"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"
หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ
รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรก
ความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้
เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด
"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"
ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
เธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
แม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรียกกันว่า ชาเขียว อีกด้วย ชาเขียวที่ไม่ได้หมายถึงเครื่องดื่มหอมๆ แต่เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ทำตัวดูนุ่มนวล อ่อนหวาน เป็นมิตรกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วมีเจตนาแอบแฝง โดยเฉพาะกับผู้ชาย มักทำให้ดูเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำหรือเป็นผู้เสียสละ ทั้งที่บางครั้งตัวเองนั่นแหละคือคนที่สร้างปัญหา
และจื่ออิงก็แทบจะกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย เมื่อเจียงซินหยายังคงเล่นละครไม่เลิก
"เดี๋ยวฉันเดินกลับไปขึ้นรถประจำทางเองก็ได้ค่ะ แม้จะช้าสักหน่อย แต่ก็คงไปทำธุระได้ทันเวลา"
น้ำเสียงของเธอเจือแววลังเลเล็กน้อย รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนใบหน้างาม ดูแล้วน่าสงสารจับใจ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่หลี่เฉินจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้
"ถ้าอย่างนั้น อาอิง เราไปกันเถอะ"
หลี่เฉินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปจัดแจงอุ้มบุตรสาวขึ้นนั่งบนเบาะเสริมด้านหน้าจักรยาน
จื่ออิงแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของเจียงซินหยา หญิงสาวดูเหมือนคาดไม่ถึงว่าหลี่เฉินจะพูดแบบนั้นออกมา
นี่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
คิดว่าพูดออกมาแบบนั้นแล้วหลี่เฉินจะเสนอตัวไปส่งอย่างนั้นหรือ
หรือคิดว่าเขาจะยอมเปลี่ยนใจให้หล่อนไปแทนภรรยาอย่างเธอ
น่าขันเสียจริง
จื่ออิงเพียงยิ้มบาง ๆ มองสีหน้าของเจียงซินหยาผ่านหางตาเพียงแวบเดียว ก่อนจะเดินตามสามีที่กำลังเข็นจักรยานออกไป
หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว เขาหันกลับไปมองคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับไม่คิดจะจากไป ซึ่งทำให้จื่ออิงต้องมองตาม
"เอ่อ ซินหยา"
เจียงซินหยาเงยหน้าสบตากับหลี่เฉิน ดวงตาคู่นั้นฉายแววสั่นไหว เธอยังคงคลี่ยิ้มบาง ๆ ทั้งที่หัวใจเต้นระรัว ด้วยคิดว่าเขาอาจเปลี่ยนใจ หรืออาจมีคำพูดบางอย่างที่ทำให้เธอยังมีหวัง
"พวกเราต้องไปกันแล้ว คงต้องขอปิดประตูก่อน"
เพียงคำพูดสั้น ๆ แต่กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงซินหยาหุบลงทันที สีหน้าของเธอแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
"อ้อ ขอโทษด้วยค่ะ"
เสียงตอบรับของเธอเบาหวิว แฝงด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจปิดซ่อนได้ เธอจำต้องก้าวออกจากลานบ้านอย่างเสียไม่ได้
หลี่เฉินเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วปิดประตูรั้วลงโดยไม่เอ่ยคำใดอีก
จื่ออิงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น เพราะกลัวจะหลุดขำออกมา ก่อนจะส่งยิ้มบาง ๆ ให้เจียงซินหยา
หญิงสาวยกมือขึ้นโบกลาเบา ๆ ท่าทีของเธอเรียบง่ายและดูเป็นมิตร แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนการประกาศชัยชนะกลาย ๆ หลังจากนั้น จื่ออิงก็หันไปเกาะเอวสามีเอาไว้ เมื่อเขาเริ่มปั่นจักรยานออกไป โดยมีบุตรสาวนั่งอยู่ด้านหน้า
เจียงซินหยายืนนิ่งอยู่กับที่ กัดฟันแน่นขณะจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสามค่อย ๆ ลับหายไปจากสายตา ภายในอกรู้สึกหนักอึ้งจุกแน่นไปหมด มือเล็กกำแน่นจนสั่น ดวงตาคุกรุ่นด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม
เธอไม่ยินยอม
ทำไม
เธอทุ่มเทและพยายามมามากมายขนาดนี้แล้วแท้ ๆ
ริมฝีปากของเธอถูกกัดแน่นจนซีดขาว ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไปอย่างยากเย็น
คิก คิก คิก...
หลังจากที่ปั่นจักรยานออกมาได้ไม่ไกล เสียงหัวเราะใสกังวานก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง คลอไปกับสายลมที่พัดผ่านขณะที่จักรยานเคลื่อนไปข้างหน้า
หลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามโดยไม่หันกลับไปมอง
"ดูคุณจะมีความสุขจังเลยนะ"
น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อย แต่แฝงไปด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู รู้สึกได้เลยว่าภรรยาของเขากำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
"ก็ฉันกำลังมีความสุขจริงๆ นี่นา"
จื่ออิงตอบเสียงใส รอยยิ้มยังไม่จางหายจากใบหน้า พอคิดถึงสีหน้าบิดเบี้ยวของเจียงซินหยาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ปล่อยมือจากเอวสอบของหลี่เฉิน ก่อนจะค่อย ๆ อ้าแขนออกกว้าง ปล่อยให้สายลมเย็นปะทะใบหน้า เส้นผมพลิ้วไหวตามแรงลม พร้อมกับความรู้สึกอิสระที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ
เธอไม่เคยรู้สึกสดชื่นแบบนี้มาก่อน
"จับดี ๆ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก"
เสียงทุ้มของหลี่เฉินดังขึ้น เต็มไปด้วยความกังวลปนเอ็นดู
จื่ออิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลดมือลงมาจับเอวเขาไว้อีกครั้งอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้จักรยานกำลังแล่นไปบนถนนลูกรังที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย
แม้เส้นทางจะไม่ราบรื่นนัก แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด
"เหยียนเหยียน ดูสิจ๊ะ สองข้างทางตอนนี้สวยมาก ๆ เลย"
จื่ออิงพูดกับบุตรสาวตัวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหน้า แม้รู้ดีว่าเด็กน้อยไม่อาจที่จะตอบโต้กลับมาได้ แต่เธอก็อยากพูดคุยกับลูก อยากให้หนูน้อยรับรู้ถึงความรัก ความอบอุ่น และความใส่ใจจากเธอ อยากให้ลูกมีส่วนร่วมในทุกๆ อย่าง
เหยียนเหยียนกะพริบตาปริบ ๆ ดวงตากลมโตใสแจ๋วจับจ้องไปยังทิวทัศน์สองข้างทางราวกับกำลังสำรวจสิ่งรอบตัวอย่างที่มารดาบอก ขณะที่ล้อจักรยานหมุนไปช้า ๆ ผ่านทุ่งนาและบ้านเรือนเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน
"ลูกกำลังมองอยู่"
เสียงทุ้มอบอุ่นของหลี่เฉินเอ่ยบอกเธอเบาๆ เขามองดูเด็กหญิงตัวน้อยก่อนจะยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังซึมซับช่วงเวลาแสนสงบสุขนี้ไปพร้อม ๆ กัน
จื่ออิงยกยิ้มขึ้น หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกกับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของหลี่เฉิน
สายตามองธรรมชาติสองข้างทางด้วยดวงตาเป็นประกาย บรรยากาศของชนบทจีนในยุค 80 ท้องทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แปลงนาเขียวขจีสลับกับผืนนาที่เพิ่งถูกเก็บเกี่ยวจนเห็นฟางข้าวกองเป็นหย่อม ๆ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูงตระหง่านให้ร่มเงา บางจุดมีต้นหลิวที่กิ่งไหวเอนไปตามสายลม
กระท่อมไม้และบ้านอิฐหลังเล็ก ๆ ตั้งเรียงรายอยู่ไม่ไกลจากถนน บางบ้านมีควันไฟลอยอ้อยอิ่งจากปล่องเตา บ่งบอกว่ากำลังหุงหาอาหารอยู่ เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานข้างรั้วไม้ไผ่ บางคนกำลังวิ่งไล่จับกัน ขณะที่บางคนช่วยผู้ใหญ่ตักน้ำจากบ่อหรือไล่ต้อนฝูงเป็ดลงสระน้ำ
ริมทางมีแผงลอยเล็ก ๆ ของชาวบ้าน วางขายผักสดที่เพิ่งเก็บมาจากสวน ตะกร้าไม้ไผ่บรรจุไข่ไก่สด ๆ และผลไม้ตามฤดูกาลส่งกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง ถนนเป็นทางลูกรังที่มีร่องรอยของล้อเกวียนผ่านไปมา ม้าและล่อบางตัวถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ริมทาง รอเจ้าของที่กำลังทำงานอยู่ใกล้ ๆ
เสียงนกกระจิบร้องประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านยอดข้าว กลิ่นอ่อน ๆ ของดินและหญ้าตัดใหม่ลอยมาตามลม ทำให้จื่ออิงเผลอหลับตาสูดหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ซึมซับความงดงามของชีวิตที่แสนเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ของชนบทในยุคสมัยนี้
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค