ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้น
ในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้
หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้น
ทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคา
ภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจ
ใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมด
การได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้ง
จู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้
เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกของพระเอกกับนางเอก
เมื่อคิดเช่นนั้น จื่ออิงพลันขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกถึงความไม่ยินยอม
ไม่! ไม่ใช่!
นิยายเรื่องนั้นมันจบลงไปแล้วตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่
นี่มันชีวิตของเธอ ชีวิตจริงๆ ไม่ใช่นิยาย และเธอก็ไม่ใช่แค่ตัวประกอบที่เดินผ่านมาในฉากละครชีวิตของใคร เธอคือภรรยาที่ยืนอยู่เคียงข้างหลี่เฉิน คือแม่ของลูกของเขา ผ่านวันที่เหนื่อยล้าและเริ่มต้นใหม่มาด้วยกัน เธอจะยอมปล่อยเขาไปกับคนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร
แต่สิ่งที่สำคัญเสียยิ่งกว่าเรื่องของเจียงซินหยาคือการสอบเกาเข่า ความฝันที่หลี่เฉินเคยมีต่างหาก
เรื่องนี้คือสิ่งที่เธอต้องกังวล และคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
จื่ออิงกัดริมฝีปากเบาๆ เธอไม่เคยลืมว่าตัวตนของหลินจื่ออิงคือเหตุผลที่ทำให้หลี่เฉินต้องทิ้งความฝันไปเมื่อหลายปีก่อน
แล้วตอนนี้...เขากำลังจะมีโอกาสอีกครั้ง ตัวเธอในตอนนี้กำลังจะเป็นอุปสรรคของเขาหรือเปล่า
เธอจะเป็นคนทำให้ความฝันของเขาต้องพังลงอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
คำถามนั้นแหลมคมราวเข็มทิ่มกลางอก
หัวใจของจื่ออิงสั่นไหวไม่หยุด
เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไม่อยากเป็นคนที่ฉุดรั้งใครไว้กับชีวิตที่เขาไม่ได้เลือกเอง
หญิงสาวก้มหน้าลงซ่อนสายตาเศร้าลึกเอาไว้ เธอรักเขา รักครอบครัวเล็กๆ นี้มาก
แต่ถ้ารัก... ก็ต้องไม่ทำลายสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา
แต่เธอกลับกำลังตั้งครรภ์
เรื่องราวที่ควรจะเป็นข่าวดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหนักอึ้งในอก
เธอควรทำอย่างไรต่อไป เพื่อที่จะไม่เป็นคนที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความฝันไปอีกครั้ง
จื่ออิงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามกลืนความรู้สึกหนักอึ้งในใจ เธอไม่อยากขัดขวางเขา ไม่อยากเป็นอุปสรรคต่อความฝันที่เขารอมานาน
แต่เธอก็กลัว… กลัวว่าจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง
กลัวว่าเส้นทางความฝันของเขา จะพาเขาไปไกลจากเธอ
จื่ออิงลืมตาขึ้นช้าๆ น้ำใสๆ เอ่อคลอในดวงตา แต่เธอก็ยังพยายามกลั้นไว้ ไม่ให้มันไหลออกมา
ถ้าเธอรักเขาจริง เธอก็ควรปล่อยให้เขาได้ไปในทางที่เขาเลือก ให้เขาได้ทำตามความฝันที่รอมานาน
เธอรู้ดีว่าการรักใครสักคน บางครั้งก็ไม่ใช่การดึงเขาไว้ แต่คือการผลักเขาไปในทางที่เขาอยากเดิน
เธอรู้ดีว่า คนเราจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้ ก็เมื่อได้เดินตามความฝันของตัวเอง ไม่ทิ้งฝันของตัวเองไว้ข้างหลัง
แต่คำถามสุดท้ายที่ค้างคาในใจ และยังไม่มีคำตอบคือ
แล้วเธอล่ะ
เธอจะเข้มแข็งพอไหม ถ้าต้องเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีเขาอยู่เคียงข้างในทุกวันเหมือนที่ผ่านมา
จื่ออิงก้มลงมองหน้าท้องของตัวเอง วางฝ่ามือทาบลงเบาๆ หัวใจเธอสั่นไหว สับสน อ่อนไหว และเปราะบาง
วันนี้…เธอกำลังจะมีลูกอีกคนกับเขา ชีวิตน้อยๆ ที่เป็นสายใยเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาเอาไว้ หากเธอบอกเขาตอนนี้ เขาจะเลือกอะไร
แต่เธอไม่อยากให้เขาต้องเลือกระหว่างความฝันกับครอบครัวอีกแล้ว
เธอไม่อยากเป็นเหตุผล ที่ทำให้เขาต้องละทิ้งความฝันและความตั้งใจของตัวเอง
ความเงียบงันปกคลุมภายในใจอยู่ครู่หนึ่ง จื่ออิงจึงค่อยๆ ยิ้มจางๆ ขึ้นมา แววตาเศร้าในตอนแรก ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแน่วแน่
เธอจะไม่ขวางเขา แต่จะอยู่ข้างเขาในทุกเส้นทาง และทุกการตัดสินใจ เธอพร้อมที่จะยอมรับในสิ่งที่เขาเลือก
"อาอิง... ภรรยาครับ"
เสียงนุ่มของหลี่เฉินดังขึ้น พร้อมกับปลายนิ้วที่แตะลงบนไหล่ของภรรยาเบาๆ
ฮะ!
จื่ออิงสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อสัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วปลุกเธอให้หลุดจากห้วงความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
"คุณเป็นอะไรไป มีอะไรหรือเปล่าครับ"
หลี่เฉินถามเสียงเบา พร้อมมองภรรยาด้วยแววตาห่วงใยแฝงความกังวล
"ผมเรียกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว"
จื่ออิงส่ายหน้า กลบเกลื่อนอาการเหม่อลอยของตัวเอง
"ไม่มีอะไรค่ะ"
เธอตอบ ก่อนจะพยายามยิ้มให้
"คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ"
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาของหลี่เฉินยังคงเหมือนเดิม อบอุ่น อ่อนโยน ใส่ใจ และเต็มไปด้วยความห่วงหา เป็นสายตาที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
"ผมแค่อยากจะบอกว่า"
หลี่เฉินหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อพร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้า
"พรุ่งนี้ร้านปิด วันนี้เรากลับบ้านกันเร็วหน่อยดีไหมครับ"
คำพูดนั้นและสายตาของหลี่เฉินที่มองมาเหมือนสายลมอุ่นๆ พัดผ่านหัวใจที่กำลังเหนื่อยล้าของจื่ออิง มันช่างอบอุ่นมากเหลือเกิน
ระยะหลังมานี้ทั้งสองคนต่างก็วุ่นวาย เหนื่อยกับงาน และเรื่องรอบตัว จนแทบไม่มีเวลาให้กันเลย
จื่ออิงยิ้มออกมาเล็กน้อย แววตาเศร้าเมื่อครู่ถูกกลบไว้ด้วยความอ่อนหวาน
"ค่ะ"
เธอพยักหน้ารับเบาๆ
หลี่เฉินยิ้มให้ภรรยาอย่างอ่อนโยน ทว่าลึกลงไปในใจเขากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มของภรรยา และแววตาของเธอดูแปลกไป เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เธอยังไม่พูดออกมา ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย เกือบจะเอ่ยถามออกไป แต่สุดท้ายก็เลือกจะเก็บความรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจเอาไว้
บางที เธออาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินไป
บางที เธอแค่ต้องการเวลา
แต่เขาจะอยู่ข้างเธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะพร้อมพูดเมื่อไรก็ตาม
จื่ออิงยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ เบือนสายตาไปมองแสงแดดอ่อนยามบ่ายที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา พยายามไม่สบตากับเขานานเกินไป ไม่อยากให้เขาเห็นความหม่นเศร้าสับสนในแววตา
ใจหนึ่งของเธออยากพูด อยากเปิดเผยทุกอย่าง พยายามเข้าใจ แต่อีกใจกลับเงียบงันและสับสนวุ่นวาย ราวกับมีเงาบางอย่างกดทับไว้
สายตาอบอุ่นคู่นั้นยังจ้องมองมาด้วยความห่วงใย
เขายังไม่รู้ว่าเธอรู้แล้ว
และเธอเองก็ยังไม่พร้อมจะพูดมันออกมา ทั้งเรื่องการสอบเกาเข่าและเรื่องที่เธอตั้งครรภ์ เพราะไม่อยากกลายเป็นพันธนาการใดๆ ในชีวิตของเขา เธอไม่อยากให้เขาต้องเลือก หรือรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ
จึงได้แต่ฝืนยิ้ม แม้ในใจของเธอกำลังร้องไห้ก็ตาม
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ