วเค่อเดียวที่จะรีบตรงเข้าไปหานาง“หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่!” หวังเวยร้องออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง ก่อนที่เขาจะรีบช้อนร่างอันสั่นเทิ้มของน้องสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม โดยไม่สนใจสายตาของใคร และไม่รอที่จะกล่าวลาผู้ใดเขาอุ้มหวังหลิงเดินออกจากบริเวณนั้นไปรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงและความเห็นใจของแขกเหรื่อ ที่รู้สึกเห็นใจและสงสารสตรีที่โชคร้ายเมื่อเห็นว่าบรรยากาศหมดสนุกแล้ว มู่หยงฉีก็เอ่ยว่าอยากจะกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะจูงมือเหยาหลิงเจินเดินนำบ่าวรับใช้ของจวนออกไปเป็นขบวนแต่เหยาหลิงเจินไม่ลืมที่จะยื่นหน้า
บทที่80 มีปากแต่พูดได้ยาก[1]หวงเชียนเล่อเห็นใบหน้าของญาติผู้น้องที่บวมแดง และเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกผึ้งโจมตีก็รู้สึกสงสารจับใจ เขารีบก้าวเข้าไปหาซูหมิ่นจูที่นั่งอยู่ข้างสระบัวด้วยความห่วงใย“จูเอ๋อร์ เจ็บมากหรือ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเห็นใจอย่างแท้จริง “ข้าจะตามหมอที่ดีที่สุดมาให้”ในจังหวะที่ซูหมิ่นจูกำลังได้รับความเห็นใจจากหวงเชียนเล่ออยู่นั้น กัวรั่วชิงก็เดินตามเข้ามาในบริเวณนั้นอย่างช้าๆ นางมีสีหน้าสงบ แววตาดูเหมือนเต็มไปด้วยความเข้าใจในความเจ็บปวดของซูหมิ่นจู นางเดินเข้าไปใกล้ร่างสั่นเทิ้มที่นั่งตัวสั่นอยู่ราวกับไม่ต้องการให้ใครมองเห็นซูหมิ่นจูมองใบหน้าของกัวรั่วชิงด้วยความแค้นเคืองและคับแค้นใจอย่างที่สุด เพราะนางรู้สึกว่าที่เหตุการณ์ทั้งหมดออกมาเป็นเยี่ยงนี้สตรีตรงหน้าจะต้องมีส่วนอย่างแน่นอน เพียงแต่นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้เล่ห์กลอันใด แล้วทำไมถึงเล่นงานตนเองด้วย ทั้งที่นางใช้ความแค้นของหวังหลิงในการล้างมือในอ่างทองคำไปแล้วทว่ามีปากแต่พูดย
มู่หย่งฉีก็พยายามตรวจตราเหยาหลิงเจินอยู่ไม่ไกล เขาเห็นนางยังปลอดภัยดีก็ยิ้มพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเหยาหลิงเจินเห็นเขามองจนพอใจแล้ว จึงดึงมือออกจากการเกาะกุมนั้น ก่อนจะเดินไปหากัวรั่วชิง“หวงเชียนเล่อ คุณหนูกัวไม่เป็นอะไรใช่ไหม”มู่หยงฉีเอ่ยถาม เห็นแม่ทัพหนุ่มพยักหน้า เขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก โดยเฉพาะการที่ผึ้งพุ่งเป้าไปที่ศาลาที่เรานั่งพักกันอยู่แบบนั้น ช่างน่าสงสัยยิ่ง”“กระหม่อมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” หวงเชียนเล่อรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านอ๋องประสงค์ให้สอบสวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เปิ่นหวางจะสอบสวนเรื่องนี้ดีไหมน้า...” ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเอ่อระเหยเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างยากคาดเดา มู่หยงฉีมองหน้ากัวรั่วชิงก่อนจะหันมาสบตากับเหยาหลิงเจิน “เจ้าว่าอย่างไร”เขาถามแม่นางน้อยที่คนทั้งแคว้นคิดว่าเป็นเพียงสตรีปัญญาอ่อนอย่างทีเล่นทีจริง“ท่านอ๋องหล่อจะไปสอบสวนน้องผึ้ง? ท่านพูดภาษาผึ้งได้หรือ&r
ในชั่วพริบตาที่หวงเซียนเล่อใช้ผ้าคลุมกัวรั่วชิง แล้วรีบออกจากศาลาแปดเหลี่ยมไป เว่ยอ๋องก็พา เหยาหลิงเจินออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว บัดนี้เหลือเพียงความโกลาหลที่ยังคงอยู่ในศาลาแห่งนั้นซูหมิ่นจูและหวังหลิงกรีดร้องไม่หยุดหย่อน พวกนางใช้มือปัดป้องฝูงผึ้งที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าและลำตัวอย่างบ้าคลั่ง อาภรณ์ที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของพวกนางดูราวกับดึงดูดผึ้งฝูงนี้ไว้โดยเฉพาะซูหมิ่นจูพยายามวิ่งหนีไปอีกทางโดยไม่คิดถึงผู้ใด และในจังหวะนั้นหวังหลิงก็พยายามจะหลบหลีกไปอีกทางเช่นกันร่างของสตรีทั้งสองจึงชนกันอย่างจัง“ปล่อยนะ! ขวางทางข้าทำไม” ซูหมิ่นจูตวาดใส่หวังหลิงด้วยความโกรธจัดและหวาดกลัว ไม่สนใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือใคร นางใช้ศอกกระแทกหวังหลิงอย่างแรงเพื่อเปิดทางวิ่งหนี“โอ๊ย! เจ้าบังอาจชนข้างั้นเหรอ” หวังหลิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการถูกกระแทกและรอยผึ้งต่อย ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและความทรมาน พวกนางไม่เหลือเค้าความเป็นกุลสตรีอีกต่อไปแล้ว ทั้งสองต่างผลักและเบียดเสียดกันราวกับสัตว์ที่กำลังหนีตาย ทำให้การเคลื