"มา เอ่อ อ่า อยู่ได้ มีอะไรก็พูดมาสิ มัวแต่ยืนอ้ำอึ้งอยู่แบบนี้พวกฉันจะเข้าใจสิ่งที่แกคิดอยู่ในใจหรือเปล่า" พิมพ์พลอยถึงกับอดไม่ติด แหงนหน้าสวนกลับไป
"ถ้าฉันจะขอกลับก่อนได้ไหม พอดีเมื่อกี้บอสโทรมาบอกว่าต้องการเอกสารเร่งด่วนภายในตอนนี้น่ะ ไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันใหม่นะ นะ นะ นะ" แค่โกหกครั้งเดียวคงไม่ตกนรกหรอกมั้ง...งั้นไว้วันหลังเธอค่อยไปทำบุญ ปล่อยนก ปล่อยปลา รักษาศีลเพื่อเป็นการชดเชยบาปก็แล้วกัน "คุณภาคินนี่ยังไงกัน จะเข้มงวดกวดขันลูกน้องไปถึงไหน นอกเวลางานแท้ๆคนเขาก็ต้องมีธุระสัพเพเหระทำ แต่ดั้นมาเร่งรัดต้องเอาให้ได้! เฮ้อ! ถามจริงเถอะมินตราแต่ก็เป็นเลขาของคุณภาคินมาตั้งปีกว่า ทนกับความเจ้ากี้เจ้าการ เรื่องมาก จุกจิก หัวร้อนของเขาได้เหรอ?" ฟ้าใสถามอย่างอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกก็นึกว่าเพื่อนสนิทหล่อนจะใจเสาะแล้วลาออกไปตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน แต่ที่ไหนได้อยู่ยาวเหยียดกว่าทุกๆคนที่ผ่านมาซะด้วยซ้ำ "คุณภาคินอะไรนั่นร้ายขนาดนั้นเชียวรึ?" พิมพ์พลอยเองก็พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของภาคินมาบ้าง แต่ก็ไม่นึกว่าตอนทำงานจะเข้มงวดกวดขันกับลูกน้องจนตัวเป็นเกลียวน๊อตขนาดนี้ "ก็ใช่น่ะสิ! นี่ฉันขอเม้าท์มอยให้ฟังหน่อยเถอะ อยากจะบอกนะงานน่ะต้องเป๊ะทุกตัวอักษร แฟ้มกองเบอเร่อให้รื้อใหม่หมดและทำให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง ซ้ำยังเรื่องมาก ปากร้าย หัวร้อน ชอบทำลายข้าวของ แผลงฤทธิ์กับเลขาที่ท่านประธานรับเข้ามาทำงานจนพวกหล่อนหนีเตลิดเปิดเปิงหางจุกตูดกันไปหลายรายแล้ว" ฟ้าใสเหลียวซ้ายมองขวายกฝ่ามือขึ้นมาป้องปากคล้ายกับต้องการซุบซิบนินทาเพื่อให้ได้ยินกันแค่บริเวณโต๊ะของเพื่อนซี้ เพราะหากมีพวกปากหอยปากปูคาบข่าวบอกเจ้านายล่ะก็ มีหวังหล่อนได้โดนเด้งจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดแน่ๆ "สรุปฉันไปได้หรือเปล่า..." "เออๆ ขับรถกลับดีๆก็แล้วกัน" พิมพ์พลอยโบกมือไล่ "งั้นฉันกลับก่อนนะ บ๊ายบาย" มินตรารีบเผ่นวิ่งออกจากร้านเจ้าประจำ หมุนกุญแจรถมุ่งหน้าสู่บ้านจัดสรรหลังนั้นด้วยความเร็ว... @บ้านจัดสรร เอี๊ยด!! มินตราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามท่องนะโม พุทโธ สังโฆในใจแล้วย่างกรายก้าวขาซ้ายตามคอนเซ็ปขวาร้ายซ้ายดีเพื่อเบิกฤกษ์เบิกทาง แต่ทว่า! เพล๊ง!! เสียงคับคล้ายคับคลาเหมือนเศษแก้วแตกกระจุยกระทบกับพื้นกระเบื้อง เธอไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปซ้ำยังไม่ทันระวังจึงเหยียบเข้าเต็มๆเท้า "โอ๊ย!" เลือดสีแดงสดไหลอาบแปดเปื้อนพื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเพราะไอ้เศษแก้วที่แตกละเอียดเป็นชิ้นส่วนเล็กๆทิ่มตำติดอยู่ในเนื้อ "มิน!!" คนที่เขวี้ยงแก้วไวน์เล่นเมื่อครู่กระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วช้อนร่างบางในท่าเจ้าสาวยกขึ้นหน้าเสมอแผงอกแกร่งกำยำรีบประคองเธอเข้าไปทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้านในบ้าน เพราะกลัวว่าเธอจะมาตายแล้วกลายเป็นสิ่งอัปมงคลในบ้านของเขา ไม่ใช่ความเป็นห่วงเป็นใยทั้งสิ้น! โปรดสำเหนียกตัวไว้เสีย "ทำไมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เห็นหรือเปล่าว่าเศษแก้วกระจัดกระจายเต็มพื้นขนาดนั้น" มินตราถึงกับหน้างุดเบะปากคล้ายคนกำลังจะร้องไห้แต่ก็ต้องฮึบเอาไว้เมื่อเจอเข้ากับสีหน้าดุดันและแววตาบีบบังคับของเขา เธอเจ็บขนาดนี้...เขายังมาซ้ำเติมด้วยการพูดจากระแทกแดกดันอีก หากเป็นเมื่อก่อนนะคงจะรีบประคบประหงมโอบกอดแล้วปลอบประโลมเต็มที่ แต่ก็ใช่สิ! เธอมันเก่าแล้วนี่ จะสดใหม่เอ๊าะๆเหมือนสาววัยแรกรุ่นยังไงล่ะ "ขอโทษค่ะ" "ทีหลังก็หัดเดินระมัดระวังบ้าง" พร่ำปากบ่นทั้งที่กำลังใช้คีมเล็กซึ่งถูกฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เรียบร้อยหยิบเศษแก้วที่เป็นผงฝุ่นเล็กๆซึ่งติดอยู่ในเนื้อออกอย่างเบามือที่สุด เมื่อจัดการล้างแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว...ก็หยิบสก๊อตเทปพันด้วยผ้าพันแผลรอบๆฝ่าเท้าด้วยความชำนาญ... "ขอบคุณนะคะ" มินตราสวมกอดร่างหนาจากทางด้านหลังในขณะที่เขากำลังจะเอื้อมหยิบสำลีทิ้งลงในถังขยะข้างๆเตียง "แล้วมินก็ต้องขอโทษด้วย ที่มินถือวิสาสะออกไปโดยที่ยังไม่ได้บอกคุณภาคิน คุณภาคินอย่าโกรธมินเลยนะคะ" ภาคินกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ "คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำให้ผมโมโหแบบนี้อีก ผมไม่ชอบที่มินทำอะไรห้ามหัวแล้วไม่ยอมบอกผมก่อน" "มินขอโทษค่ะ" น้ำเสียงส่อแววสำนึกผิด "..." "มินเจ็บเท้า...คืนนี้คุณภาคินอยู่กับมินได้ไหมคะ คุณภาคินไม่ได้มานอนค้างคืนที่นี่เป็นเดือนแล้วนะคะ" จะหาว่าเธอหน้าด้านอย่างไรก็ช่าง! แต่เธอคิดถึงอ้อมกอดของเขาเหลือเกิน อยากจะนอนซบแผงอกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนจนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเขาเป็นคนแรก... แต่นั่นคงทำได้เพียงแค่ฝันไป...เพราะหลังจากที่เรามีอะไรกัน ได้เพียงแค่ 5 สัปดาห์ เขาก็เริ่มออกลาย เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนจนเธอรู้สึกใจหาย...แต่ก็ไม่สามารถก้าวขาหนีจากเขาได้เสียทีเหมือนกัน "อยู่กับมินเถอะนะคะคุณภาคิน แค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้..." สำหรับภาคินมันช่างเป็นคำขอที่ไร้สาระสิ้นดี! มินตรารู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางนอนค้างคืนกับเธอที่นี่แน่ๆ แต่ก็ยังดื้อด้านถามไถ่เพราะความหวังบ้าๆอันเล็กๆน้อยๆ "ได้ไหมคะคุณภาคิน" "อยากขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้มินตรา" คำพูดแทงใจดำอันแข็งกร้าวไร้ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอกอย่างจังจนเลือดปะทุดุเดือดอาบทั้งเรือนร่างกลายเป็นสีแดงฉาด...หยดน้ำเล็กๆถูกบีบคั้นเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าแล้วค่อยๆหลั่งรินอาบสองพวงแก้มหยดลงบนเสื้อเชิ้ตสีสุภาพจนเกิดคราบเปียกเป็นวงกว้าง "ฮึก..." ตบท้ายตามด้วยเสียงสะอื้นเล็กๆน้อยๆ มินตราได้แต่พร่ำถามตัวเองในใจว่า...มันเป็นคำขอที่มากเกินไปงั้นหรือ? เธอไม่ได้เรียกร้องเงินทองเป็น 10 ล้าน 100 ล้านหรือเครื่องเพชรมูลค่ามาก เธอต้องการเพียงแค่เวลา เวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับเขาเหมือนคู่รักทั่วไปก็แค่นั้น...ต่างกันเพียงสถานะของเธอในตอนนี้นั่นก็คือคู่นอน "อย่าบีบน้ำตาเพื่อเรียกร้องความสงสารจากผม เพราะมินเองก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางได้ผล" ภาคินเย็นชา เยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็งในฤดูหิมะตก เขาไม่มีทางมาสนใจใยดีหรือทำให้ตัวเองหวั่นไหวกับบทมารยาสาไถยของเพศตรงข้ามแค่นี้หรอก "..." ตื้ด...จู่ๆเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แน่นอนว่ารายชื่อที่ถูกบันทึกเด้งขึ้นมาปรากฏบนหน้าจอค่อนข้างเรียกอารมณ์หงุดหงิดภายในกายเขาได้พอสมควร แต่ก็ต้องจำใจกดรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอยู่ดี (แกหายหัวไปไหน! ฉันบอกให้แกไปรับหนูพิรญาณ์ทานข้าวที่บ้านไม่ใช่หรอ! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วห๊ะ! หกโมงเย็น ป่านนี้หนูพิรญาณ์คงแต่งตัวสวยรอเก้อแล้วมั้ง) ภาคินชำเลืองมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่แปดเปื้อนด้วยหยาดน้ำตาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวขาฉับๆเดินออกไปคุยโทรศัพท์ชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นห้องรับรองแขกเพื่อความเป็นส่วนตัว "ผมเคยบอกพ่อแล้วไงครับว่าผมไม่ว่าง" (ภาคิน! อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง ถ้าเกิดแกยังดื้อด้านไม่ทำตามคำสั่งของฉันล่ะก็ ฉันจะกลับไปหาแม่ของแกอีกรอบ เอาไหมล่ะ)"ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ