‘ตาถูกชะตาคุณจังเลย อยากลองคบคุณ ได้ไหมคะ’
สาวร่างอิ่มขยับขึ้นไปพูดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่โดยการเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง แล้วเขย่งตัวขึ้น
นี่คือภาพที่มาลินีแอบตามเพื่อนที่ดึงปัฐวิกรออกมาแล้วเห็นเข้า เธอบอกอธิปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนชายหนุ่มมีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดีเขาจึงออกไปคุยด้านหน้า เพราะข้างในค่อนข้างเสียงดัง
แต่ถึงจะดังยังไง พรชิตาก็ไม่เห็นต้องขยับไปพูดใกล้ๆ ชายหนุ่มขนาดนั้น เพราะเธอยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย หญิงสาวค่อนขอดเพื่อนตัวเองในใจ
‘เราเพิ่งเจอกันเองนะครับ’
ปัฐวิกรแย้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักพรชิตาออก คิดว่าเขาคงไม่อยากเสียมารยาท เพราะแขนกำยำแนบข้างลำตัว ไม่โอบหรือกอดอีกฝ่ายแต่อย่างใด
‘นั่นสิคะ ตาถึงได้บอกว่าถูกชะตา’
พรชิตาถอยออกมาเงยหน้ามองชายหนุ่มไม่ห่างนัก ตาคู่สวยพราวหยาดเยิ้ม
‘ผม...’
‘อย่าบอกนะคะ ว่าคุณไม่ถูกใจตา ของแบบนี้ต้องลองก่อนสิคะ ถึงจะรู้’
สาวสวยยิ้มอย่างขี้เล่นขณะพูด
คนแอบฟังอย่างมาลินีได้ยินคำนี้ของเพื่อนยังถึงกับอึ้ง เธอไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะรู้จักนิสัยกันดีอยู่ แต่พรชิตาเพิ่งเจอปัฐวิกรวันนี้เอง อ่อยหนักขนาดนี้หมายความว่าอยากให้เขากลับไปด้วยคืนนี้แน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้มาลินีก็กัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เธอรู้จักก่อนยังไม่เคยแม้แต่จะพูดว่าสนใจเขาเลย เพื่อนเธอมาทีหลังก็ชวนเขานอนเสียแล้ว รู้สึกตัวเองช้าเป็นเต่าคลานยังไงไม่รู้
‘ว่าไงคะ คืนนี้เรา...’
‘ผมมีคนของผมอยู่แล้ว’
พรชิตายังพูดไม่ทันจบปัฐวิกรก็สวนขึ้นมา
‘คะ?’
คำพูดของเขาดูกำกวมจนเธอต้องย้ำ
‘ขอโทษนะครับ’
ชายหนุ่มไม่อธิบาย แต่เขาถอยออกห่างพรชิตา แล้วเดินมาทางเธอ มาลินีจึงรีบหลบผลุบไปทางห้องน้ำหญิง รอให้ทั้งสองคนเดินไปก่อนแล้วจึงตามไปอีกที
สถานการณ์ที่ได้เห็นเพื่อนอ่อยปัฐวิกรทำให้มาลินีวางเฉยใจเย็นเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าคบกับน้องสาวของตน คิดว่าเธอควรจะขอบคุณเขาสักหน่อยเรื่องที่ช่วยมาธาวี เพราะยังไม่ได้พูดเลย หากไม่เอ่ยอะไรก็ไม่ได้ทำคะแนน
“คุณปัฐยังอยู่เชียงใหม่ต่อหรือกลับพรุ่งนี้เลยคะ”
มาลินีถามขึ้นขณะที่ชายหนุ่มกำลังขับรถไปส่งตนกับน้องสาวที่บ้าน
“อยู่ดูงานแทนนายกลางสักสามสี่วันน่ะครับ”
“อ๋อ งั้นดีเลยค่ะ หนึ่งอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณช่วยยายสอง”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ”
มาลินียืนยัน ขณะคนที่ได้รับความช่วยเหลือนั่งเงียบ ไม่เสนอตัวหรือพูดขอบคุณชายหนุ่มแม้แต่คำเดียว
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ยังไงคุณแม่ก็ชวนคุณปัฐเอาไว้แล้ว คุณปัฐไปทานข้าวเย็นที่บ้านสักมื้อนะคะ”
เธอนึกขึ้นมาได้พอดี นับว่าเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย เพราะจะช่วยให้ชายหนุ่มได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเธอมากขึ้นและเธอเองก็จะมีโอกาสใกล้ชิดกับเขาด้วย
“ใช่ไหมยายสอง”
หญิงสาวหันไปหาตัวช่วยเพราะอย่างน้อยมาธาวีก็ควรขอบคุณเขาเช่นกัน
“เอ่อ...”
“เธอต้องขอบคุณคุณปัฐนะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ก็ต้องอยากตอบแทนที่เขาช่วยเธอ”
มาลินีเอาพ่อกับแม่มาอ้างทำให้มาธาวีชักหน้าเสีย
“เรื่องนี้สองว่าอย่าให้คุณพ่อคุณแม่รู้ดีกว่านะคะ”
มาธาวีไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจกับเรื่องเล็กน้อยของเธอ
“เธอจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ หรือไง ศักดิ์ชายน่าจะโดนตักเตือนบ้าง ถ้าคุณพ่อรู้ต้องคุยกับท่านผู้ว่าแน่”
“สองไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่สบายใจเปล่าๆ”
คนเป็นพี่กำลังจะโต้กลับแต่ชายหนุ่มพูดขึ้นมาเสียก่อน เพราะรู้สึกได้ว่าทั้งสองพี่น้องคงไม่มีใครยอมกัน
“เอาเป็นว่าผมจะไปทานข้าวที่บ้านตามที่แม่เลี้ยงกับคุณหนึ่งเชิญก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องสองผมว่าอย่าให้พวกท่านรู้เลยครับ เพราะอาจจะเป็นห่วงยิ่งขึ้นมากกว่า”
เมื่อเขาตัดสินใจ โดยทำตามความต้องการของทั้งคู่มาลินีจึงยิ้มหวาน ขอแค่ปัฐวิกรไปที่บ้านตามคำชวนเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร
มาธาวีถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจะไม่ถึงหูพ่อกับแม่ของตน แม้จะสะดุดใจกับคำเรียกเธอของชายหนุ่มแต่ก็ปล่อยผ่านไป
รถเลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้สไตล์เหนือหลังใหญ่ที่มีพื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง เพราะเขาขับรถเข้ามาค่อนข้างไกลหลังผ่านประตูมากว่าจะถึงตัวบ้าน
ทั้งสองสาวกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะลงจากรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตามลงมาด้วยเพราะไม่อยากขับออกไปโดยไม่ลงจากรถ ด้วยค่อนข้างเสียมารยาท
“คุณปัฐจำทางกลับได้ใช่ไหมคะ”
มาลินีถามขึ้นหลังจากสองสาวเดินมายังฝั่งที่เขายืนอยู่เพราะเป็นส่วนหน้าบ้าน
“ครับ”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
คนเป็นพี่สาวบอกเขาพร้อมยิ้มหวานให้ ทว่าน้องสาวกลับมองเฉยๆ ปัฐวิกรจ้องเจ้าของร่างอรชรด้วยความขัดใจที่อีกฝ่ายดูไม่ใส่ใจเขาเท่าไรทั้งที่เขาช่วยเธอ คำขอบคุณมาธาวีก็ยังเอ่ยไม่สักคำ
“สองจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ชายหนุ่มถามขึ้นทำเอามาธาวีมีสีหน้างุนงง ขณะที่มาลินีมองเขาอย่างแปลกใจ
“อะไรล่ะคะ?”
มาธาวีถามกลับเพราะไม่เข้าใจคำถามของเขา
“มานี่สิ”
คนถูกเรียกยังยืนนิ่งไม่ขยับ พร้อมกับเริ่มมองชายหนุ่มด้วยสายตาระมัดระวัง มาลินีเห็นน้องสาวทำท่าทางเหมือนไม่ไว้ใจปัฐวิกรก็หงุดหงิดจึงพูดออกมา
“นี่ยายสอง ดูมองคุณปัฐเข้าสิเด็กคนนี้ เธอต้องขอบคุณเขานะ ไม่ใช่มามองเขาแบบนี้”
หลังจากดุน้องสาวด้วยท่าทางของคนที่โตและมีวุฒิภาวะกว่าแล้วมาลินีก็หันไปยิ้มให้ปัฐวิกรและออกตัวแทน อยากให้ชายหนุ่มเห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง
“ยังไงหนึ่งต้องขอบคุณคุณปัฐแทนยายสองด้วยนะคะ ที่ช่วยยายสอง ถึงกับบอกว่าเป็นคู่หมั้นแน่ะ”
ท้ายประโยคพูดออกมาขำๆ เห็นว่าเป็นเรื่องตลก เพราะแค่อ้างว่าเป็นแฟนก็น่าจะพอแล้ว
ปัฐวิกรหันมาทางคนพูด ใบหน้าขาวคมเรียบสนิท แววตาคมล้ำลึกฉายแววบางอย่างที่คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ หากก็ยังยิ้มสู้
“อายุอย่างผมพูดว่าคู่หมั้นน่าเชื่อถือกว่าครับ”
ชายหนุ่มยังอ้างเหมือนเดิม นั่นทำให้มาธาวีแอบเบะปาก
“ถึงจะแค่เป็นแฟนกันก็เถอะ”
คนที่เบะปากชะงัก ฉุกคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วหันไปมองเขาพร้อมกับคิดว่าเธอฟังหรือตีความผิดไปหรือเปล่า
ขณะที่มาลินีค่อยๆ หุบยิ้มลง คิ้วเรียวสวยขมวดฉับ แล้วเอ่ยถามออกไปตามตรงเพราะเธอเป็นคนไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคาใจ
“คุณปัฐพูดว่ายังไงนะคะ”
“พูดว่า...ผมกับสองเป็นแฟนกันครับ”
ชายหนุ่มย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“พูดอะไรของคุณ”
มาธาวีโพล่งออกมา ทว่าพอตาคมตวัดมาทางเธอและจ้องนิ่งหญิงสาวกลับพูดไม่ออก แม้ใบหน้าขาวคมเรียบเฉยแต่แววตาเขาสั่งให้เธอเงียบ
=====
มาธาวีให้อธิปมารับตนเองเพราะเขายังไม่เคยไปบ้านของเธอ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อยืนส่งนักเรียนกลับบ้านอยู่หน้าโรงเรียนแล้วเห็นรถของกิตติกรมาจอด ซึ่งปัฐวิกรใช้รถของน้องชายเขา หญิงสาวหน้าซีดทันที ขณะที่กัญญานันทักพี่ชายเสียงใส“พี่ปัฐ”ร่างสูงใหญ่ของปัฐวิกรเข้ามากอดน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ส่วนมาธาวีก็จำต้องยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะกระซิบบอกว่าไปรอข้างในเพราะน้องสาวกับเพื่อนยังส่งนักเรียนอยู่กับพนักงานต้อนรับรอไม่นานสองสาวก็กลับเข้ามาด้านในเพราะเหลือนักเรียนคนเดียวพนักงานสามารถดูแลได้ ส่งนักเรียนเรียบร้อยอีกฝ่ายก็กลับบ้านได้เลย“มารับสองไปบ้านเหรอคะ”กัญญานันเอ่ยถามพี่ชายทันที เธอรู้ว่าวันนี้พี่ชายจะไปบ้านเพื่อนตามคำชวนของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเพราะเขาเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ชายหนุ่มมาก็ทำงานที่คั่งค้างของกิตติกรเพิ่งจะมาหาเธอก็วันนี้“ครับ”มาธาวีกัดริมฝีปากล่างด้วยความลำบากใจ เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังก็เห็นว่าเวลานี้อธิปเองก็คงเลิกงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มออกมาหรือยัง“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้นะคะ”เธอพูดขึ้นพยายามจะเลี่ยงออกไปเพื่อโทรหาอธิป“ไม่เป็นไร ผมเอามาแล้วนี่ไง”ตาคู่กลมโตเหล
เป็นเช้าที่มาธาวีตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย ทั้งที่บ้านเธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ปกติมานอนที่บ้านเมื่อไรหญิงสาวจะลุกขึ้นไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นหน้าระเบียงห้องนอนตอนเช้า ทว่าวันนี้แม้แสงแดดส่องผ่านกระจกที่ผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้เจ้าของร่างอรชรก็ไม่มีอารมณ์จะลุกขึ้นแต่อย่างใด ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในมือถือจึงหยิบขึ้นมาดู‘พี่ปัฐบอกให้ส่งเบอร์เขาให้สองน่ะ แล้วเขาก็ขอเบอร์สองไปด้วย เห็นว่ารับปากพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเอาไว้ตอนท่านชวนไปทานข้าวที่บ้าน เลยขอเบอร์สอง’เห็นข้อความของกัญญานันแล้วก็ได้แต่ทิ้งมือถือลงอย่างอ่อนแรง ไม่นึกอยากให้ปัฐวิกรมาที่บ้านของเธอเลยสักนิด สังหรณ์ในใจบอกเธอว่าเรื่องราวคู่หมั้นจอมปลอมจะไม่จบลงแค่ที่พี่สาวของเธอแม้แทบไม่อยากลุกจากเตียงนอนไปเผชิญหน้ากับมาลินีในเวลาอาหารเช้า แต่มาธาวีก็ต้องขยับตัวเพราะไม่อยากทำตัวให้ผิดปกติจนอีกฝ่ายหาเรื่องค่อนขอดได้อีก จึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจร่างโปร่งระหงในชุดข้าราชการเรียบร้อยเดินลงจากบันไดไปก่อน มาธาวีที่ก้าวออกมาเห็นอีกฝ่ายหยุดกึกรอให้
‘จะเอาให้ครางเอาอีกๆ ไม่หยุดเลย คอยดูสิ’‘ไอ้บ้าเอ๊ย!’มาธาวีตะโกนด่าเสียงดังอย่างรังเกียจสุดจิตสุดใจ ทั้งยังวาดมือใส่หน้าที่ซุกไซ้แก้มกับลำคอไม่หยุดสุดกำลังเท่าที่มือจะใช้แรงได้‘โอ๊ะ...’ได้ยินเสียงเข้มดังก่อนชายหนุ่มจะเข่นเขี้ยว‘ตบเหรอหา!’เพี้ยะ!!แรงกระทบหน้าหนักหน่วงทำเอามาธาวีถึงกับชาไปทั้งข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงความเจ็บจี๊ดตรงมุมปาก เธอชะงักไปอึดใจหนึ่งเลยเดียว‘ไง หมดฤทธิ์แล้วสินะ’น้ำเสียงเยาะหยันอย่างพอใจก่อนคุณากรจะถอยออกไปถอดเสื้อของตัวเอง คงเพราะเห็นว่าเธอไม่กล้าแผลงฤทธิ์แล้ว นั่นทำให้มาธาวีรีบปัดป่ายมือควานหาของใกล้มือตรงโต๊ะหัวเตียงแล้วก็เจอไอแพดกับมือถือของตัวเอง เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงหยิบมือถือปาใส่อีกฝ่าย‘โอ๊ย!’คุณากรสะดุ้ง มาธาวีรีบถอยกรูดให้ห่างอีกฝ่ายมากที่สุดทั้งยังถีบเขาไม่ยั้ง มือหนาคว้าขาเธอเอาไว้ คราวนี้หญิงสาวจึงเอาไอแพดปาใส่ซ้ำไปอีก‘โธ้เว้ย!’อีกฝ่ายสบถเสียงดังอย่างหงุดหงิด ขณะที่ร่างอรชรรีบเผ่นลงจากเตียงวิ่งไปยังประตูห้องด้วยความรวดเร็ว ร่างสูงกำยำก้าวตามมา ทว่าเธอก็เปิดประตูได้พอดี กำลังจะพุ่งตัวออกไปอีกฝ่ายก็ดึงกลับมา แต่เธอทันได้สบตากับคนที่อยู่ห้
น้ำร้อนๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคู่กลมโต ความอึดอัดขัดใจแน่นอยู่ในอก มาธาวีรู้ว่าที่พี่สาวโวยวายเพราะกำลังเจ็บ ไม่ใช่เจ็บเพราะโกรธ แต่เจ็บที่โดนน้องอย่างเธอหักหลังมาลินีเป็นคนขี้บ่นจู้จี้จุกจิกอยู่แล้ว เธอโดนตำหนิบ่อยจนเคยชินแต่รู้ว่าที่พี่สาวมักจะเคือง ไม่พอใจ หรือบ่นเธอก็เพราะหวังดี พอมารู้ว่าถูกหลอกเรื่องผู้ชายก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะปรี๊ดขึ้นมาเธอรู้ว่าพี่สาวเสียใจกับความแห้วของตัวเองมาตั้งแต่ครั้งเปรมินทร์แล้ว แถมยังมีกิตติกรอีก แต่เพราะเป็นคนสวย เริด เชิด การศึกษาหน้าที่การงานดี มาลินีจึงมั่นใจในตัวเองว่าต้องมีคนที่ดีเหมาะสมเข้ามาในชีวิต การได้เจอปัฐวิกรในเวลาใกล้เคียงกับที่ต้องถอยห่างจากกิตติกร มาธาวีจึงไม่แปลกใจว่าหนุ่มมาดเนี้ยบหล่อโปรไฟล์หรูย่อมต้องเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่สาวเธออย่างไม่ต้องสงสัยอีกฝ่ายหมายมั่นปั้นมือกับปัฐวิกรพอสมควร เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักเพราะชายหนุ่มไม่ได้อยู่เชียงใหม่เท่านั้น นั่นทำให้คนเป็นน้องสะเทือนใจเมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อสั่นเครือของพี่สาว จนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยออกไปโดยไม่ได้หันไปมองด้วยไม่อาจฝืนทนเห็นอีกฝ่ายเสียใจได้ ทว่าน้ำเสียงก็เจือความสั่นไม่แพ้
“นี่หมายความว่า...”มาลินีพึมพำเสียงเบา แววตาและสีหน้ามองเขาอย่างว่างเปล่า“ใช่ครับ ผมกับสองคบกัน”ปัฐวิกรยืนยันซ้ำอีก เขาไม่อยากให้ความหวังกับมาลินีเพราะดูออกว่าหญิงสาวสนใจเขาเหมือนกับเพื่อนของเธอ“หนึ่งไม่เห็นรู้เลย”เธอถามออกไปอย่างอ่อนล้าราวกับคนพ่ายแพ้ หากน้องสาวตนเองเป็นคนพูด เธอยังเชื่อน้อยกว่าผู้ชายตรงหน้า เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาต้องโกหกเธอ แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเธอไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ช่วงที่ชายหนุ่มมาในตอนมีปัญหาของกิตติกรครั้งก่อน น้องสาวของเธอกับปัฐวิกรก็แทบจะไม่คุยกันเลยแล้วทั้งสองคนไปคบหากันตอนไหน“ตั้งแต่สองไปงานแต่งนายกลางเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ ครับ ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันก็เถอะ สองเขายังไม่กล้าจริงจัง ก็เลยยังไม่ได้บอกใคร แต่ผมจริงจังเพราะอายุมากแล้ว”คำพูดของปัฐวิกรดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่มาธาวีเองก็คงหลงเชื่อไปด้วย หากคนที่เขาเอามาอ้างไม่ใช่เธอเอง“เหรอคะ”มาลินีเหมือนจะถามแต่กลับพยักหน้าเบาๆ ราวกับยอมรับส่วนปัฐวิกรเหลือบไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งเงียบ แต่แววตาคู่กลมโตกลับมองเขาอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากได้รูปสวยยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเจ้าของร่างอรชรแบบบาง“อย่าม
‘ตาถูกชะตาคุณจังเลย อยากลองคบคุณ ได้ไหมคะ’สาวร่างอิ่มขยับขึ้นไปพูดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่โดยการเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง แล้วเขย่งตัวขึ้นนี่คือภาพที่มาลินีแอบตามเพื่อนที่ดึงปัฐวิกรออกมาแล้วเห็นเข้า เธอบอกอธิปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนชายหนุ่มมีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดีเขาจึงออกไปคุยด้านหน้า เพราะข้างในค่อนข้างเสียงดังแต่ถึงจะดังยังไง พรชิตาก็ไม่เห็นต้องขยับไปพูดใกล้ๆ ชายหนุ่มขนาดนั้น เพราะเธอยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย หญิงสาวค่อนขอดเพื่อนตัวเองในใจ‘เราเพิ่งเจอกันเองนะครับ’ปัฐวิกรแย้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักพรชิตาออก คิดว่าเขาคงไม่อยากเสียมารยาท เพราะแขนกำยำแนบข้างลำตัว ไม่โอบหรือกอดอีกฝ่ายแต่อย่างใด‘นั่นสิคะ ตาถึงได้บอกว่าถูกชะตา’พรชิตาถอยออกมาเงยหน้ามองชายหนุ่มไม่ห่างนัก ตาคู่สวยพราวหยาดเยิ้ม‘ผม...’‘อย่าบอกนะคะ ว่าคุณไม่ถูกใจตา ของแบบนี้ต้องลองก่อนสิคะ ถึงจะรู้’สาวสวยยิ้มอย่างขี้เล่นขณะพูดคนแอบฟังอย่างมาลินีได้ยินคำนี้ของเพื่อนยังถึงกับอึ้ง เธอไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะรู้จักนิสัยกันดีอยู่ แต่พรชิตาเพิ่งเจอปัฐวิกรวันนี้เอง อ่อยหนักขนาดนี้หมายความว่าอยากให้เขากลับไปด้วยคืนนี้แน่ๆคิดมาถึงตรงนี้มาลินีก