"โอ๊ย...ปวดหัวชะมัด"
กันตายกมือขึ้นกุมหัวที่หนักอึ้งทันทีที่รู้สึกตัว ลมหายใจแรกหลังจากฟื้นคืนสติเป็นไปอย่างติดขัดเหมือนโดนไข้หวัดเล่นงาน ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการด้วยความมึนงง เมื่อสติเริ่มกลับคืนมา เปลือกตาของเธอกะพริบถี่ๆ อย่างสับสน
นี่เธอยังไม่ตายหรอกหรือ
เธอจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอเมามาก ภาพเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้คือเธอถูกรถชนเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็น แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดตามเนื้อตัวเลยล่ะ
กันตาหรี่ตาลง มือของเธอค่อยๆ ขยับลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งที่เธอควรจะเจ็บหนัก
แต่ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าคือผิวพรรณหยาบกระด้างและเสื้อผ้าสีหม่นที่สวมอยู่บนร่าง สิ่งที่เห็นทำให้นิ้วมือของเธอสั่นระริก เกิดอาการงุนงงและความไม่แน่ใจขึ้นมา หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน เผยให้เห็นความสับสนที่ตีตื้นขึ้นมาในห้วงความคิด พยายามระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า นอกจากภาพตอนถูกรถชนเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย หัวใจของกันตาเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกไม่มั่นคงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไร
หญิงสาวเริ่มที่จะสำรวจตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นทีละน้อย ความไม่แน่ใจฉายชัดอยู่ในแววตา ก่อนที่อารมณ์บางอย่างจะก่อตัวขึ้น อาจเป็นความหวาดระแวง ความตื่นตระหนก หรือความตกใจที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
กันตากลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ขณะที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความสับสนและความหวาดหวั่นถาโถมเข้าใส่ เธอพยายามควบคุมสติ แต่ความคิดตลกร้ายก็แล่นเข้ามาในหัว หรือว่าเธอกำลังเผชิญกับเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่าง การสวมร่าง ทะลุมิติมาเกิดใหม่ หรือการย้อนเวลา
หญิงสาวยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดู นิ้วมือเรียวเล็กหยาบกระด้างและผิวพรรณกระดำกระด่างที่แตกต่างไปจากเดิมทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ทุกสัมผัส ทุกอิริยาบถ บ่งบอกชัดเจนว่านี่ ไม่ใช่ร่างกายเดิมของเธอ ความจริงที่แสนประหลาดและยากจะเชื่อค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในจิตใจ และในวินาทีนั้นเอง ความตระหนกก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นคำถามนับพันที่ไร้คำตอบ ว่าตอนนี้เธอเป็นใคร ร่างกายเดิมของเธอตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วที่นี่คือที่ไหน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่
เปลือกตาของกันตากระตุก เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังสอดประสานกับเสียงหัวใจที่เต้นหนักขึ้นในอก ความมึนงงเข้าจู่โจมราวกับม่านหมอกหนาทึบปกคลุมความคิด เธอพยายามเรียกสติ เพราะทุกสิ่งรอบตัวดูเลือนรางและไม่คุ้นเคย
สภาพอากาศในตอนนี้หนาวเย็นกว่าที่คุ้นชิน ผิวสัมผัสของพื้นด้านล่างที่เธอนอนอยู่เป็นฟูกนอนเก่าๆ ที่ปูทับบนเตียงแข็งๆ ไม่เหมือนกับเตียงอ่อนนุ่มที่เธอจำได้ เธอขยับปลายนิ้วไปตามพื้นผิวเพื่อสำรวจความเป็นจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับเนื้อวัสดุที่แปลกประหลาด รู้สึกได้ถึงฝุ่นละอองและความเย็นจางๆ
กันตาพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง หัวสมองหนักอึ้งราวกับเพิ่งตื่นจากความฝันที่ไม่อาจจดจำได้ ชีพจรเต้นแรงขึ้นเมื่อสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ และภาพรอบตัวก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเด่นชัด
แสงแดดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามา สะท้อนฝุ่นละอองที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวของห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย
เธอมองเห็นเพดานไม้เหนือศีรษะมีรอยแตกร้าวเล็กๆ และคราบน้ำซึมออกมา กลิ่นไม้เก่าๆ และกลิ่นฝุ่นผสมกับกลิ่นอับชื้นจางๆ ลอยมาแตะจมูก
กันตาขยับตัวอย่างอึดอัด หันมองสำรวจไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว ผนังของห้องนี้เป็นปูนฉาบหยาบๆ ทาสีขาวซีดที่เริ่มหลุดล่อนเป็นบางจุด มีตู้ไม้ใบเล็กตั้งชิดติดผนัง ข้างๆ กันนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง และมีโต๊ะเขียนหนังสือที่มีรอยขีดข่วนมากมาย ด้านบนวางสมุดปกแข็งเก่าๆ และตะเกียงน้ำมันที่ยังมีคราบเขม่าจับอยู่ ข้างๆ กันมีนาฬิกาปลุกเหล็กสีเงินแบบไขลานที่ตอนนี้หยุดเดินไปแล้ว ทุกอย่างล้วนมีฝุ่นจับอยู่หนาเตอะราวกับไม่เคยทำความสะอาดมาก่อน
มุมห้องมีกองเสื้อผ้ากองพะเนินไร้ระเบียบ แต่ละตัวทำจากผ้าฝ้ายสีซีดๆ ดูแล้วผ่านการใช้งานมานาน บนผนังฝั่งหนึ่งติดโปสเตอร์ภาพเก่าขาดที่น่าจะเป็นภาพของนักแสดงหญิงชาวจีนยอดนิยมในยุคอดีต ข้างๆ มีปฏิทินจีนเก่าๆ ที่ลงวันที่ปี 1977 ตัวเลขสีแดงซีดบนหน้ากระดาษขาวเหลืองเลือนราง ราวกับผ่านวันเวลามานานเป็นหลักฐานว่าที่นี่ไม่ใช่ยุคที่เธอจากมา
หัวใจของกันตาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นวูบไปทั่วร่าง ความเป็นจริงทั้งหมดที่ได้รับรู้กำลังสั่นคลอนหัวใจของเธออย่างรุนแรง ดวงตาตื่นตะลึงกวาดมองไปรอบห้องอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ
ห้องนอนที่เธออยู่ตอนนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของจีนได้อย่างชัดเจน ตอนนี้รู้แล้วว่าเตียงแข็งๆ ที่เธอนอนอยู่คือเตียงอิฐที่มีระบบทำความร้อนใต้เตียงเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว หรือที่ในซีรีส์เรียกกันว่าเตียงเตา แต่ตอนนี้นั้นเย็นเฉียบเพราะไม่ได้จุดไฟ ผ้าม่านโปร่งสีซีดแขวนอยู่ริมหน้าต่าง เครื่องเรือนทุกชิ้นดูเก่าแก่เรียบง่าย แม้แต่กลิ่นของไม้และฝุ่นจางๆ ก็ให้ความรู้สึกย้อนยุคเกินจริง ราวกับเธอหลุดเข้าไปในฉากหนึ่งของซีรีส์จีนยุคอดีตที่เธอหลงใหล
ทุกสิ่งอย่างทำให้เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ย้อนมาในยุคอดีตของแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน แต่ย้อนมาในประเทศจีนยุคอดีต ยุคสมัยที่เธอหลงใหลและคลั่งไคล้จนถึงขั้นตามดูซีรีส์ อ่านนิยาย และศึกษาทุกเรื่องราวเกี่ยวกับมัน
แต่การชื่นชอบผ่านหน้าจอและตัวอักษรบนหน้าหนังสือ กับการต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ นั้น ช่างแตกต่างกันจนไม่อาจยอมรับได้
กันตาหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นปูนขัดหยาบ เดินโซเซไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานเก่าวางพิงผนังอยู่ กรอบไม้เคลือบสีลอกเป็นริ้วๆ เผยให้เห็นเนื้อไม้ด้านใน กระจกมีรอยขุ่นมัวบางจุดแต่ก็ยังสะท้อนภาพได้ชัดเจนพอ
เธอกลืนน้ำลายลงคอรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงมองภาพสะท้อนของตัวเอง ดวงตาสั่นไหวจับจ้องไปที่เงาสะท้อนในกระจกบานเก่า แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
กันตาแทบหยุดหายใจ เมื่อเงาสะท้อนในกระจกไม่ได้เป็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยมาทั้งชีวิต แต่กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมยุ่งเหยิงเป็นกระจุก พันกันยุ่งจนดูไม่เป็นทรง บางปอยจับตัวแข็งกรังราวกับไม่เคยสัมผัสน้ำมานาน ปลายผมแห้งแตกกระเซอะกระเซิงเหมือนฟางที่ถูกแดดเผาจนกรอบ
หญิงสาวเบิกตากว้างแทบถลน มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก
นี่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของคนบ้าอย่างนั้นหรือ
นี่มัน... ไม่จริงใช่ไหม
กันตายกมือขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองในตอนนี้ด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา ผิวสัมผัสหยาบกร้านไม่เรียบเนียน ปลายนิ้วลากผ่านพวงแก้มสกปรกมอมแมม จมูกโด่งเล็กได้รูปสวย ริมฝีปากบาง แห้งแตกเป็นขุยจนรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ขยับ
ดวงตากลมโตสีดำขลับยังคงเปล่งประกาย แม้จะซ่อนอยู่ใต้เงาที่อิดโรยและรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและโทรมอย่างน่าใจหาย
หญิงสาวจ้องมองเงาในกระจกอยู่นาน สภาพภายนอกอาจดูเหมือนคนเสียสติ หากแต่ยังคงเผยให้เห็นเค้าความงามของใบหน้าได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนที่สวยมาก
แต่ว่า...เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกัน
ทำไมร่างนี้ถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
และทำไมเธอถึงมาอยู่ในร่างของคนที่สภาพเหมือนคนบ้า
กันตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกได้ถึงรสเลือดจางๆ จากรอยแตกบนริมฝีปากของตัวเอง มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว
"เหยียนเหยียนมานี่เร็ว เราต้องไปกันแล้ว"
กันตาสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นด้านนอก ดวงตาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนว่าคนที่จะให้คำตอบเธอได้ จะอยู่ด้านนอกนั่น
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ