LOGIN![พันธะสวาทจอมเวทย์ [18+, พีเรียดอีโรติก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
อารัมบท
ปลายสมัยสุโขทัย
โอม....
ตะ มตฺถ° ปะกา เสนโต
สต°ธา อะหะ อิเม อะสิตะ
อฺ อะมิ มะสะ นะโม
กูจะสูบพระเวทย์อาคมขึ้นไว้บนคอ
กูจะยอพระอาคมทั้งหลายเข้าไว้ในอก
กูจะยกพระคาถาทั้งปวงไว้เหนือเกล้า
ท่ามกลางรัตติกาลวันเพ็ญ แสงจันทราเต็มดวงสาดสีนวลเหลืองอ่อนทั่วท้องนภา
ปรากฏร่างชายฉกรรจ์นุ่งดำทั้งร่างนั่งขัดสมาธิกลางวงล้อมพิธีกรรมโบราณศักดิ์สิทธิ์
เสียงลมเสียงฟ้ากรรโชกแรงคล้ายเกิดอาเพศเหตุร้าย ปักษาบินว่อนแตกตื่นด้วยความหวาดกลัว กระวนกระวาย กิ่งไม้โหมไหวเอียงโน้มลงสัมผัสพื้นดิน แว่วเสียงลั่นเปรี๊ยะสั่นสะเทือนถึงพสุธา
ชายวัยกลางคนค่อนแก่ หน้าตอบซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำแข็งกร้าวเพ่งจดจ้องเพียงหม้อดินน้ำมนตร์ตรงหน้า ริมฝีปากหนาคล้ำหนวดเครารกเรื้อ ปากขยับท่องบทสวดสาปแช่ง วงแขนร่ายรำวาดเป็นวงกลมในอุ้งมือคือแท่งเทียนสีดำแสงนวลวูบไหว
วงล้อมโรยด้วยผงกระดูกผีตายท้องกลม ปักไม้กฤษณาดำสนิทลงพื้นดินผูกเชื่อมหากันด้วยสายสิญจน์เกิดเป็นสี่เหลี่ยมล้อมวงกลมกระดูกอีกชั้น
เปรี้ยง!
อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงพื้นพสุธาเบื้องหน้า เสียงกรีดร้องโหยหวนผีเปรต สัมภเวสี วิญญาณอาฆาตระงมทั่วพื้นไพลวัลย์แห่งเมืองสุโฆฑยะ
“พระครู”
น้ำเสียงสั่นเครือหวาดกลัวของบ่าวเลี้ยงคนสนิทดังขึ้นขัดจังหวะพระครูสิงหไกร ร่างของมันสั่นเทาตาเบิกโพลงยามมองเห็นวิญญาณร้ายสีดำทะมึนคล้ายหมอกล่องลอยวนเวียน
“มึงอยู่นิ่ง ๆ อย่าได้ขัดกู!”
“พวกมัน มัน”
“มันเข้ามาในวงอาคมมิได้ดอก มึงจักกลัวไปไย ส่งมีดหมอมา!”
บ่าวรับใช้ควานมือเข้าไปในย่ามสีดำทำจากเสื้อผ้าคนตาย ลายพร้อยด้วยคราบน้ำเหลือง ถลึงตาจ้องยังผีเปรตสูงยาวปากเท่ารูเข็ม
“ไอ้จ้อน เร็ว!”
ไอ้บ่าวจับเจอมีดหมอรีบส่งให้นายของมัน พระครูสิงหไกรผู้มากวิชาแห่งสุโฆฑยะ ตั้งแต่มันติดตามพระครูมากอาคม ตัวบ่าวชายไม่เคยเจอะเจอของแรงเช่นนี้มาก่อนในชีวิต มันก้มโน้มตัวลงกับพื้นดินกราบอย่างร่างสะท้านระริกไปถึงปลายเท้า เส้นผมตั้งชี้ กลัวจับจิตจับใจ
พระครูสิงหไกรจับมีดหมอให้มั่นด้วยมือข้างขวา จุ่มเทียนสีดำลงในหม้อน้ำมนตร์กระทั่งเปลวไฟดับสนิทเกิดกลุ่มควันเบาบาง จดปลายเล็กแหลมคมของมีดบนฝ่ามือข้างซ้าย
โอม....
อิติปิ อหํ ธัมมเทวตา จ ภูตเทวตา
จ สมฺพุทฺธเทวตา จ ปญฺญาปยามิ
ข้าแต่เจ้าแห่งความดำมืด วิญญาณผู้เฝ้ารักษาแผ่นดิน
ผีห่าตายโหง จงฟังคำกูผู้ทุกข์ทนในความอาฆาตนี้ กูผู้ซึ่งเจ็บช้ำที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
เมียกูถูกข่มเหงดับสิ้นไร้วิญญาณ
ลูกกูถูกทารุณกระทำเยี่ยงสัตว์
บริวารกู เรือนกูล้วนถูกไฟคลอกเผาเสียสิ้น
เหลือเพียงตัวกูที่ยังยืนหยัดด้วยใจคับแค้น กู!! ขุนสิงหไกร เรืองวิทย์เดชแห่งสุโฆทยะ
ขอสาบานต่อฟ้า สาบานต่อดิน สาบานต่อไฟแห่งโลกา
กู!! ขอสาปแช่งตระกูลศรีสงครามให้ล่มสลาย ให้รากเหง้าถูกถอน ให้ดินถ่มทับ ลูกหลานไอ้อีเกิดมาไร้สุข ทุกข์ตรมตราบสิ้นชีพ ทรัพย์สินมั่งคั่งกลายเป็นเถ้าธุลี ชื่อเสียงกลายเป็นความอัปยศ แลบาปกรรมของมัน จงตามติดทุกผู้ในสายเลือด
กูเรียกฟ้า... จงฟาดเปรี้ยงเหนือบ้านมัน กูเรียกดิน... จงทลายแยกเรือนแห่งวงศ์มัน กูเรียกไฟ... จงเผาผลาญความหวังมันให้สิ้นซาก กูเรียกน้ำ... จงกลืนกินทุกเส้นทางในภายหน้ามัน
ด้วยพลังแห่งคำสาปนี้ จงเป็นจริงตามที่กูสั่ง ฟ้าดินเป็นพยาน ขอฤทธิ์อาถรรพ์นี้ดำรงอยู่ จนกว่าตระกูลศรีสงคราม จะสิ้นสูญนิรันดร์กาล
กรี๊ด.....หวีด......ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไอ้จ้อนสะดุ้งโหย่งรีบมุดหัวขดตัวยามที่ผีเปรตห่าตายโหงกรีดเสียงโหยหวน เมื่อบทสวดบรรลุจบทุกบท
พ่อครูกรีดมีดหมอลงอาคมสลักคาถาทำจากเหล็กน้ำพี้ เอาความหนักอึ้งโอบอุ้มความแค้นที่สุ่มในอกจดยังผิวเนื้อหนังฝ่ามือหยาบกร้านทีละน้อยกระทั่งลึกพอ คิ้วสีขาวโพลนขมวดเกรียว ขบกรามแน่น กำมือเหนือหม้อน้ำมนตร์ปล่อยให้เลือดแห่งความคับข้องใจในกายไหลหยดลงน้ำ
เปรี้ยงงงง!!
สิ้นเสียงอสุนีบาตทุกอย่างกลับคืนเป็นปกติ วิญญาณผีสัมภเวสี ผีเปรตล้วนอันตรธาน ลมนิ่งสนิทไร้เสียงหวีดหวิว เมฆคลายตัวคืนดวงจันทร์ให้ส่องกระจ่างดั่งเดิม
“ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พ่อครูสิงหไกรเบิกดวงตาแวววาว อ้าปากค้างเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องไพรวัลย์อนธการ หนังแก้มกระตุกเบา ๆ สีหน้าเบิกบานอย่างคนที่กระทำการสำเร็จ อาการเครียดครัดมลายหายสิ้น เขย่ามือข้างที่กำมีดหมอ มือข้างที่เกรอะกรังด้วยเลือดชูขึ้น แหงนดวงหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้เมฆเปิดสว่าง ทรวงอกพองโตฮึกเหิม ตะโกนเสียงดังขึ้นคล้ายคนเสียจริต
“ไอ้อีศรีสงคราม! จบสิ้นลงแน่แล้วในคราวนี้ ฮ่า ฮ่า”
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







