เข้าสู่ระบบ1 คนที่ต้องสาป
สมัยอยุธยาตอนปลาย
ณ เรือนหลวงพิริยเดช ศรีสงคราม
“ข้าไม่อาจถอนคำสาปนี้ได้”
โหรหลวงชายชราผมยาวขาวโพลนมัดรวบขมวดเป็นปมด้านหลัง สวมชุดโจงกระเบนสีเข้มตัวเสื้อแขนขาวสีขาว กล่าวเสียงหนักติดแหบพร่า เขามองคู่สนทนาด้วยแววตาเห็นใจระคนสงสาร
หลวงพิริยเดช ศรีสงคราม เป็นถึงขุนนางกรมคลังมากบารมี รูปร่างสันทัด ใบหน้าเหลี่ยมแกร่งทว่าเปล่งประกายขาวผ่อง เว้นเสียแต่ดวงตามืดมนดำคล้ำ
“ท่าน ท่านหมายความว่ากระไร”
หลวงพิริยเดชเสียงสั่นเครือ ไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปทางภรรยาคู่บุญ คุณหญิงจันทร์ฉาย ซึ่งนั่งเยื้องห่างออกไปเล็กน้อย ระหว่างคิ้วขมวดตึงเครียดเพ่งมองโหรหลวง ผู้ซึ่งเขาให้คนไปตามมายามค่อนดึก
ในเวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของราตรีกาล แว่วเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมมาจากผืนป่าข้างเรือน บ่าวไพร่ในเรือนเองล้วนยังไม่หลับนอน นั่งรอ ยืนรอด้านล่าง หวาดหวั่นไปด้วยอย่างร้อนใจ
“คำสาป... มีมาช้านานยังครั้งสุโฆฑยะ ท่านแจ้งแก่ใจว่าคาถา อาคมผิดแผกแลแก่กล้ายิ่ง”
“ทว่า...กาลล่วงเลยหลายร้อยปี อาคมควรเสื่อมถอยลง มิใช่หรือ?” หลวงพิริยเดชพูดด้วยน้ำเสียงมีความหวัง “จากบันทึกที่ข้าเจอ มิได้กล่าวสิ่งใดนอกจากเล่าถึงเหตุการณ์คำสาปแช่งของขุนสิงหไกร”
“หลวงพิริยเดช บอกตรง ๆ ข้าตรวจดูดวงชะตาแล้ว ยามนี้คือยามที่อาคมแกร่งกล้าที่สุด”
“เหตุใดกัน” คุณหญิงจันทร์ฉายถามแทรก ใบหน้าเครียดกังวลใจ
“ที่ผ่านมาอาคมนี้ ทำลายตระกูลท่านได้เพียงผิวเผินเท่านั้น”
โหรหลวงเว้นช่วงหายใจยกน้ำขึ้นจิบ สองสามีภรรยานั่งตัวเกร็งรอคอยด้วยใจระทึก
“นั่นเพราะบุญบารมีที่ตระกูลสั่งสมมา ทำความดีแก่เจ้าอยู่หัวจนรัศมีพระคุณท่านปกคลุมเผื่อแผ่ลงมา พวกท่านจึงได้อยู่รอดถึงทุกวันนี้ ทว่า”
“ทว่า! ทว่ากระไรท่านโหร” คุณหญิงจันทร์ฉายผุดลุกคุกเข่าคลานเข้ามาใกล้
“วันอังคาร แรมสิบห้าค่ำ คืนเดือนดับปีขาล ธรรมดาแล้วคนที่เกิดวันนี้อัปมงคล นำเคราะห์กรรมมาสู่วงศ์ตระกูลนับว่าแย่แล้ว แต่พวกท่านดันเป็นลูกแฝด สองดวงชะตาแข็งกร้าว เร่งให้อาคมของขุนสิงหไกรแก่กล้าขึ้นอีกหลายเท่าตัว”
“แฝด!!” หลวงพิริยเดชอุทานตกใจ “ท่านรู้ได้เยี่ยงใดกัน ข้าและบ่าวไพร่ในเรือนมิเคยแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้”
ตึง! ท่านโหรกระแทกเท้าลงพื้นเสียงดัง ใบหน้าทมึงถึง
“ท่านเห็นข้าโง่หรือไรท่านหลวง ข้าเป็นถึงโหรประจำราชสำนัก จับยามดูชั่วครู่ย่อมรู้แจ้ง”
“ขอท่านโหรอย่าได้โกรธเคือง พวกข้าเพียงแค่แปลกใจ” คุณหญิงจันทร์ฉายรีบเอ่ยขึ้น คลานเข้าไปใกล้กระซิบเบา ๆ “ขอท่านจงบอกหนทาง พวกข้าย่อมช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ว่าเงินทองหรือแม้แต่บ่าวไพร่”
จันทร์ฉายชำเลืองสายตาไปทางบ่าวเด็กสาวในเรือน หน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้านผุดผ่องผิดไปจากบ่าวทั่วไป ด้วยรู้ดีว่าท่านโหรหลวงชราผู้นี้ชื่นชอบเป็นพิเศษ
โหรหลวงปรายตามองตามคุณหญิงแล้วชะงักงัน ลมหายใจหอบถี่ฉับพลัน พยักหน้าเชื่องช้า “มีทางแก้”
น้ำเสียงชราพร่าลงอีกก่อนจะหันกลับมาทางหลวงพิริยเดช ทอดถอนใจหนักอก กล่าวอย่างช้า ๆ เน้นเสียงหนักให้คนทั้งคู่เข้าใจ
"หากมิอาจทำลายคำสาป จำต้อง 'เปลี่ยนผู้รับมัน' ไปยังบุรุษที่มีอาคมแข็งแกร่ง พวกท่านเข้าใจหรือไม่ คนที่จะรับคำสาปนั้นไว้ได้..."
“คนที่จะรับคำสาป...” หลวงพิริยเดชพึมพำสบตาภรรยา
“คนที่ดวงแข็ง คนที่ดวงชะตาแข็งกร้าว คนที่คำสาปตกอยู่กับผู้นั้นแล้วจักไม่อาจทำอันตรายผู้ใดได้อีก ผู้นั้นคือ...จอมเวทย์แห่งอโยธยา ขุนอัครเดช”
“ขุนอัครเดช...”
“ให้ธิดาคนที่ต้องสาปร่วมหลับนอน ย้ายมนตร์ดำมาสิงสู่ขุนอัครเดช เช่นนั้นจึงจักมลายหายไป”
คุณหญิงจันทร์ฉายสะดุ้งสุดตัวยกมือทาบอก ใบหน้าร้อนรน ริมฝีปากสั่นเทา เปล่งเสียงเบาเกือบไม่เป็นคำ
“ม่ะ ไม่ ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ”
“คุณหญิง” โหรหลวงหันไปทางคุณหญิง “ขุนอัครเดชมนตร์คาถาแกร่งกล้า ย้ายคำสาปถอนอาคมจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดไม่ใช้บ่าวไพร่ เหตุใดต้องร่วมหลับนอน ท่านพี่ ข้าไม่ยอม”
“น้องหญิง... ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด”
“หากกระทำเช่นนั้นได้ บรรพบุรุษพวกท่านคงทำไปแล้ว อาคมนี้แก่กล้าเกินไป คงเป็นขุนอัครเดชเท่านั้นจึงดวงชะตาแข็งพอ”
“ขุนอัครเดชแม้นว่าอาคมแก่กล้า ซ้ำต้นตระกูลรั้งตำแหน่งนี้ร่วมเป็นร้อยปี ทว่าตัวเขานั้นเป็นคนหยิ่งยโสจองหอง มิสุงสิงผู้ใด ซ้ำดุดันยิ่งนัก เรื่องภายในเรือนมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าออกเรือนมีภรรยา เมียเก็บแล้วหรือไม่”
“ท่านหลวง ขอจงอย่าตื่นตระหนก ท่านควรนำความนี้ไปปรึกษายังขุนอัครเดชโดยเร็ววัน อย่าปล่อยให้โมงยามล่วงเลย ยิ่งนานเท่าใด อาคมแรงอาฆาตยิ่งโหมแรง ใกล้เดือนดับอีกคราแล้ว”
“แล้วผู้ใดกัน ลูกข้าคนใดที่ต้องคำสาป”
“จากที่ข้าดูวันตกฟาก เห็นว่า...แฝดคนพี่ ตกยามเร็วกว่าส่งผลให้ไม่พ้นช่วงราหูอมจันททร์”
จันทร์ฉายแทบสิ้นสติเป็นล้มแดดิ้นเสียตรงนั้น ดารานีผู้พี่คือบุตรสาวที่เธอรักยิ่งกว่าดวงใจ หมายใจตั้งมั่นแล้วว่าให้ตกให้แต่งเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงทะนุมถนอมฟูกฟักไม่เคยให้ลงจากเรือน ขับกลอน ร้องรำ ดนตรีล้วนแตกฉาน แล้วคนเป็นแม่จะหักใจได้เยี่ยงไรกันที่จะส่งลูกสาวไปร่วมหลับนอนกับชายผู้ซึ่งมิใช่สามี
“พวกท่านสองคนคิดดูให้ถ้วนถี่ นี่ดึกมากแล้ว เราเห็นต้องขอตัว”
“ไอ้หมาย!!” หลวงพิริยเดชตะโกนเสียงสั่นเรียกหัวหน้าบ่าว
“ขอรับหลวงท่าน”
“ให้คนไปส่งท่านโหรหลวง”
“ขอรับ”
ไอ้หมายหัวหน้าบ่าววัยหกสิบ ทำงานรับใช้มาตั้งแต่รุ่นบิดาท่านหลวง กระวีกระวาดลงจากเรือนไปก่อนรอท่า
“ข้าขอขอบใจท่านโหรหลวงยิ่งนักที่มีน้ำใจมาช่วยดูแม้ว่าจะค่อนดึกมากแล้ว”
“มิเป็นไรดอกหลวงพิริยเดช เราเป็นสหายกันมาช้านาน เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือ”
“สินน้ำใจเจ้าค่ะท่านโหร” จันทร์ฉายหยิบถุงเงินยื่นให้ ชั่งน้ำหนักแล้วมากโขอยู่ “วันพรุ่งข้าจะให้คนที่เรือนพาบ่าวไปส่งให้นะเจ้าคะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอบใจแม่จันทร์ฉายมาก” โหรหลวงยังปรายตามองบ่าวรับใช้ขณะที่เดินลงเรือนดวงตาแพรวพราวต้องใจยิ่ง
สองสามีภรรยาตัวสะท้านยามนึกถึงคืนไร้จันทร์ที่ใกล้เข้ามาทุกที แม้ว่ายามนี้ยังไม่ถึงวันพิฆาต ภายในเรือนกลับร้อนรุ่ม มีเรื่องสุมเข้ามามิได้ขาด บ่าวไพร่ล้มป่วยทยอยตายจากเดือนละคนสองคน
“น้องหญิง เราต้องเร่งตัดสินใจ”
“คุณพี่ แต่แม่ดารานี...น้องไม่อยากให้เป็นดารานี”
“น้องหญิง พี่เองก็หนักใจมิใช่น้อย แม้นว่าเราส่งดารากาแฝดน้องไปทำบุญปฏิบัติธรรมมิได้ขาด เพื่อลดทอนคาถาอาคม ทว่ามิสำเร็จ ให้ย้ายลงจากเรือนใหญ่อยู่เรือนเล็กด้านหลัง ออกนอกบ้านให้พูดเพียงเป็นแม่ดารานี ท่านโหรหลวงยังล่วงรู้ นี่เป็นเรื่องชี้ชะตาศรีสงคราม เห็นควรเรียกลูกทั้งสองมาพร้อมหน้า”
“ท่านพี่...” เสียงสั่นเครือของผู้เป็นภรรยาทำให้หลวงพิริยเดชทอดถอนใจแผ่วเบาอย่างคนที่แบกความรับผิดชอบไว้หนักอึ้ง
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







