"มา เอ่อ อ่า อยู่ได้ มีอะไรก็พูดมาสิ มัวแต่ยืนอ้ำอึ้งอยู่แบบนี้พวกฉันจะเข้าใจสิ่งที่แกคิดอยู่ในใจหรือเปล่า" พิมพ์พลอยถึงกับอดไม่ติด แหงนหน้าสวนกลับไป
"ถ้าฉันจะขอกลับก่อนได้ไหม พอดีเมื่อกี้บอสโทรมาบอกว่าต้องการเอกสารเร่งด่วนภายในตอนนี้น่ะ ไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันใหม่นะ นะ นะ นะ" แค่โกหกครั้งเดียวคงไม่ตกนรกหรอกมั้ง...งั้นไว้วันหลังเธอค่อยไปทำบุญ ปล่อยนก ปล่อยปลา รักษาศีลเพื่อเป็นการชดเชยบาปก็แล้วกัน "คุณภาคินนี่ยังไงกัน จะเข้มงวดกวดขันลูกน้องไปถึงไหน นอกเวลางานแท้ๆคนเขาก็ต้องมีธุระสัพเพเหระทำ แต่ดั้นมาเร่งรัดต้องเอาให้ได้! เฮ้อ! ถามจริงเถอะมินตราแต่ก็เป็นเลขาของคุณภาคินมาตั้งปีกว่า ทนกับความเจ้ากี้เจ้าการ เรื่องมาก จุกจิก หัวร้อนของเขาได้เหรอ?" ฟ้าใสถามอย่างอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกก็นึกว่าเพื่อนสนิทหล่อนจะใจเสาะแล้วลาออกไปตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน แต่ที่ไหนได้อยู่ยาวเหยียดกว่าทุกๆคนที่ผ่านมาซะด้วยซ้ำ "คุณภาคินอะไรนั่นร้ายขนาดนั้นเชียวรึ?" พิมพ์พลอยเองก็พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของภาคินมาบ้าง แต่ก็ไม่นึกว่าตอนทำงานจะเข้มงวดกวดขันกับลูกน้องจนตัวเป็นเกลียวน๊อตขนาดนี้ "ก็ใช่น่ะสิ! นี่ฉันขอเม้าท์มอยให้ฟังหน่อยเถอะ อยากจะบอกนะงานน่ะต้องเป๊ะทุกตัวอักษร แฟ้มกองเบอเร่อให้รื้อใหม่หมดและทำให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง ซ้ำยังเรื่องมาก ปากร้าย หัวร้อน ชอบทำลายข้าวของ แผลงฤทธิ์กับเลขาที่ท่านประธานรับเข้ามาทำงานจนพวกหล่อนหนีเตลิดเปิดเปิงหางจุกตูดกันไปหลายรายแล้ว" ฟ้าใสเหลียวซ้ายมองขวายกฝ่ามือขึ้นมาป้องปากคล้ายกับต้องการซุบซิบนินทาเพื่อให้ได้ยินกันแค่บริเวณโต๊ะของเพื่อนซี้ เพราะหากมีพวกปากหอยปากปูคาบข่าวบอกเจ้านายล่ะก็ มีหวังหล่อนได้โดนเด้งจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดแน่ๆ "สรุปฉันไปได้หรือเปล่า..." "เออๆ ขับรถกลับดีๆก็แล้วกัน" พิมพ์พลอยโบกมือไล่ "งั้นฉันกลับก่อนนะ บ๊ายบาย" มินตรารีบเผ่นวิ่งออกจากร้านเจ้าประจำ หมุนกุญแจรถมุ่งหน้าสู่บ้านจัดสรรหลังนั้นด้วยความเร็ว... @บ้านจัดสรร เอี๊ยด!! มินตราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามท่องนะโม พุทโธ สังโฆในใจแล้วย่างกรายก้าวขาซ้ายตามคอนเซ็ปขวาร้ายซ้ายดีเพื่อเบิกฤกษ์เบิกทาง แต่ทว่า! เพล๊ง!! เสียงคับคล้ายคับคลาเหมือนเศษแก้วแตกกระจุยกระทบกับพื้นกระเบื้อง เธอไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปซ้ำยังไม่ทันระวังจึงเหยียบเข้าเต็มๆเท้า "โอ๊ย!" เลือดสีแดงสดไหลอาบแปดเปื้อนพื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเพราะไอ้เศษแก้วที่แตกละเอียดเป็นชิ้นส่วนเล็กๆทิ่มตำติดอยู่ในเนื้อ "มิน!!" คนที่เขวี้ยงแก้วไวน์เล่นเมื่อครู่กระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วช้อนร่างบางในท่าเจ้าสาวยกขึ้นหน้าเสมอแผงอกแกร่งกำยำรีบประคองเธอเข้าไปทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้านในบ้าน เพราะกลัวว่าเธอจะมาตายแล้วกลายเป็นสิ่งอัปมงคลในบ้านของเขา ไม่ใช่ความเป็นห่วงเป็นใยทั้งสิ้น! โปรดสำเหนียกตัวไว้เสีย "ทำไมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เห็นหรือเปล่าว่าเศษแก้วกระจัดกระจายเต็มพื้นขนาดนั้น" มินตราถึงกับหน้างุดเบะปากคล้ายคนกำลังจะร้องไห้แต่ก็ต้องฮึบเอาไว้เมื่อเจอเข้ากับสีหน้าดุดันและแววตาบีบบังคับของเขา เธอเจ็บขนาดนี้...เขายังมาซ้ำเติมด้วยการพูดจากระแทกแดกดันอีก หากเป็นเมื่อก่อนนะคงจะรีบประคบประหงมโอบกอดแล้วปลอบประโลมเต็มที่ แต่ก็ใช่สิ! เธอมันเก่าแล้วนี่ จะสดใหม่เอ๊าะๆเหมือนสาววัยแรกรุ่นยังไงล่ะ "ขอโทษค่ะ" "ทีหลังก็หัดเดินระมัดระวังบ้าง" พร่ำปากบ่นทั้งที่กำลังใช้คีมเล็กซึ่งถูกฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เรียบร้อยหยิบเศษแก้วที่เป็นผงฝุ่นเล็กๆซึ่งติดอยู่ในเนื้อออกอย่างเบามือที่สุด เมื่อจัดการล้างแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว...ก็หยิบสก๊อตเทปพันด้วยผ้าพันแผลรอบๆฝ่าเท้าด้วยความชำนาญ... "ขอบคุณนะคะ" มินตราสวมกอดร่างหนาจากทางด้านหลังในขณะที่เขากำลังจะเอื้อมหยิบสำลีทิ้งลงในถังขยะข้างๆเตียง "แล้วมินก็ต้องขอโทษด้วย ที่มินถือวิสาสะออกไปโดยที่ยังไม่ได้บอกคุณภาคิน คุณภาคินอย่าโกรธมินเลยนะคะ" ภาคินกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ "คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำให้ผมโมโหแบบนี้อีก ผมไม่ชอบที่มินทำอะไรห้ามหัวแล้วไม่ยอมบอกผมก่อน" "มินขอโทษค่ะ" น้ำเสียงส่อแววสำนึกผิด "..." "มินเจ็บเท้า...คืนนี้คุณภาคินอยู่กับมินได้ไหมคะ คุณภาคินไม่ได้มานอนค้างคืนที่นี่เป็นเดือนแล้วนะคะ" จะหาว่าเธอหน้าด้านอย่างไรก็ช่าง! แต่เธอคิดถึงอ้อมกอดของเขาเหลือเกิน อยากจะนอนซบแผงอกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนจนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเขาเป็นคนแรก... แต่นั่นคงทำได้เพียงแค่ฝันไป...เพราะหลังจากที่เรามีอะไรกัน ได้เพียงแค่ 5 สัปดาห์ เขาก็เริ่มออกลาย เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนจนเธอรู้สึกใจหาย...แต่ก็ไม่สามารถก้าวขาหนีจากเขาได้เสียทีเหมือนกัน "อยู่กับมินเถอะนะคะคุณภาคิน แค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้..." สำหรับภาคินมันช่างเป็นคำขอที่ไร้สาระสิ้นดี! มินตรารู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางนอนค้างคืนกับเธอที่นี่แน่ๆ แต่ก็ยังดื้อด้านถามไถ่เพราะความหวังบ้าๆอันเล็กๆน้อยๆ "ได้ไหมคะคุณภาคิน" "อยากขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้มินตรา" คำพูดแทงใจดำอันแข็งกร้าวไร้ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอกอย่างจังจนเลือดปะทุดุเดือดอาบทั้งเรือนร่างกลายเป็นสีแดงฉาด...หยดน้ำเล็กๆถูกบีบคั้นเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าแล้วค่อยๆหลั่งรินอาบสองพวงแก้มหยดลงบนเสื้อเชิ้ตสีสุภาพจนเกิดคราบเปียกเป็นวงกว้าง "ฮึก..." ตบท้ายตามด้วยเสียงสะอื้นเล็กๆน้อยๆ มินตราได้แต่พร่ำถามตัวเองในใจว่า...มันเป็นคำขอที่มากเกินไปงั้นหรือ? เธอไม่ได้เรียกร้องเงินทองเป็น 10 ล้าน 100 ล้านหรือเครื่องเพชรมูลค่ามาก เธอต้องการเพียงแค่เวลา เวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับเขาเหมือนคู่รักทั่วไปก็แค่นั้น...ต่างกันเพียงสถานะของเธอในตอนนี้นั่นก็คือคู่นอน "อย่าบีบน้ำตาเพื่อเรียกร้องความสงสารจากผม เพราะมินเองก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางได้ผล" ภาคินเย็นชา เยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็งในฤดูหิมะตก เขาไม่มีทางมาสนใจใยดีหรือทำให้ตัวเองหวั่นไหวกับบทมารยาสาไถยของเพศตรงข้ามแค่นี้หรอก "..." ตื้ด...จู่ๆเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แน่นอนว่ารายชื่อที่ถูกบันทึกเด้งขึ้นมาปรากฏบนหน้าจอค่อนข้างเรียกอารมณ์หงุดหงิดภายในกายเขาได้พอสมควร แต่ก็ต้องจำใจกดรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอยู่ดี (แกหายหัวไปไหน! ฉันบอกให้แกไปรับหนูพิรญาณ์ทานข้าวที่บ้านไม่ใช่หรอ! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วห๊ะ! หกโมงเย็น ป่านนี้หนูพิรญาณ์คงแต่งตัวสวยรอเก้อแล้วมั้ง) ภาคินชำเลืองมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่แปดเปื้อนด้วยหยาดน้ำตาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวขาฉับๆเดินออกไปคุยโทรศัพท์ชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นห้องรับรองแขกเพื่อความเป็นส่วนตัว "ผมเคยบอกพ่อแล้วไงครับว่าผมไม่ว่าง" (ภาคิน! อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง ถ้าเกิดแกยังดื้อด้านไม่ทำตามคำสั่งของฉันล่ะก็ ฉันจะกลับไปหาแม่ของแกอีกรอบ เอาไหมล่ะ)@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่