แชร์

17. จดหมายเรียกตัว (1)

ผู้เขียน: หมอนบนโซฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-26 21:40:51

“คุณหนูเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เผิงจูวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาเรียกเยว่ชิงในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ เยว่ชิงที่บัดนี้ย่างเข้าวัยสิบหนาวเริ่มฉายแววงามล่มเมืองตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น

“มีอันใดหรือเสี่ยวจู เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้” เยว่ชิงและหมิงยู่เงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน

“ดะ ด้านนอก มีนักเลงยกพวกตีกันหน้าร้านเราเจ้าค่ะ พี่เผิงจงเข้าไปห้าม แต่กลับโดนทุบตีจนเลือดอาบหน้าแล้วเจ้าค่ะ ฮื่อออ” เผิงจูพูดไปก็ร้องไห้ไป เดิมนางคิดจะเข้าไปช่วยพี่ชาย เพราะนางเคยฝึกต่อสู้กับคุณหนูมาบ้าง แต่เผิงจงกลับสั่งให้นางรีบมาแจ้งคุณชายกับคุณหนู

“พวกนักเลงหัวไม้อีกแล้วหรือ หากข้าวของข้าเสียหาย ข้าจะฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!!!” เยว่ชิงเดินไปหยิบหน้ากากและดาบไม้ที่นางใช้ฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วรีบสาวเท้าออกไปหน้าร้านทันที

“ดะ เดี๋ยวๆ เยว่ชิง! เจ้าใจเย็นๆ ก่อน รอข้าด้วย” หมิงยู่รีบวิ่งตามน้องสาวไป หากว่าเยว่ชิงมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่น นางต้องโดนลงโทษเหมือนคราที่นางเข้าไปชกต่อยกับพวกนักเลงเป็นแน่

เด็กหญิงวัยสิบหนาวที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มือขวาถือดาบชี้ไปที่นักเลงพวกนั้น มิมีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

“หากพวกเจ้าจะทะเลาะกันก็ไปที่อื่น อย่ามาทะเลาะกันหน้าร้านข้า” ยิ่งเห็นว่าลูกค้าในร้านต่างแตกตื่น บ้างก็วิ่งหนีออกจากร้าน บ้างก็ถอยร้นเข้ามาหาที่กำบังในร้าน ยิ่งทำให้เยว่ชิงโมโห

“เจ้าหลีกไป อย่ายื่นมือเข้ามาสอด เป็นสตรีอยู่ส่วนสตรี อย่าก้าวย่างมาในเส้นทางของเอกบุรุษเช่นพวกข้า” หัวโจกพวกนักเลงเอ่ยขึ้นอย่างอาจหาญ

“เอกบุรุษงั้นหรือ ฮ่าๆ กริยาเช่นนี้เป็นสุนัขตัวผู้ยังสูงส่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ” เยว่ชิงโมโหจนสุดขีด นี่มิใช่ครั้งแรกที่นักเลงพวกนี้มาสร้างความเสียหายให้กับร้านซิ่งฟู่ แม้ว่านางจะให้คนไปแจ้งทางการ แต่ทางการก็มิสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

เช่นนั้นนางขอสั่งสอนเองก็แล้วกัน

เยว่ชิงพุ่งเข้าใส่หัวโจกพวกนักเลง วาดดาบไม้ฟาดฟันไปทั่วร่างของหัวโจกผู้นั้น แต่อย่างว่า ยามสุนัขกัดกันมันมิสนว่าหญิงหรือชาย หมู่หรือเดี่ยว หน้าร้านซิ่งฟู่จึงเต็มไปด้วยนักเลงหัวไม้ที่ชกต่อยกันและมีเยว่ชิงเข้าไปร่วมวงด้วย เผิงจูและบ่าวชายที่เห็นว่าคุณหนูของตนถูกทำร้ายจึงรีบเข้าไปช่วยจนวุ่นวายเข้าไปใหญ่

“โอ๊ยยย หากผมข้าขาดข้าจะตัดมือเจ้า” เยว่ชิงหันไปฟาดดาบใส่ร่างของชายที่ดึงผมนาง โดยมิทันได้ระวังด้านหลังของตนแม้แต่น้อย

หมับ! เยว่ชิงถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอย ร่างบางดีดดิ้นให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนใหญ่ แต่เมื่อหันกลับไปมองหน้าชายผู้นั้นกลับพบว่า…

พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ๆ ท่านกลับมาแล้ว” เยว่ชิงตะโกนลั่นออกมาด้วยความดีใจ สองแขนกอดรัดรอบคอพี่ชายแน่น พี่ใหญ่ของนางเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแกร่งขึ้น สมกับเป็นชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหนาว ทั้งผิวที่ดูคล้ำลงเล็กน้อย แต่อย่างไรนางก็ยังจดจำแววตาที่อ่อนโยนของพี่ใหญ่ได้เสมอ

“พี่กลับมาแล้ว แต่ตอนนี้เราต้องออกจากวงล้อมนี้ก่อน” เมื่อเฉินกงพาน้องสาวออกมาจากวงล้อมของพวกนักเลงได้ จึงจุดประทัดแล้วโยนเข้ากลางวงของพวกนักเลงที่ชกต่อยกัน

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังลั่นไปทั่วบริเวณ นักเลงบางคนก้มหมอบลงกับพื้น บางคนก็รีบวิ่งหนีออกไป ใช้เวลาไม่นานพื้นที่หน้าร้านซิ่งฟู่ก็ว่างเปล่า จะมีก็เพียงเศษซากของประทัดและข้าวของแตกหักที่พวกนักเลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า

“เห้ออออ หยุดกันเสียที หากไม่แล้วข้าวของคงเสียหายมากไปกว่านี้เป็นแน่” กว่าหมิงยู่จะไปตามบ่าวชายจากหลังร้านมาช่วย ทุกอย่างก็คลี่คลายไปหมดแล้ว

“ว่าแต่…เจ้าเป็นใคร! เหตุใดกล้าโอบอุ้มน้องสาวข้าเช่นนั้น ปล่อยน้องข้านะ! ปล่อย!” หมิงยู่ตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มกำลังโอบอุ้มน้องสาวของเขาอยู่ แต่เมื่อชายผู้นั้นหันกลับมาให้หมิงยู่มองหน้าชัดๆ แล้ว หมิงยู่ถึงกลับเบิกตากว้าง

“พะ พี่ใหญ่!” หมิงยู่วิ่งเข้าไปกอดเฉินกงด้วยอีกคน

“หึๆ พี่เอง แล้วลี่อินเล่า มาด้วยหรือไม่”

“วันนี้พี่สามต้องดื่มโอสถ พวกข้าจึงมิให้พี่สามมาทำงานเจ้าค่ะ”

“อาการของเขาดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“น้องสามอาการคงที่แล้ว ตอนนี้ดื่มโอสถเพียงเดือนละหนึ่งคราเท่านั้น หากวันใดที่น้องสามมิได้ดื่มโอสถ เขาก็มาบรรเลงกู่เจิงในร้านเสมอ”

“ดียิ่ง พี่คิดถึงคนที่เรือนแล้ว สั่งให้คนมาเก็บกวาดแล้วเรากลับเรือนกันเถิด” เฉินกงเร่งให้น้องสาวและน้องชายสั่งให้คนมาจัดการหน้าร้านให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะเปิดร้านต่อไปไม่ได้แล้ว หมิงยู่จึงได้ให้เสี่ยวเอ้อปิดร้านทำความสะอาดแล้วค่อยเปิดร้านใหม่ในวันพรุ่ง หลังจากจัดการเรื่องที่ร้านเสร็จสิ้นสามพี่น้องและบ่าวในเรือนสกุลลู่ที่มาทำงานในร้านซิ่งฟู่ก็เดินทางกลับเรือน

“ท่านแม่ พี่สาม พวกท่านออกมาดูเถิดว่าผู้ใดมา” เยว่ชิงวิ่งเข้าไปหามารดาและพี่ชายในห้องพักของลี่อินพร้อมกับเอ่ยแจ้งเรื่องสำคัญ

“ผู้ใดกันน้องเล็ก”

“นั้นสิลูก เหตุใดเจ้าจึงได้ดูดีอกดีใจจนเนื้อเต้นเช่นนี้”

“ไปห้องโถงเถิดเจ้าค่ะ เยว่ชิงรับรองได้ว่าท่านแม่และพี่สามต้องดีใจเช่นเดียวกับเยว่ชิง” เยว่ชิงรีบไปพยุงลี่อินให้ลุกขึ้นเดิน แท้จริงแล้วอาการของลี่อินมิได้น่าเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แต่คนในครอบครัวสกุลลู่ต่างประคบประหงมเขาจนเกินเหตุ

เมื่อมาถึงห้องโถง ซูเมิ่งและลี่อินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเฉินกงกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว

“ท่านแม่ น้องสาม” เฉินกงเดินเข้าไปโอบกอดมารดาและน้องชายเอาไว้แน่น นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้

“ลูกแม่ เจ้ากลับมาเสียที เหตุใดจึงไปแล้วไม่กลับมาเยี่ยมเรือนเราบ้างเล่า”

“นั้นสิขอรับพี่ใหญ่ พวกข้ารอท่านกลับมาเยี่ยมทุกปี แต่ก็มีเพียงจดหมายเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน ก่อนออกเดินทางพี่ใหญ่ของเขาเอ่ยว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือน พวกเขาจึงเฝ้ารอ แต่กลับได้รับเพียงจดหมายเท่านั้น

“พี่ต้องขออภัยพวกเจ้าด้วย ข้าขออภัยขอรับท่านแม่ ข้าอยากเร่งเรียนวิชาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพราะมิอยากให้ท่านพ่อต้องเสียงเงินทองมากนัก จึงมิได้กลับมาเยี่ยมเยือนท่านแม่และน้อง” เฉินกงเอ่ยบอกไปตามจริง

“โถ่ลูก จะคิดสิ่งใดให้มากความ ร้านชิ่งฟู่ของพวกเจ้าเจริญรุ่งเรือง จนสกุลเรามิต้องลำบากเช่นเก่าก่อนแล้ว ทั้งหนี้สินที่ท่านพ่อของเจ้าไปหยิบยืมมาตอนสอบขุนนางก็ใช้คืนเขาจนหมดแล้ว พวกเจ้าทั้งสามเองหากอยากเรียน แม่จะให้ท่านพ่อของเจ้าพาไปสามัครเรียน” เดิมทีครอบครัวสกุลลู่มีหนี้สินที่ใต้เท้าลู่ได้ไปหยิบยืมมายามสอบเข้าเป็นขุนนาง แต่เรื่องนี้นางและสามีมิได้เอ่ยเล่าให้ลูกๆ ฟัง ด้วยเหตุนี้เมื่อก่อนเบี้ยหวัดจึงมิพอใช้จ่ายในเรือน

“หากว่ากิจการคงที่แล้ว ข้าจะลองคิดดูขอรับ” หมิงยู่เอ่ยตอบรับมารดา

“พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   19. รอคอยอย่างมีหวัง

    “ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบุตรชายคนโตที่จะต้องไปเข้าร่วมกองทัพ“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ท่านพ่อขอรับ ข้าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ให้กับน้องเล็กต่อนะขอรับ สหายของข้านางเป็นบุตรสาวเศรษฐีสกุลลั่ว” เยว่ชิงยกยิ้มอย่างดีใจ หากพี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ท่านพ่อมิมีทางคัดค้านเป็นแน่ แม้ว่าเยว่ชิงจะมีทักษะการต่อสู้ที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อน แต่สิ่งที่นางได้เรียนรู้จากพี่ชายคือการหลบหลีกแฝงกาย ซึ่งต่างจากชีวิตก่อนของนาง ที่คุณพ่อมักจะให้นางเรียนการต่อสู้ซึ่งหน้ามากกว่า“อืม เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ให้เยว่ชิงฝึกไว้ก็ดีเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยตอบรับบุตรชาย พลางเข้าไปตบบ่าบุตรชายเบาๆ“ท่านพ่อ ท่านแม่ รักษาตัวด้วย…พวกเจ้าดูแลกันให้ดี พี่ฝากดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” เฉินกงก้มคำนับบิดามารดาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับน้องทั้งสาม“พี่ใหญ่เองก็รักษาตัวด้วยนะขอรับ”“มิต้องเป็นห่วงไป พี่ร่ำเรียนกับอาจารย์มาอย่างตั้งใจ พี่จะช่วยให้แคว้นของเราชนะศึกครานี้ แล้วกลับมาหาพวกเจ้าอย่างปลอดภัย”“เยว่ชิงเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจกับรู้สึกบีบรัดและ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   18. จดหมายเรียกตัว (2)

    “พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง“ใช่แล้ว พี่เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ครบถ้วนหมดแล้ว จนท่านอาจารย์ไล่พี่กลับเรือนนี่อย่างไร” เยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ ตลอดสามหนาวท่านแม่ได้สอนการบ้านการเรือนให้กับนาง จนนางไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมดาบ มูมู่เองก็คงเบื่อหน่ายที่นางมิมีเวลาไปเล่นด้วย แต่เมื่อพี่ใหญ่กลับมาครานี้นางจะให้เขาสอนวิชาให้เสียหน่อย สอนมูมู่และเสี่ยวจูด้วย“เช่นนั้นพี่ใหญ่สอนข้าได้หรือไม่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน จนทุกคนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้“หึๆ ย่อมได้ น้องรองกับน้องสามจะมาฝึกซ้อมด้วยกันหรือไม่”“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงนักขอรับ แหะๆ”“ส่วนข้าจะไปดูแลกิจการยามที่เยว่ชิงฝึกซ้อมเอง” ทั้งลี่อินและหมิงยู่ต่างเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที จนเฉินกงอดหัวเราะออกมามิได้“เอาเถิดๆ เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด แม่ทำความสะอาดรอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ มิมีฝุ่นผงแม้แต่น้อย”“ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ขอรับ” ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เยว่ชิงแวะไปเล่นกับมูมู่อยู่พักใหญ่แล้วจึงเข้าครัวช่วยท่านแม่จัดการเรื่องมื้อเย็น หลังจากจัดเตรียมอาหารเ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   17. จดหมายเรียกตัว (1)

    “คุณหนูเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เผิงจูวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาเรียกเยว่ชิงในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ เยว่ชิงที่บัดนี้ย่างเข้าวัยสิบหนาวเริ่มฉายแววงามล่มเมืองตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น“มีอันใดหรือเสี่ยวจู เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้” เยว่ชิงและหมิงยู่เงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน“ดะ ด้านนอก มีนักเลงยกพวกตีกันหน้าร้านเราเจ้าค่ะ พี่เผิงจงเข้าไปห้าม แต่กลับโดนทุบตีจนเลือดอาบหน้าแล้วเจ้าค่ะ ฮื่อออ” เผิงจูพูดไปก็ร้องไห้ไป เดิมนางคิดจะเข้าไปช่วยพี่ชาย เพราะนางเคยฝึกต่อสู้กับคุณหนูมาบ้าง แต่เผิงจงกลับสั่งให้นางรีบมาแจ้งคุณชายกับคุณหนู“พวกนักเลงหัวไม้อีกแล้วหรือ หากข้าวของข้าเสียหาย ข้าจะฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!!!” เยว่ชิงเดินไปหยิบหน้ากากและดาบไม้ที่นางใช้ฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วรีบสาวเท้าออกไปหน้าร้านทันที“ดะ เดี๋ยวๆ เยว่ชิง! เจ้าใจเย็นๆ ก่อน รอข้าด้วย” หมิงยู่รีบวิ่งตามน้องสาวไป หากว่าเยว่ชิงมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่น นางต้องโดนลงโทษเหมือนคราที่นางเข้าไปชกต่อยกับพวกนักเลงเป็นแน่เด็กหญิงวัยสิบหนาวที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มือขวาถือดาบชี้ไปที่นักเลงพวกนั้น มิมีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย“หากพว

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   16. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (2)

    “คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   15. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (1)

    “นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   14. อาการป่วย

    “พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status