“พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง
“ใช่แล้ว พี่เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ครบถ้วนหมดแล้ว จนท่านอาจารย์ไล่พี่กลับเรือนนี่อย่างไร” เยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ ตลอดสามหนาวท่านแม่ได้สอนการบ้านการเรือนให้กับนาง จนนางไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมดาบ มูมู่เองก็คงเบื่อหน่ายที่นางมิมีเวลาไปเล่นด้วย แต่เมื่อพี่ใหญ่กลับมาครานี้นางจะให้เขาสอนวิชาให้เสียหน่อย สอนมูมู่และเสี่ยวจูด้วย
“เช่นนั้นพี่ใหญ่สอนข้าได้หรือไม่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน จนทุกคนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้
“หึๆ ย่อมได้ น้องรองกับน้องสามจะมาฝึกซ้อมด้วยกันหรือไม่”
“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงนักขอรับ แหะๆ”
“ส่วนข้าจะไปดูแลกิจการยามที่เยว่ชิงฝึกซ้อมเอง” ทั้งลี่อินและหมิงยู่ต่างเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที จนเฉินกงอดหัวเราะออกมามิได้
“เอาเถิดๆ เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด แม่ทำความสะอาดรอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ มิมีฝุ่นผงแม้แต่น้อย”
“ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ขอรับ” ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เยว่ชิงแวะไปเล่นกับมูมู่อยู่พักใหญ่แล้วจึงเข้าครัวช่วยท่านแม่จัดการเรื่องมื้อเย็น หลังจากจัดเตรียมอาหารเสร็จสิ้นทุกคนก็มานั่งรอลู่หวังเหล่ยที่ห้องโถง รอไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในเรือน
“ท่านพ่อ ท่านดูเสียหน่อยว่าวันนี้มีผู้ใดรออยู่บ้าง” หมิงยู่รีบเอ่ยทักให้บิดามองสำรวจทุกคน
“เฉินกง! เจ้ากลับมาแล้วหรือ ฮ่าๆ” ลู่หวังเหล่ยรีบเข้าไปหาบุตรชายคนโต เขาไม่พบหน้าบุตรชายมานานถึงสามหนาว เฉินกงเปลี่ยนไปมากทั้งแข็งแรงและดุดันขึ้น
เห็นทีเรื่องนั้นคงคลายกังวลไปได้บ้าง
“ขอรับ ข้าตั้งใจเรียนรู้วิชาจากอาจารย์จนครบ จึงได้กลับมาอยู่เรือนถาวรเลยขอรับ”
“ดีๆ เช่นนั้นก็ดี” ลู่หวังเหล่ยได้ยินคำของบุตรชายก็ยิ้มได้ไม่เต็มปาก สีหน้าประดักประเดิดของบิดาทำเอาเฉินกงและเยว่ชิงถึงกับชะงัก
เยว่ชิงเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของท่านพ่อยามที่ถูกท่านแม่ถามถึงเรื่องที่ท่านพ่อโดนกลั่นแกล้งในที่ทำงาน ท่านพ่อมักจะเอ่ยถ้อยคำให้ท่านแม่สบายใจพร้อมกับมีสีหน้าเช่นนี้เสมอ ฉะนั้นแล้วหากท่านพ่อทำสีหน้าเช่นนี้คงจะมีบางเรื่องที่ท่านพ่อกังวลอยู่เป็นแน่
“ทานอาหารกันก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นชืดมิมีรสชาติกันพอดี” ซูเมิ่งคีบอาหารให้สามีและบุตรทั้งสี่ ครอบครัวสกุลลู่ทานมื้อเย็นร่วมกันอย่างอิ่มหนำ จากนั้นจึงมานั่งรับลมที่ศาลาในสวนท้ายเรือน
“โฮรก~” มูมู่เองก็ได้รับเชิญให้มานั่งรับลมที่ศาลาเช่นกัน เสียงคำรามของเสือหนุ่มมิได้ทำให้คนในสกุลลู่ตกใจกลัวอีกต่อไป เพราะเริ่มชินชากับเสียงเหล่านี้ไปแล้ว
“ท่านพ่อมีเรื่องกังวลใจหรือขอรับ” คำพูดของเฉินกงทำให้ครอบครัวสกุลลู่ต่างเงยหน้าขึ้นมองไปที่บิดาเป็นสายตาเดียว
“อืม พ่อพึ่งได้รับจดหมายเรียกตัว ขอคนเข้าร่วมกองทัพมา” ลู่หวังเหล่ยหยิบจดหมายในที่เก็บไว้ในสาบเสื้อออกมาให้บุตรชายคนโต
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ท่านพี่ ลูกพึ่งกลับมาจากสำนักศึกษาจะต้องเข้าร่วมกองทัพอีกแล้วหรือ” ซูเมิ่งน้ำตาคลอ นางพึ่งจะดีใจที่บุตรชายกลับมา แต่กลับต้องเอ่ยลากันอีกแล้วหรือ
“ใช่ ในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีการเรียกคนเข้าร่วมกองทัพเพื่อไปสมทบกับทัพของแม่ทัพใหญ่ที่รั้งรออยู่แถบชายแดน”
“แม่ทัพใหญ่ตอนนี้คือผู้ใดหรือขอรับ ข้าอยู่ในสำนักศึกษามิได้สนใจเรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย”
“องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยาง พระองค์ได้รับแต่งตั้งทั้งที่ยังทำศึกอยู่ชายแดน ครานี้พระองค์ขอทหารเพิ่ม เพื่อจะออกรบกับชนเผ่านอกด่าน เพราะแคว้นหลงเองก็ยังมีท่าทีมิน่าวางใจ พระองค์จึงมิอยากแบ่งกำลังทหารจากชายแดนทางใต้มารบกับพวกนอกด่าน ศึกกับพวกนอกด่านครานี้ยังมีรองแม่ทัพอู๋จางหมิ่นร่วมทำศึกด้วย”
“องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยาง ใช่คนเดียวกับที่ยกมูมู่ให้เยว่ชิงหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับพระนามขององค์ชายใหญ่
“ใช่แล้ว พระองค์เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ อยู่ในสนามรบตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งยังมีจิตใจเมตตาต่อราษฎร เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทแคว้นเฉิง แต่ทว่าเหล่าขุนนางกลับคัดค้านเพียงเพราะพระองค์เป็นโอรสที่ประสูติจากพระสนมที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และยังมีข่าวลือว่าองค์ชายใหญ่มิอาจมีบุตรได้”
“เป็นหมันหรือขอรับ”
“มิใช่ คนเล่าลือกันว่า แม้จะมีหญิงสาวเปลือยกายอยู่ตรงหน้า พระองค์ก็มิมีความรู้สึกใคร่แม้แต่น้อย”
“มิแปลกเจ้าค่ะ ชายบางคนหากมิใช่คนที่ตนเองพึงใจ ต่อให้มีหญิงที่งดงามราวเทพธิดาเปลือยกายอยู่ตรงหน้า เขาก็มิสนใจใคร่อยากมีสัมพันธ์ด้วย” เยว่ชิงคิดว่าอาการเช่นนี้มิได้แปลกอันใด องค์ชายใหญ่ผู้นี้อาจจะมีคนรักอยู่แล้วก็เป็นได้
“นี่ เจ้าเด็กแก่แดดแก่ลม พูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้มิอายปากเลยหรือ” หมิงยู่เอ่ยค่อนแคะน้องสาวที่พูดจาเฉกเช่นผู้ผ่านโลกมามาก
“พี่รอง!” และแล้วเรื่องราวก็จบลงที่สองพี่น้องลับฝีปากกันไปมาจนเหนื่อย
“ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบุตรชายคนโตที่จะต้องไปเข้าร่วมกองทัพ“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ท่านพ่อขอรับ ข้าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ให้กับน้องเล็กต่อนะขอรับ สหายของข้านางเป็นบุตรสาวเศรษฐีสกุลลั่ว” เยว่ชิงยกยิ้มอย่างดีใจ หากพี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ท่านพ่อมิมีทางคัดค้านเป็นแน่ แม้ว่าเยว่ชิงจะมีทักษะการต่อสู้ที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อน แต่สิ่งที่นางได้เรียนรู้จากพี่ชายคือการหลบหลีกแฝงกาย ซึ่งต่างจากชีวิตก่อนของนาง ที่คุณพ่อมักจะให้นางเรียนการต่อสู้ซึ่งหน้ามากกว่า“อืม เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ให้เยว่ชิงฝึกไว้ก็ดีเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยตอบรับบุตรชาย พลางเข้าไปตบบ่าบุตรชายเบาๆ“ท่านพ่อ ท่านแม่ รักษาตัวด้วย…พวกเจ้าดูแลกันให้ดี พี่ฝากดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” เฉินกงก้มคำนับบิดามารดาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับน้องทั้งสาม“พี่ใหญ่เองก็รักษาตัวด้วยนะขอรับ”“มิต้องเป็นห่วงไป พี่ร่ำเรียนกับอาจารย์มาอย่างตั้งใจ พี่จะช่วยให้แคว้นของเราชนะศึกครานี้ แล้วกลับมาหาพวกเจ้าอย่างปลอดภัย”“เยว่ชิงเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจกับรู้สึกบีบรัดและ
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง“ใช่แล้ว พี่เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ครบถ้วนหมดแล้ว จนท่านอาจารย์ไล่พี่กลับเรือนนี่อย่างไร” เยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ ตลอดสามหนาวท่านแม่ได้สอนการบ้านการเรือนให้กับนาง จนนางไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมดาบ มูมู่เองก็คงเบื่อหน่ายที่นางมิมีเวลาไปเล่นด้วย แต่เมื่อพี่ใหญ่กลับมาครานี้นางจะให้เขาสอนวิชาให้เสียหน่อย สอนมูมู่และเสี่ยวจูด้วย“เช่นนั้นพี่ใหญ่สอนข้าได้หรือไม่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน จนทุกคนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้“หึๆ ย่อมได้ น้องรองกับน้องสามจะมาฝึกซ้อมด้วยกันหรือไม่”“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงนักขอรับ แหะๆ”“ส่วนข้าจะไปดูแลกิจการยามที่เยว่ชิงฝึกซ้อมเอง” ทั้งลี่อินและหมิงยู่ต่างเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที จนเฉินกงอดหัวเราะออกมามิได้“เอาเถิดๆ เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด แม่ทำความสะอาดรอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ มิมีฝุ่นผงแม้แต่น้อย”“ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ขอรับ” ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เยว่ชิงแวะไปเล่นกับมูมู่อยู่พักใหญ่แล้วจึงเข้าครัวช่วยท่านแม่จัดการเรื่องมื้อเย็น หลังจากจัดเตรียมอาหารเ
“คุณหนูเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เผิงจูวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาเรียกเยว่ชิงในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ เยว่ชิงที่บัดนี้ย่างเข้าวัยสิบหนาวเริ่มฉายแววงามล่มเมืองตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น“มีอันใดหรือเสี่ยวจู เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้” เยว่ชิงและหมิงยู่เงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน“ดะ ด้านนอก มีนักเลงยกพวกตีกันหน้าร้านเราเจ้าค่ะ พี่เผิงจงเข้าไปห้าม แต่กลับโดนทุบตีจนเลือดอาบหน้าแล้วเจ้าค่ะ ฮื่อออ” เผิงจูพูดไปก็ร้องไห้ไป เดิมนางคิดจะเข้าไปช่วยพี่ชาย เพราะนางเคยฝึกต่อสู้กับคุณหนูมาบ้าง แต่เผิงจงกลับสั่งให้นางรีบมาแจ้งคุณชายกับคุณหนู“พวกนักเลงหัวไม้อีกแล้วหรือ หากข้าวของข้าเสียหาย ข้าจะฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!!!” เยว่ชิงเดินไปหยิบหน้ากากและดาบไม้ที่นางใช้ฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วรีบสาวเท้าออกไปหน้าร้านทันที“ดะ เดี๋ยวๆ เยว่ชิง! เจ้าใจเย็นๆ ก่อน รอข้าด้วย” หมิงยู่รีบวิ่งตามน้องสาวไป หากว่าเยว่ชิงมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่น นางต้องโดนลงโทษเหมือนคราที่นางเข้าไปชกต่อยกับพวกนักเลงเป็นแน่เด็กหญิงวัยสิบหนาวที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มือขวาถือดาบชี้ไปที่นักเลงพวกนั้น มิมีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย“หากพว
“คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ
“นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่
“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่