กันตารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพลิกคว่ำอย่างรุนแรง สมองของเธอประมวลผลข้อมูลที่ได้รับอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง เสียงหัวใจเต้นรัวดังสะท้อนอยู่ในหู ลมหายใจติดขัดราวกับอากาศรอบตัวถูกดูดหายไป ความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง มือทั้งสองสั่นระริก
ขาของเธอเหมือนจะอ่อนแรงลงทุกวินาที หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความกลัว ความตกใจ และข้อมูลที่ไหลบ่ามาอย่างท่วมท้นเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ภาพเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบ ร่างทั้งร่างเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นเมื่อไม่อาจพยุงตัวเอาไว้ได้อีก
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเธอ
ต้องย้อนมาอยู่ในยุคที่แร้นแค้น แล้วยัง... แล้วยัง...
กันตาเบิกตาโพลงแทบจะปล่อยโฮออกมา หัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบแน่น เมื่อคิดได้ว่าตัวเองคือใครในเรื่องนี้
เธอคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก หญิงบ้าเสียสติ
"หลินจื่ออิง"
ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง ทำให้กันตาอยากจะกลั้นใจตาย เป็นใครไม่เป็น ดันมาเป็นคนบ้า
หลินจื่ออิง... หญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้า ภรรยาของ หลี่เฉิน พระเอกของเรื่อง ผู้เป็นมารดาของเหยียนเหยียน คนที่เธอคิดว่ามีชะตาอาภัพและน่าสงสารที่สุด
หลินจื่ออิง เด็กสาวที่เคยมีครอบครัวอันอบอุ่น กลับต้องเผชิญกับโชคชะตาที่พลิกผันราวกับพายุพัดกระหน่ำ
หลินจื่ออิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านหลินสายรอง เพราะมารดานั้นมีบุตรยาก ครอบครัวของเด็กสาวแยกตัวออกจากบ้านใหญ่มานานแล้ว พ่อและแม่เป็นพนักงานของรัฐ ทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน แม้ชีวิตจะไม่ได้มั่งคั่ง แต่ก็เรียบง่ายและมีความสุข
แต่แล้ว… โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้น และได้สร้างรอยแผลขนาดใหญ่เอาไว้ในใจของเด็กสาว
เหมืองถ่านหินเกิดถล่มลงมาโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว เสียงระเบิดดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน ควันฝุ่นลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ และในชั่วพริบตาเดียว หลินจื่ออิงก็สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกัน
เด็กสาววัยสิบสี่ปีที่พึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นในตอนนั้น เคว้งคว้างราวกับกำลังหลงทาง
รัฐจ่ายเงินประกันก้อนใหญ่ให้หลินจื่ออิง เป็นค่าชดเชยสำหรับการสูญเสียที่ไม่อาจทดแทนได้ แต่เงินก้อนนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่นำหายนะมาสู่ชีวิตของเด็กสาวแทน
คนในบ้านใหญ่ไม่เคยมองหลินจื่ออิงเป็นญาติพี่น้อง พวกเขามองเห็นแค่ 'สมบัติ' ที่พ่อแม่ของเด็กสาวทิ้งไว้
บ้านที่สร้างจากอิฐ ที่ภายในหมู่บ้านนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่หลัง ทรัพย์สินทุกอย่าง และเงินประกันทั้งหมด พวกเขาต้องการทุกอย่างโดยไม่สนใจเลยว่าเด็กสาวเหลือตัวคนเดียว อยู่เพียงลำพัง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครปกป้อง
เด็กสาวตัวเล็กๆ ถูกบีบให้ต้องดิ้นรนเพียงลำพัง ท่ามกลางเงื้อมมือของเหล่าญาติที่พร้อมจะแย่งชิงทุกสิ่งไปจากเธอ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลินจื่ออิงต้องดึงหลี่เฉินเข้ามาในชีวิต
หลี่เฉิน ชายหนุ่มจากเมืองใหญ่ ยุวปัญญาชนวัยสิบแปดปีที่ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เขามีรูปร่างที่สูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา มีเสน่ห์น่าดึงดูด บวกกับแววตาที่แฝงความเฉลียวฉลาดและสุขุมเกินวัย เขาเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสามารถ รอบรู้เรื่องต่างๆ เก่งทั้งงานภาคสนามและการบริหารจัดการ จึงเป็นที่ชื่นชอบของหัวหน้าหมู่บ้านจนถูกดึงตัวเข้ามาช่วยงาน
ไม่แปลกที่ชาวบ้านทุกคนจะชื่นชมเขา เด็กสาวในหมู่บ้านต่างพากันเขินอายเพียงแค่ได้สบตาเขา
และหลินจื่ออิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เด็กสาวตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ตั้งแต่แรกเห็น
ชายหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอบอุ่น เขาเป็นคนที่หลินจื่ออิงคิดว่าจะเป็นที่พึ่งเดียวของเธอในโลกอันโหดร้ายใบนี้
หลินจื่ออิงไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ดีว่าหากยังคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในที่สุดทุกอย่างที่เป็นของเธอจะต้องถูกพวกบ้านใหญ่ช่วงชิงไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทรัพย์สมบัติ หรือเงินประกันที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้
แต่หากเธอแต่งงาน มีสามี มีครอบครัว บ้านใหญ่ก็จะหมดสิทธิ์เอื้อมมือเข้ามากวาดสิ่งเหล่านั้นไปจากเธอได้
ดังนั้นหลินจื่ออิงจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เลวร้ายที่สุด คือการวางยาปลุกกำหนัดหลี่เฉิน
แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นแผนการที่ต่ำช้า น่ารังเกียจ แต่เธอไม่มีทางเลือก หลินจื่ออิงเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไร้ที่พึ่ง หากจะให้ไปขอร้องให้ชายหนุ่มมาแต่งงานด้วย มันคงเป็นเรื่องที่น่าขัน หากไม่ใช้วิธีนี้ หลี่เฉินก็คงไม่มีวันมองหลินจื่ออิงเป็นอย่างอื่น นอกจาก เด็กกำพร้าที่น่าสงสาร
หากเด็กสาวตกเป็นของหลี่เฉิน เขาก็ต้องรับผิดชอบเธอ
บ้านใหญ่ก็จะไม่มีวันแตะต้องหลินจื่ออิงหรือทรัพย์สินของเธอได้อีกต่อไป
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หลินจื่ออิงจึงเลือกที่จะลงมืออย่างเด็ดขาด และเธอก็ทำมันสำเร็จ เด็กสาวตกเป็นของหลี่เฉินสมใจ ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลินจื่ออิงได้ตกแต่งเป็นภรรยาของหลี่เฉินอย่างถูกต้อง
หลินจื่ออิงได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ...
แต่กลับไม่เคยได้รับสิ่งที่เธอหวัง คือความรักจากหลี่เฉิน
หลี่เฉินแต่งงานกับเธอ แต่เขาไม่เคยมองเธอในฐานะภรรยา
เขาเย็นชา เหินห่าง และไม่เคยพูดกับภรรยาเกินกว่าความจำเป็น เขาไม่เคยแตะต้องหลินจื่ออิงอีกหลังจากคืนนั้น ราวกับว่าการที่เธออยู่ในชีวิตของเขาคือบทลงโทษที่เขาต้องทนแบกรับ
ทุกครั้งที่หลินจื่ออิงพยายามเข้าใกล้ สายตาของหลี่เฉินก็เต็มไปด้วยความเย็นชา
หลินจื่ออิงไม่ใช่ภรรยาที่เขาเลือก
เธอเป็นเพียงผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่ขโมยตำแหน่งนั้นมาด้วยแผนสกปรก
ความเงียบงันภายในบ้านหลังเล็กช่างอึดอัดราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น หลินจื่ออิงต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ไม่เคยแม้แต่จะหันมามองเธออย่างแท้จริง
คืนแล้วคืนเล่า หลินจื่ออิงนั่งมองเงาของสามีใต้แสงจันทร์
วันแล้ววันเล่า หลินจื่ออิงเฝ้ารอให้เขาใจอ่อน ยอมให้อภัยเธอ
แต่วันเวลาผ่านไป สายตาของหลี่เฉินที่มองเธอยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาเหมือนเดิม
และในที่สุด หลินจื่ออิงก็เริ่มรู้สึกว่า บางที... บางทีเธออาจไม่มีวันเอาชนะใจของหลี่เฉินได้เลย
หลินจื่ออิงคิดว่าคงไม่มีทางใดที่จะผูกมัดหลี่เฉินไว้กับเธอได้ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในวันที่เธอรู้ตัวว่าตั้งครรภ์
ชีวิตเล็กๆ ที่เติบโตอยู่ภายในตัวหลินจื่ออิง กลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเธอ
ความหวังที่เคยดับมอดลงค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อหลินจื่ออิงบอกข่าวนี้กับหลี่เฉิน ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หลี่เฉินไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทำเพียงแค่จ้องมองหลินจื่ออิงอยู่นาน และเธอไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือ ตั้งแต่วันนั้น หลี่เฉินเริ่มดูแลหลินจื่ออิงอย่างดีและใส่ใจเธอมากขึ้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้หลินจื่ออิงทำงานหนัก หมั่นเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ให้ รับฟังคำแนะนำจากหมอเกี่ยวกับสุขภาพของภรรยา และแม้กระทั่งเดินไปหาสมุนไพรมาให้ในวันที่ภรรยาแพ้ท้องหนัก
หลี่เฉินทำหน้าที่ของ "พ่อ" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลินจื่ออิงรู้ดีว่าทุกสิ่งที่หลี่เฉินทำไม่ได้มาจากความรักที่มีต่อเธอ แต่มันเป็นเพราะลูกของเขาที่อยู่ในท้องของเธอ
แม้จะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ แต่หลินจื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี
เธอไม่สนว่าเขาจะรักเธอหรือไม่ เธอไม่สนว่าเขาจะยังคงมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
ตราบใดที่เขายังคงดูแลเธอและลูก ตราบใดที่พวกเขายังคงเป็น "ครอบครัว"
หญิงสาวก็พร้อมจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป...
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ