"..." มินตราทำได้เพียงหัวเราะเสียงเจื่อนๆ จะให้กล้าบอกเพื่อนสนิทอย่างไรล่ะว่าตอนนี้เธอไม่ครองโสด...คานที่เคยรอรับจนใยแมงมุมทำรังออกใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพียงแค่ไม่มีสถานะคู่นอนของเจ้านาย...
"ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนเลยนะยายมินตรา! ถ้าเกิดแกมัวชักช้าลีลาอยู่แบบนี้เนี่ยมีหวังได้ขึ้นคานทองจริงๆด้วย แก๊งเราก็มีแฟน มีผัวไปหมดแล้ว" พิมพ์พลอยเอ็ดเพื่อนเบาๆ "มาแล้วครับ สุดหล่อประจำกลุ่มมาแล้วครับโผมม" พลกฤษณ์ลากเสียงยาวพร้อมกับเดินเข้ามาในร้านอาหารเจ้าประจำ ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นเสยผมแบบลวกๆเพื่อโอ้อวดความโก้จากการย้อมสีสไตล์ฝรั่งนั่นก็คือฟ้าบลูฮาวาย "เชี้ย! มึงเอายาม่วงไปโกรกผมมาเหรอวะ" ฟ้าใสส่ายศีรษะไปมาให้กับความโก๊ะของเพื่อนสนิท ไม่แปลกเลยที่เมื่อก่อนจะไม่มีเพื่อนผู้ชายคบเพราะไอ้ความเว่อร์วังปัญญาอ่อนแบบนี้นี่แหละคือสาเหตุหลัก "นี่มันสีฟ้าบลูฮาวายครับคุณพิมพ์พลอย ยาม่วงบ้านพ่อง ตาสวะใช้ได้ฮะ" พลกฤษณ์กระแทกเสียงอย่างประชดประชัน "ใครมันจะเหมือนคนพิมพ์พลอยล่ะครับ คงย้อมผมสีเอิกเกริกแบบนี้ไม่ได้หรอกเพราะต้องรักษาหน้าตาของพ่อผัวแม่ผัว" "ไอ้พลกฤษณ์! เดี๋ยวแม่ตีปากแตก" และนี่คืออีกสิ่ง...พิมพ์พลอยกับพลกฤษณ์เป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่สมัยเรียนยันโตอายุปูนนี้ก็ยังไม่เลิกแว้งประชดประชันเหน็บแนมกันเสียที จนเธอกับฟ้าใสเคยคิดว่าหากวันนึงมันทั้งสองคนตกแต่งออกเรือนไปด้วยกันมีหวังลูกดกหัวปีท้ายปีแน่ๆ...แต่ความฝันก็พังทลายเพราะตอนนี้พิมพ์พลอยของเราได้เป็นสะใภ้เศรษฐีพันล้านไปเสียแล้ว "พอๆ เลิกทะเลาะกัน นี่! กินติ่มซำกันเถอะ เจ้าโปรดของพวกเราเลยนะ" ฟ้าใสเห็นถึงกับรีบห้ามปรามไม่เช่นนั้นทั้งสองคนคงได้ต่อปากต่อคำยาวเหยียดจนกระทั่งอาหารเย็นจืดชืดกันพอดี "เป็นไงบ้างมินตรา สบายดีไหม" สุ้มเสียงที่พูดคุยกับมินตราต่างออกไปจากพิมพ์พลอยเมื่อครู่ พลกฤษณ์หย่อนสะโพกลงนั่งข้างๆเพื่อนสาวแล้วถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคนสนิทกัน "ก็สบายดี ว่าแต่พลกฤษณ์เถอะสบายดีนะช่วงนี้" พลกฤษณ์เป็นถึงหัวหน้าวิศวกรชื่อดังที่ต้องจองคิวยาวตั้งแต่ต้นปียันปลายปี...นับได้ว่างานล้นมือเลยเทียว "สบายมาก มินสวยขึ้นนะเนี่ย รู้สึกว่าดูแลตัวเองดีเป็นพิเศษเหมือนคนกำลังมีความรักเลย" พลกฤษณ์แซว ตั้งแต่รู้จักกันมามินตราไม่ค่อยแต่งตัวเว้าหน้าเว้าหลังคอดเข้ารูปขนาดนี้ก่อน...อย่างมากออกมารับประทานอาหารตอนเย็นหรือยามเช้าตรู่ก็ใช้เป็นเสื้อโอเวอร์ไซส์ตัวโคร่งและกางเกงเจเจขาสั้นซะส่วนใหญ่ "เปล่าหรอก" ถึงแม้แค่ออกมารับประทานอาหารเจ้าประจำหลังมหาวิทยาลัยใกล้ๆ...แต่เจ้านายของเธออย่างภาคินก็กำชับนัก กำชับหนาว่าจำเป็นต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา เพราะหากเจอกับผู้ค้าธุรกิจที่ร่วมด้วยจะได้ไม่ต้องก่อเรื่องขายหน้าไปจนถึงเขา...'เลขารองประธานบริษัทเดชาประวัติสกุลกรุ๊ป แต่งตัวมอซอเหมือนยายเพิ้งน่ะ' "อะๆๆ อย่าพูดจาพร่ำเพรื่อ รีบๆกินกันเถอะ ฉันหิวจนไส้จะกิวแล้วเนี่ย" ฟ้าใสเร่งรัดจนเพื่อนๆทุกคนจำต้องกรอกตามองบน แล้วเริ่มลงมือรับประทานติ่มซำชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากหน้าหลายชนิดที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ นี่คงจะเป็นการพบปะสังสรรค์รวมตัวครบแก๊งครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ เพราะทั้ง 4 คนไม่ค่อยมีเวลาตรงกันสักเท่าไหร่นัก ต้องบากบั่นทำงานทำการมุ่งมั่นกับหน้าที่ของตนเอง... ติ้ง! จู่ๆข้อความจาก application LINE ในมือถือของมินตราก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องคล้ายกับจุดประทัดสามารถเรียกความสนใจจากเพื่อนสนิททั้งสามคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน "อ่านข้อความก่อนไหม?" พิมพ์พลอยเป็นฝ่ายเบิกฤกษ์ถาม "อื้อ" "คุณภาคินเหรอ" คำถามของฟ้าใสทำเอาใจเธอกระตุกวูบ "คุณภาคินนี่ก็อะไรดี วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งคือวันหยุดแท้ๆยังส่งข้อความมาสั่งงานเลขายิกๆ คิดจะไม่ให้พัก ไม่ให้ผ่อนกันเลยหรือไง แหมะ! ใช้งานจนคุ้มเงินเดือนจริงๆ" มินตราถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เพื่อนสนิทของเธอคิดเห็นเป็นเช่นนั้น "ใช่ๆ ขอออกไปคุยงานแป๊บนึงนะพวกแกกินต่อได้เลย" มินตราลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านเจ้าประจำ เพื่อพิมพ์แชทส่งข้อความคุยกับภาคินที่เด้งเข้ามาเร็วระรัวจนโทรศัพท์เก่าซอมซ่อของเธอค้างเลื่อนแถบไม่ไป phakin.nd 'อยู่ไหน' 'ทำไมยังไม่กลับบ้าน' 'มินตรา! กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะผมหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว' 'กล้าดียังไง ไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำ' 'อย่าให้ผมรู้นะมิน ว่าคุณไปนัดเจอกับผู้ชายคนอื่น ไม่เช่นนั้นผมไม่เก็บคุณเอาไว้แน่' ในสายตาของเขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันนะ...ถึงได้ด้อยค่าเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีคิดว่าเธอจะนอกกายนอกใจแล้วแอบไปเล่นสวาทกับผู้ชายคนอื่นควบคู่ แค่มีเขาคนเดียวเธอก็จะตายห่าอยู่แล้ว! หากเพิ่มมาอีกสองสามคน ใต้ขอบตาคงดำคล้ำ สภาพซูบเซียวจนต้องทรุดโทรมเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ และแล้วเมื่อเธออ่าน ไม่ทันได้ตอบข้อความ...สายโทรศัพท์เรียกเข้าจากเบอร์ที่ถูกเมมโมรี่ว่า คุณคีริน ก็ได้เด้งปรากฏโฉเด่นหราอยู่บนหน้าจอตัวโตๆ (ทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ? อยู่ที่ไหน กลับมาบ้านเดี๋ยวนี้ ผมหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว ในตู้เย็นก็มีแต่ของสดจะให้ผมทำกินเองหรือไง) พอเธอรับสายปุ๊บก็สาดคำถามใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้ง จนสมองของมินตราแทบประมวลผลไม่ทันว่าควรเรียงจากคำตอบไหนไปคำตอบไหนก่อนดี "มินเพิ่งเห็นข้อความเมื่อกี้กำลังจะพิมพ์ตอบพอดีแต่คุณคิรินก็โทรมาเสียก่อน ตอนนี้มินอยู่ที่ร้านติ่มซำหลังมหาวิทยาลัยค่ะ ออกมาพบปะเม้าท์มอยเล่าเรื่องสารทุกข์สุขดิบกับเพื่อนฝูงนิดหน่อย น่าจะกลับไม่เกินสองทุ่ม ที่สำคัญถ้าเกิดหิวในตู้เย็นมีข้าวที่มินซื้อมาจากเซเว่น คุณคีรินเอาอุ่นในไมโครเวฟทานก่อนได้เลยนะคะ" มินตราตอบอย่างใจเย็นที่สุด (นี่มินกล้าให้ผมอุ่นอาหารในไมโครเวฟกินเองงั้นเหรอ? กลับมาเดี๋ยวนี้มินตรา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน) ภาคินสั่งเสียงเข้ม ถ้าเกิดตอนนี้เปิดวีดีโอคอลอยู่คงได้เห็นสีหน้าและใบหูของเขาแดงเถือกพร้อมกับลูกกะตาที่แทบจะถลนออกมานอกเบ้ากระมัง "แต่...วันนี้มินขออยู่กับเพื่อนได้ไหมคะ มินกับเพื่อนแทบไม่ได้รวมกลุ่มครบคนแบบนี้มานานแล้ว..." มินตราร้องขอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้ทั้งรู้ว่าความหวังของมันคือศูนย์แต่เธอก็ยังอยากลองดูสักตั้งเผื่อเขาคิดเห็นใจ (กลับมาเดี๋ยวนี้) ภาคินเริ่มกดเสียงต่ำแสดงออกมาทำให้มินตราได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายในอกจนแทบปะทุ ไม่อยากจะนึกสภาพของตัวเองเลยว่าทันใดที่ย่างก้าวเข้าไปใน ห้องเชือด หลังนั้นเธอจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง ปกติกว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านจัดสรรที่ซื้อเอาไว้ให้เธออยู่...ก็ประมาณสามทุ่ม...เธอจึงเผื่อเวลาและได้ออกมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนสนิทโดยกำหนดเวลาก่อนหน้านั้นสองชั่วโมง แต่ไม่รู้ว่าวันนี้โชคชะตาหรืออะไรเล่นตลกถึงได้ทำกับเธอแบบนี้ "ค่ะ มินจะกลับไปเดี๋ยวนี้" มินตราไม่มีทางเลือก เธอจะกล้าฮึกเหิมทำให้เขาไม่พึงพอใจได้อย่างไรล่ะ ยิ่งตอนที่เขาโมโห อารมณ์ร้าย ไม่เคยฟังใครทั้งสิ้น ทั้งทำลายข้าวของ...แล้วค่อยมาพูดจาอ่อนออเซาะเธอทีหลังเมื่ออารมณ์เย็นลง "ผมให้เวลา 10 นาที ถ้ามินยังไม่ถึงเราได้เจอดีกันแน่" ว่าจบคีรินกดตัดสาย มินตรากำโทรศัพท์แน่นก้าวขาหนักเข้าไปในร้านอาหารเจ้าประจำ หยุดการเคลื่อนไหวด้านหน้าโต๊ะของกลุ่มเพื่อนฝูงแล้วขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเบาๆเพราะไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาพูดเพื่อให้ตัวเองดูน่าเกลียดน้อยลง "เอ่อ...คะ...คือ""ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ