“ผมไปตกลงช่วยคุณตอนไหน คุณมัดมือชกผมล้วนๆ”
คนถูกบังคับสวนขึ้นอย่างไม่พอใจ ขณะที่หญิงสาวกลับชะโงกหน้าผ่านเขาไปมองทางที่เพิ่งเดินจากมา ราวกับไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาพูด
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมไปล่ะ”
ปัฐวิกรมองอีกฝ่ายราวกับเด็กจอมยุ่งพูดไม่รู้เรื่อง เมื่อเธอไม่คิดจะฟังเขา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรด้วยอีก ร่างสูงใหญ่ขยับตัวจะกลับไปทางเดิม ทว่ากลับถูกหญิงสาวดึงแขนเอาไว้
“ไปไหนน่ะคุณ”
เธอกัดฟันทำใจให้นิ่งเพื่อมองหน้าชายหนุ่มให้ได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามเลี่ยง เพราะดันไปจูบแก้มเขาเข้าแบบนั้นย่อมต้องมีความกระดากอายบ้าง
“ก็กลับไปที่เดิมน่ะสิ”
“ถ้าคุณกลับไปแล้วเขายังอยู่ ก็ต้องเห็นน่ะสิ ว่าคุณไม่ได้ไปกับฉัน”
คนฟังถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความจงใจให้เห็นว่าเขาไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำ
“เรื่องของคุณผมไม่อยากยุ่ง”
“แค่ช่วยนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้หรือไง เรื่องแค่นี้เอง ทำหัวเสียไปได้”
มาธาวีอดเคืองขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าอีกฝ่ายแล้งน้ำใจกับตัวเองเกินไป ทั้งที่ก็เป็นคนรู้จักกัน แม้จะผิวเผินก็ตาม
เธอเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวที่รักของเขาเลยนะ แถมยังเพิ่งเจอกันเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเอง ตอนนั้นเขาก็พูดกับกัญญานันดีว่า ‘จำเธอได้’ ตอนนี้ขอให้ช่วยเล็กน้อย กลับทำเหมือนคนไม่รู้จัก หรือเธอเป็นตัววุ่นวาย
“ใช่ เรื่องเล็กของเด็กๆ อย่าเอาผมไปเกี่ยวด้วย”
“นี่คุณ มันจะเกินไปแล้วนะ ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว ผู้ชายอะไรเย็นชาชะมัด
“คนอะไร ใจดำชะมัด”
เธอต่อว่าเขากลับอย่างแรงด้วยความอดไม่อยู่ ทำเอาคนได้ยินตาวาววับ
“ถ้าผมใจดำคงไม่ยอมให้คุณลากมาแบบนี้หรอก”
ปัฐวิกรชักหมดความอดทนกับเด็กเอาแต่ใจที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของคนอื่น
“แล้วคุณจะกลับไปทำไม แค่ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนกับฉันหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ผมมีนัด แล้วก็นัดเอาไว้ตรงที่คุณมาเกาะแขนผมด้วย”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเถียงออกไป
“เขายังไม่มาหรอกมั้ง คุณไปกับฉันก่อนไม่ได้เหรอ ฉันกลัวเขาเดินตามมา”
มาธาวียังอ้างความต้องการของตนเอง โดยไม่สนใจแม้แต่จะถามสักนิดว่าธุระของเขาหรือคนที่นัดเอาไว้สำคัญหรือไม่
“ผมไม่...”
“คุณปัฐคะ”
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหนึ่งทำให้ทั้งสองคนหันไปมองแล้วก็เห็นณัฐวรา หรือแน็ต แฟนสาวของปัฐวิกรตรงมาหาพวกเขา
“แน็ต”
ชายหนุ่มเอ่ยทักคนรัก ขณะที่มาธาวีเริ่มหน้าจ๋อย เมื่อพอจะเดาได้ว่าคนที่ชายหนุ่มมารออาจเป็นแฟนของเขา
“อ้าว น้องนี่เอง”
ณัฐวราทักพร้อมสีหน้าแปลกใจ
“นึกว่าคุณปัฐแอบนัดแนะกับสาวที่ไหนไว้เสียอีก”
มาธาวียกมือไหว้หญิงสาวอีกฝ่ายก็รับไหว้พร้อมสีหน้าสังเกตอย่างชัดเจน
“โธ่แน็ต ผมจะไปนัดใคร ก็มีแค่คุณคนเดียว”
ปัฐวิกรเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟังกับแฟนสาวของตน
“ปากหวาน”
สาวสวยขยับมาเกาะแขนคนรักแสดงความเป็นเจ้าของพร้อมส่งยิ้มหวานให้
คนที่อายุน้อยกว่ายิ้มแหย หน้าซีดในทันใด พร้อมแอบคิดว่ายังดีที่หญิงสาวมาเห็นเธอกับพี่ชายเพื่อนตอนนี้ ไม่ใช่ขณะที่เธอใช้เขาอ้างว่าเป็นแฟน หากเป็นอย่างนั้นคงแจ๊กพ็อตน่าดู
“สองเห็นคุณปัฐพอดี ก็เลยทักน่ะค่ะ”
เธอแก้ตัวไป เพราะคิดว่าอย่างไรเสียตนเองก็เป็นคนเข้าหาชายหนุ่มเอง
“น้องพราหมณ์หนุ่มแสนสวยมาเที่ยวที่นี่เหรอคะ”
ณัฐวราแซวกลับอย่างอารมณ์ดี ทำเอามาธาวีก็ถึงกับเขิน รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจำเธอได้ว่ารำอะไรในวันนั้น
“เป็นพราหมณ์หนุ่มจะสวยได้ยังไงแน็ต”
เสียงทุ้มขัดขึ้น แววตากับสีหน้าเรียบสนิท ไม่มีอารมณ์ขำขันสักนิด เห็นชัดว่าเขายังเคืองเธอเพราะเรื่องเมื่อครู่อยู่
“แหม คุณปัฐก็ น้องเขาสวยจริงๆ แน็ตยังยอมเลย”
สาวสวยพูดกับแฟนแล้วหันมามองเธอด้วยสายตาเอ็นดู
“ผมว่าคุณสวยกว่านะ”
มาธาวีจะไม่เคืองเลย ถ้าปัฐวิกรพูดประโยคนี้แล้วมองหน้าแฟนตัวเอง ไม่มองเธอด้วยสายตาเฉยชาอย่างเช่นตอนนี้
“อุ๊ย...ไม่เอา อายน้องเขา”
ณัฐวราออกอาการเขินอย่างชัดเจน
คนอายุน้อยมองคู่รักหวานแหววแล้วแอบกัดปากด้านในของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ถอนหายใจหรือแสดงท่าทางเอียนความรักออกมา
“เอ่อ สองว่า สองขอตัวก่อนดีกว่านะคะ”
เธอคิดว่าได้เวลาที่ตนเองต้องเลี่ยงออกไปแล้ว เพื่อที่ชายหนุ่มหญิงสาวจะได้ใช้เวลาสวีตด้วยกันตามประสาคู่รักที่มาเที่ยวทะเล
“น้องสองพักที่นี่ใช่ไหมคะ ยังไงทานข้าวด้วยกันสักมื้อนะคะ”
“สองยังไม่แน่ใจน่ะค่ะ พอดีสองมาทำงาน แต่ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกก็ยินดีให้พี่แน็ตกับคุณปัฐเลี้ยงค่ะ”
มาธาวีเอ่ยเล่นๆ อย่างไม่ได้จริงจัง รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงเข้าใจดี
“อยู่ในโรงแรมเดียวกัน ยังไงก็น่าจะได้เจอกันนะคะ ถ้าน้องสองยังไม่รีบกลับพรุ่งนี้”
คนอายุน้อยกว่ายิ้มรับ ไม่ได้ตอบเพราะเหลือบมองชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่แล้วตาคมเข้มแสดงออกชัดว่าไม่อยากเจอเธออีก มาธาวีจึงไหว้และกล่าวลาอีกครั้งโดยไม่ได้บอกว่าตนเองกลับเมื่อไร ก่อนจะรีบแยกตัวออกมา
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ