กันตาแนบใบหูเข้ากับบานประตูที่ปิดสนิท พร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักราวกับจะทะลุออกมานอกอก ผิวของบานประตูเย็นเฉียบและหยาบกระด้าง แต่เธอกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยในเวลานี้ สิ่งเดียวที่เธอจดจ่อคือเสียงที่ดังขึ้นจากอีกฟากของประตู
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินไปมาอยู่ไม่ไกล ราวกับใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าห้อง จากนั้นเสียงเรียกของผู้ชายคนเดิมที่ดังขึ้นก่อนหน้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"เหยียนเหยียนเร็วเข้า พ่อต้องรีบไปแล้ว พี่สาวเจียงกำลังรอเราอยู่นะ"
เสียงของผู้ชายคนนั้นฟังดูเร่งรีบแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
กันตานิ่งฟังอย่างสงบ เธอไม่ได้ยินเสียงขานรับจากคนที่ถูกเรียกว่า เหยียนเหยียน แต่ยังคงได้ยินเสียงกุกกักดังอยู่หน้าห้อง
เสียงของคนด้านนอกเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลของชายคนนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอื้ออาทร
"เด็กดี แม่ของลูกไม่สบาย ลูกไปอยู่กับพี่สาวเจียง ไปวิ่งเล่นกับถังถังดีกว่านะ มาเถอะ พ่อจะพาไปส่ง"
ยังคงไม่มีคำตอบรับจาก เหยียนเหยียน เช่นเดิม แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ขยับออกไปจากหน้าห้อง เสียงนั้นดังห่างออกไปจากบริเวณหน้าประตูเรื่อยๆ นั่นจึงทำให้กันตามีความกล้าพอที่จะแง้มประตูเปิดออกเพื่อแอบมองคนด้านนอก
บอกตามตรงว่า เธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะออกไปพบผู้คนในสภาพนี้เลยแม้แต่น้อย
เธอเคยเป็นหญิงสาวที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ทุกกระเบียดนิ้ว ต้องดูดีทุกครั้งเมื่ออยู่ในสายตาผู้อื่น จะให้เธอหาญกล้าออกไปเผชิญหน้ากับผู้คนในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
กันตายกมือขึ้นแตะเส้นผมของตัวเอง มันพันกันยุ่งเหยิงจนแทบแกะไม่ออก พอไล่ปลายนิ้วลงมาสัมผัสใบหน้า ผิวของเธอสากกร้านเต็มไปด้วยคราบสกปรก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เก่าจนแทบดูไม่ได้ อีกทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่คลุ้งตลบไปทั่วตัวอีก เธอที่ได้กลิ่นยังฉุนจนแสบจมูกไปหมดแล้ว
เพียงแค่คิดว่าต้องเดินออกไปเจอสายตาผู้คน เธอก็รู้สึกอยากจะหดตัวกลับเข้าไปในมุมมืด ไม่อยากให้ใครพบเห็น ไม่อยากเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น
แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างเดิมของเธอ แม้จะเป็นเพียงร่างของใครอีกคนที่เธอไม่รู้จัก แต่มันก็ไม่อาจทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อตอนนี้มันคือตัวเธอนี่
สิ่งแรกที่สะดุดตาเมื่อกันตาแง้มประตูออก คือแอปเปิ้ลผลเล็กๆ ผลหนึ่งในถุงกระดาษที่วางอยู่ใกล้ธรณีประตู หญิงสาวเหลือบสายตามองคนที่คาดว่าเป็นผู้วางมันเอาไว้ แผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเดินจากไปอย่างเชื่องช้า ผมดำขลับของหนูน้อยถูกจับมวยเป็นก้อนกลมๆ สองข้าง คล้ายซาลาเปาคู่ดูน่ารักน่าชัง ผ้าผูกผมที่มัดเป็นพู่สั้นๆ ขยับไหวตามจังหวะการก้าวเดินเล็กๆ ฝีเท้าเล็กจ้อยก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
แสงแดดยามเช้าอาบไล้ร่างเล็กของแม่หนูน้อย ดูจากความสูงแล้วอายุน่าจะราวๆ สามขวบเห็นจะได้ กันตาลอบมองหนูน้อยที่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้เงาของบุรุษร่างสูงที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน แม้จะมองเห็นได้เพียงเสี้ยวเดียวจากมุมนี้ แต่กันตาก็พอจะเดาได้ว่าชายคนนั้นคงเป็นบิดาของเด็กหญิง มือของเขายื่นออกมารอรับลูกสาวตัวน้อยที่เดินมาถึง
เสียงปิดประตูหน้าบ้านที่ดังขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้กันตาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เธอเดินตรงไปที่หน้าต่าง แอบมองผ่านช่องเล็กๆ ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงตัวน้อย ที่ตอนนี้ถูกผู้เป็นพ่อยกตัวขึ้นอุ้มอย่างทะนุถนอม ก่อนจะจัดให้นั่งซ้อนอยู่บนจักรยานคันใหญ่
กันตามองใบหน้ากลมเล็กของเด็กหญิงอย่างเผลอไผล มันขาวเนียนราวกับก้อนเต้าหู้ขาวนุ่มๆ คิ้วโก่งน้อยๆ ขับให้ดวงตากลมโตดูน่ารักยิ่งขึ้น แก้มนุ่มนิ่มกลมเหมือนซาลาเปา จิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิต หัวใจของเธอพลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
แต่ในวินาทีที่สองพ่อลูกเตรียมจะออกเดินทาง เด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเบาะหลังของจักรยานกลับหันมามองตรงหน้าต่างที่เธอหลบซ่อนอยู่ หญิงสาวเผลอกลั้นหายใจ ดวงตากลมโตใสแจ๋วของแม่หนูน้อยทอดมองมาอย่างไร้เดียงสา ราวกับล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของเธอ และจากนั้น รอยยิ้มสดใสประหนึ่งแสงตะวันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์
หัวใจของกันตาเต้นผิดจังหวะ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่รอยยิ้มนั้น ถึงทำให้เธอรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาในอกได้ขนาดนี้
กันตายกฝ่ามือขึ้นกุมอก รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาสั่นระริกอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่สายตากวาดมองไปรอบๆ บ้านที่เงียบสงัด ทุกซอกมุมถูกปกคลุมไปด้วยความวังเวง มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอที่ดังก้องอยู่ในความเงียบ
ราวกับว่าภายในบ้านหลังนี้ ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากเธอ
'เด็กดี แม่ของลูกไม่สบาย'
เสียงทุ้มอ่อนโยนของชายคนนั้นดังก้องสะท้อนอยู่ในหัว ทำให้กันตารู้สึกใจสั่นวูบ ความสงสัยแล่นวาบขึ้นมา เธอรีบสาวเท้าไปยังประตูห้องต่างๆ ภายในบ้าน มือเรียวกระชากบานประตูเปิดออกอย่างเร่งร้อน
ห้องแรก... ว่างเปล่า
ห้องถัดมา... ไม่มีวี่แววของใคร
ส่วนห้องสุดท้ายคือห้องที่เธอตื่นขึ้นมา
กันตาเดินสำรวจไปทั่วบ้าน ความรู้สึกกดดันยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องในความเงียบ เธอกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างยากลำบาก สัญชาตญาณบางอย่างกำลังกรีดร้องอยู่ในใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาภายในห้องที่เธอฟื้นขึ้นมาในตอนแรก เมื่อไม่พบใครคนอื่นอีกภายในบ้าน ยืนมองใบหน้าของหญิงสาวที่ปรากฏอยู่บนกระจกด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
"เหยียนเหยียน..."
ริมฝีปากบางขยับเอ่ยชื่อที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ เสียงนั้นแผ่วเบา แต่กลับดังสะท้อนอยู่ในความคิด
"พี่สาวเจียง..."
ชื่อเหล่านี้เธอรู้สึกเหมือนจะคุ้นเคยอย่างประหลาด แม้จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับร่างนี้เลยก็ตาม แล้วยังตัวเธอเองที่ตอนนี้เหมือนกับหญิงเสียสติ
ทันใดนั้น เรื่องราวหนึ่งก็แล่นวาบขึ้นมาในหัว เรื่องราวที่เธอเคยรับรู้มันผ่านตัวหนังสือ
เหยียนเหยียน หรือหลี่ซูเหยียน เด็กหญิงตัวน้อยวัยสามขวบ ผู้เป็นบุตรสาวของพระเอกในนิยายย้อนยุค เด็กที่ยังไม่เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา แม้จะเติบโตขึ้นจนถึงวัยที่ควรจะพูดได้แล้ว ทุกคนล้วนคิดว่าเธอเป็นใบ้ เป็นเด็กที่โชคร้าย เกิดจากผู้หญิงที่กลายเป็นคนบ้า ต้องเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีแม่เลี้ยงดู
พี่สาวเจียง หรือเจียงซินหยา หญิงสาวผู้เป็นนางเอกของเรื่อง คนที่ก้าวเข้ามาในครอบครัวนี้พร้อมกับหัวใจที่อบอุ่น คอยดูแลเหยียนเหยียนราวกับเป็นมารดาคนที่สอง และค่อยๆ หลอมละลายกำแพงของพระเอกจนได้ครองรักกัน
เธอจำได้แล้ว...
เรื่องราวนี้...นิยายที่เธอเคยติดหนึบถึงขนาดที่ไม่ยอมนอน จนต้องหยอดเงินเติมอ่านออนไลน์ทีละตอนอย่างไม่ลังเล และเมื่ออ่านจบแล้วก็ยังรู้สึกโหยหา ถึงกับดั้นด้นควานหารูปเล่มมาเก็บไว้ในชั้นหนังสือ มันเป็นหนึ่งในเรื่องที่ตราตรึงใจเธอที่สุด
เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในครอบครัว ความรัก และการเสียสละ ทุกตัวละครต่างมีบทบาทของตัวเอง ไม่ว่าคนดีหรือคนร้าย ล้วนมีเหตุผล มีที่มา และถูกขับเคลื่อนด้วยสภาพสังคมของยุคสมัย
มันเป็นนิยายที่มีมากกว่าความรักโรแมนติก นักเขียนได้สอดแทรกกลิ่นอายของประวัติศาสตร์จีนในยุค 80 เอาไว้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็น การปฏิรูปชนบทหลังสิ้นสุดคอมมูนประชาชน การคืนที่ดินให้เกษตรกร และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ในช่วงเวลานั้น
หมู่บ้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านดินและกระเบื้องเก่า โทรมและเรียบง่าย ทุกครอบครัวยังคงใช้ชีวิตด้วยการทำไร่ทำนา รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผลผลิตและโควต้าของรัฐ ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีตุ่นๆ เรียบง่าย เสื้อคลุมผ้าฝ้าย กางเกงผ้าสีหม่น รองเท้าผ้าฝ้ายแบบดั้งเดิม เสียงจักรยานเก่าคันโตลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปตามถนนลูกรัง ในตลาดเล็กๆ มีแผงขายผัก ข้าวสาร และของใช้พื้นฐานที่ยังคงต้องใช้บัตรปันส่วน
มันคือช่วงเวลาที่ผู้คนยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางครอบครัวเริ่มมีโอกาสได้ทำธุรกิจเล็กๆ บ้างก็ยังต้องทำงานหนักในไร่นาให้รัฐ ทุกสิ่งยังคงอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากยุคสังคมนิยมเข้มข้นไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
และนี่คือบางช่วงบางตอนที่เธอชื่นชอบ เธอหลงใหลในยุคสมัยนั้น อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์น่าค้นหา
แต่ใครจะเชื่อ ว่ามันจะกลายมาเป็นสถานที่ที่ชีวิตใหม่ของเธอกำลังติดอยู่ในตอนนี้!
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ