‘ตาถูกชะตาคุณจังเลย อยากลองคบคุณ ได้ไหมคะ’
สาวร่างอิ่มขยับขึ้นไปพูดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่โดยการเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง แล้วเขย่งตัวขึ้น
นี่คือภาพที่มาลินีแอบตามเพื่อนที่ดึงปัฐวิกรออกมาแล้วเห็นเข้า เธอบอกอธิปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนชายหนุ่มมีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดีเขาจึงออกไปคุยด้านหน้า เพราะข้างในค่อนข้างเสียงดัง
แต่ถึงจะดังยังไง พรชิตาก็ไม่เห็นต้องขยับไปพูดใกล้ๆ ชายหนุ่มขนาดนั้น เพราะเธอยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย หญิงสาวค่อนขอดเพื่อนตัวเองในใจ
‘เราเพิ่งเจอกันเองนะครับ’
ปัฐวิกรแย้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักพรชิตาออก คิดว่าเขาคงไม่อยากเสียมารยาท เพราะแขนกำยำแนบข้างลำตัว ไม่โอบหรือกอดอีกฝ่ายแต่อย่างใด
‘นั่นสิคะ ตาถึงได้บอกว่าถูกชะตา’
พรชิตาถอยออกมาเงยหน้ามองชายหนุ่มไม่ห่างนัก ตาคู่สวยพราวหยาดเยิ้ม
‘ผม...’
‘อย่าบอกนะคะ ว่าคุณไม่ถูกใจตา ของแบบนี้ต้องลองก่อนสิคะ ถึงจะรู้’
สาวสวยยิ้มอย่างขี้เล่นขณะพูด
คนแอบฟังอย่างมาลินีได้ยินคำนี้ของเพื่อนยังถึงกับอึ้ง เธอไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะรู้จักนิสัยกันดีอยู่ แต่พรชิตาเพิ่งเจอปัฐวิกรวันนี้เอง อ่อยหนักขนาดนี้หมายความว่าอยากให้เขากลับไปด้วยคืนนี้แน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้มาลินีก็กัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เธอรู้จักก่อนยังไม่เคยแม้แต่จะพูดว่าสนใจเขาเลย เพื่อนเธอมาทีหลังก็ชวนเขานอนเสียแล้ว รู้สึกตัวเองช้าเป็นเต่าคลานยังไงไม่รู้
‘ว่าไงคะ คืนนี้เรา...’
‘ผมมีคนของผมอยู่แล้ว’
พรชิตายังพูดไม่ทันจบปัฐวิกรก็สวนขึ้นมา
‘คะ?’
คำพูดของเขาดูกำกวมจนเธอต้องย้ำ
‘ขอโทษนะครับ’
ชายหนุ่มไม่อธิบาย แต่เขาถอยออกห่างพรชิตา แล้วเดินมาทางเธอ มาลินีจึงรีบหลบผลุบไปทางห้องน้ำหญิง รอให้ทั้งสองคนเดินไปก่อนแล้วจึงตามไปอีกที
สถานการณ์ที่ได้เห็นเพื่อนอ่อยปัฐวิกรทำให้มาลินีวางเฉยใจเย็นเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าคบกับน้องสาวของตน คิดว่าเธอควรจะขอบคุณเขาสักหน่อยเรื่องที่ช่วยมาธาวี เพราะยังไม่ได้พูดเลย หากไม่เอ่ยอะไรก็ไม่ได้ทำคะแนน
“คุณปัฐยังอยู่เชียงใหม่ต่อหรือกลับพรุ่งนี้เลยคะ”
มาลินีถามขึ้นขณะที่ชายหนุ่มกำลังขับรถไปส่งตนกับน้องสาวที่บ้าน
“อยู่ดูงานแทนนายกลางสักสามสี่วันน่ะครับ”
“อ๋อ งั้นดีเลยค่ะ หนึ่งอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณช่วยยายสอง”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ”
มาลินียืนยัน ขณะคนที่ได้รับความช่วยเหลือนั่งเงียบ ไม่เสนอตัวหรือพูดขอบคุณชายหนุ่มแม้แต่คำเดียว
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ยังไงคุณแม่ก็ชวนคุณปัฐเอาไว้แล้ว คุณปัฐไปทานข้าวเย็นที่บ้านสักมื้อนะคะ”
เธอนึกขึ้นมาได้พอดี นับว่าเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย เพราะจะช่วยให้ชายหนุ่มได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเธอมากขึ้นและเธอเองก็จะมีโอกาสใกล้ชิดกับเขาด้วย
“ใช่ไหมยายสอง”
หญิงสาวหันไปหาตัวช่วยเพราะอย่างน้อยมาธาวีก็ควรขอบคุณเขาเช่นกัน
“เอ่อ...”
“เธอต้องขอบคุณคุณปัฐนะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ก็ต้องอยากตอบแทนที่เขาช่วยเธอ”
มาลินีเอาพ่อกับแม่มาอ้างทำให้มาธาวีชักหน้าเสีย
“เรื่องนี้สองว่าอย่าให้คุณพ่อคุณแม่รู้ดีกว่านะคะ”
มาธาวีไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจกับเรื่องเล็กน้อยของเธอ
“เธอจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ หรือไง ศักดิ์ชายน่าจะโดนตักเตือนบ้าง ถ้าคุณพ่อรู้ต้องคุยกับท่านผู้ว่าแน่”
“สองไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่สบายใจเปล่าๆ”
คนเป็นพี่กำลังจะโต้กลับแต่ชายหนุ่มพูดขึ้นมาเสียก่อน เพราะรู้สึกได้ว่าทั้งสองพี่น้องคงไม่มีใครยอมกัน
“เอาเป็นว่าผมจะไปทานข้าวที่บ้านตามที่แม่เลี้ยงกับคุณหนึ่งเชิญก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องสองผมว่าอย่าให้พวกท่านรู้เลยครับ เพราะอาจจะเป็นห่วงยิ่งขึ้นมากกว่า”
เมื่อเขาตัดสินใจ โดยทำตามความต้องการของทั้งคู่มาลินีจึงยิ้มหวาน ขอแค่ปัฐวิกรไปที่บ้านตามคำชวนเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร
มาธาวีถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจะไม่ถึงหูพ่อกับแม่ของตน แม้จะสะดุดใจกับคำเรียกเธอของชายหนุ่มแต่ก็ปล่อยผ่านไป
รถเลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้สไตล์เหนือหลังใหญ่ที่มีพื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง เพราะเขาขับรถเข้ามาค่อนข้างไกลหลังผ่านประตูมากว่าจะถึงตัวบ้าน
ทั้งสองสาวกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะลงจากรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตามลงมาด้วยเพราะไม่อยากขับออกไปโดยไม่ลงจากรถ ด้วยค่อนข้างเสียมารยาท
“คุณปัฐจำทางกลับได้ใช่ไหมคะ”
มาลินีถามขึ้นหลังจากสองสาวเดินมายังฝั่งที่เขายืนอยู่เพราะเป็นส่วนหน้าบ้าน
“ครับ”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
คนเป็นพี่สาวบอกเขาพร้อมยิ้มหวานให้ ทว่าน้องสาวกลับมองเฉยๆ ปัฐวิกรจ้องเจ้าของร่างอรชรด้วยความขัดใจที่อีกฝ่ายดูไม่ใส่ใจเขาเท่าไรทั้งที่เขาช่วยเธอ คำขอบคุณมาธาวีก็ยังเอ่ยไม่สักคำ
“สองจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ชายหนุ่มถามขึ้นทำเอามาธาวีมีสีหน้างุนงง ขณะที่มาลินีมองเขาอย่างแปลกใจ
“อะไรล่ะคะ?”
มาธาวีถามกลับเพราะไม่เข้าใจคำถามของเขา
“มานี่สิ”
คนถูกเรียกยังยืนนิ่งไม่ขยับ พร้อมกับเริ่มมองชายหนุ่มด้วยสายตาระมัดระวัง มาลินีเห็นน้องสาวทำท่าทางเหมือนไม่ไว้ใจปัฐวิกรก็หงุดหงิดจึงพูดออกมา
“นี่ยายสอง ดูมองคุณปัฐเข้าสิเด็กคนนี้ เธอต้องขอบคุณเขานะ ไม่ใช่มามองเขาแบบนี้”
หลังจากดุน้องสาวด้วยท่าทางของคนที่โตและมีวุฒิภาวะกว่าแล้วมาลินีก็หันไปยิ้มให้ปัฐวิกรและออกตัวแทน อยากให้ชายหนุ่มเห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง
“ยังไงหนึ่งต้องขอบคุณคุณปัฐแทนยายสองด้วยนะคะ ที่ช่วยยายสอง ถึงกับบอกว่าเป็นคู่หมั้นแน่ะ”
ท้ายประโยคพูดออกมาขำๆ เห็นว่าเป็นเรื่องตลก เพราะแค่อ้างว่าเป็นแฟนก็น่าจะพอแล้ว
ปัฐวิกรหันมาทางคนพูด ใบหน้าขาวคมเรียบสนิท แววตาคมล้ำลึกฉายแววบางอย่างที่คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ หากก็ยังยิ้มสู้
“อายุอย่างผมพูดว่าคู่หมั้นน่าเชื่อถือกว่าครับ”
ชายหนุ่มยังอ้างเหมือนเดิม นั่นทำให้มาธาวีแอบเบะปาก
“ถึงจะแค่เป็นแฟนกันก็เถอะ”
คนที่เบะปากชะงัก ฉุกคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วหันไปมองเขาพร้อมกับคิดว่าเธอฟังหรือตีความผิดไปหรือเปล่า
ขณะที่มาลินีค่อยๆ หุบยิ้มลง คิ้วเรียวสวยขมวดฉับ แล้วเอ่ยถามออกไปตามตรงเพราะเธอเป็นคนไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคาใจ
“คุณปัฐพูดว่ายังไงนะคะ”
“พูดว่า...ผมกับสองเป็นแฟนกันครับ”
ชายหนุ่มย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“พูดอะไรของคุณ”
มาธาวีโพล่งออกมา ทว่าพอตาคมตวัดมาทางเธอและจ้องนิ่งหญิงสาวกลับพูดไม่ออก แม้ใบหน้าขาวคมเรียบเฉยแต่แววตาเขาสั่งให้เธอเงียบ
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ