"แม่ชีครับ มีคนมาหาครับ"
เด็กลูกวัดเข้ามาบอกจีรานุชอย่างสุภาพ หญิงวัยห้าสิบต้น ๆ กำลังนั่งพับดอกบัวอยู่กับแม่ชีและคนนุ่งขาวห่มขาวอีกหลายคน คงเป็นคนที่มาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
วัดแห่งนี้ค่อนข้างคึกคักด้วยนักท่องเที่ยว ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่อธิปนึกภาพไว้
กระนั้น เมื่อเขาเห็นหน้าจีรานุชที่ลุกเดินออกมาหา ก็ใจหาย...
จีรานุชดวงตาเบิกกว้างอย่างยินดี
"อาร์ต!"
ชายหนุ่มยกมือไหว้เก้ ๆ กัง ๆ
"น้า...แม่ชี..."
"เรียกน้านุชเหมือนเดิมก็ได้จ้ะ"
จีรานุชบอกยิ้ม ๆ ถึงเธอจะโกนผมแต่ก็ถือศีลแปดข้อเหมือนเนกขัมมนารีทั่วไป จะเรียกว่าอะไรก็ไม่เป็นปัญหาหรอก
แม่ชีจีรานุชพาอธิปไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอุโบสถ ที่พลุกพล่านน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ ของวัด
"กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
"สามเดือนแล้วครับ"
เขาหมายถึงกลับจากอังกฤษ เพราะแม้จะเรียนจบแล้วอธิปก็ยังแทบไม่กลับไทย เลือกจะใช้ชีวิตสุขสำราญอยู่ต่างประเทศ
"พ่อเขาคงดีใจนะ ที่ลูกชายคนโตกลับมาอยู่ใกล้ ๆ"
"น้านุช...สบายดีไหมครับ"
"ก็ดีจ้ะ สงบใจดี"
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่อธิปก็ทันสังเกตเห็นแววหม่นหมองบางอย่างพาดผ่านดวงตาของจีรานุช
มันทำให้เขาคิดว่า ผู้หญิงตรงหน้าแค่กำลังพยายามจะมีความสุข พยายามจะสงบ เพื่อดิ้นรนหนีความเจ็บปวดบางอย่าง...
เขาจะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าความเจ็บปวดนั้นคงไม่พ้นเรื่องที่พ่อของเขาแต่งงานใหม่ กับยายรองนางสาวไทยนั่น!
"ได้เจอโอมบ้างไหมอาร์ต"
จู่ ๆ จีรานุชก็ถามถึงลูกชาย แววตาเปล่งประกายคาดหวังขึ้นมา
"เจอครับ ผมแวะไปชวนมันมาแต่มันบอกไม่ว่าง"
"อย่างนั้นหรือ"
แววตาจีรานุชดูเศร้าไปอีก...อธิปรู้สึกแปลบในใจ
"ถ้าน้าคิดถึงไอ้เจ้าโอม คราวหน้าอาร์ตจะบังคับพามันมาด้วยให้ได้ ต่อให้ต้องโปะยาสลบแล้วอุ้มมาก็จะทำ"
ท่าทีขึงขังของเขาทำให้จีรานุชหัวเราะออกมาได้เบา ๆ
"อย่างนั้นเลยหรือ อาร์ตยังใจดีกับน้าจริง ๆ ขอบใจนะจ๊ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าโอมเขาอยากมาเขาก็คงจะมาเอง อาร์ตไม่ต้องไปบังคับน้องหรอกนะลูก เดี๋ยวอาร์ตจะหงุดหงิดเปล่า ๆ"
"น้านุชครับ... น้านุชอยากกลับกรุงเทพฯ มั้ย ไปอยู่กับผมก็ได้"
"ขอบใจมากนะลูก...น้าขอบใจมาก"
จีรานุชเอ่ยเสียงเบา แต่ซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
เธอแทบไม่ได้เลี้ยงเขามาด้วยซ้ำ เพราะคุณอรรถส่งอธิปไปเรียนโรงเรียนประจำที่เมืองนอกตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น ปีนึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง
แต่แปลกที่เด็กชายอธิป ไม่เคยแสดงอาการต่อต้านหรือพยศต่อจีรานุช เขาค่อนข้างติดเธอมากด้วยซ้ำ กลับไทยหนไหนก็จะเรียกหาแต่น้านุช ๆ ทุกครั้งไป
ไม่เหมือนกับพ่อของเขา อธิปมักพยศและก่อเรื่องให้คนเป็นพ่อต้องบินตามไปแก้ไขปัญหาให้หลายครั้ง บ่อยครั้งเขาอรรถก็ส่งทนายไปแทน
'เจ้าอาร์ตมันไม่อยากเห็นหน้าผม เห็นหน้าพ่อมันทีไร ก็ทำหน้าเหมือนกำลังอมยาพิษ'
อรรถเคยบอกจีรานุชแบบนั้น
'ผมก็คิดถึงลูกนะ แต่ถ้าลูกไม่อยากเห็นหน้า ผมก็ไม่อยากเอาหน้าไปทำให้มันหงุดหงิด'
'ลูกที่ไหนจะไม่คิดถึงพ่อล่ะคะ คุณอรรถน่าจะคิดมากไปเองนะ'
'ไม่หรอกคุณนุช ผมว่าลูกคงกำลังโตเป็นหนุ่ม อยากมีอิสระ ถ้าผมไปหาเขาบ่อย ๆ คงคิดว่าผมไปจับผิด... อยู่ห่าง ๆ กันแบบนี้ก็ดีแล้ว'
อรรถยืนยันกับเธอ จีรานุชไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่มีอะไรจะไปโต้แย้งเขา อรรถเป็นคนฉลาด เก่ง ถ้าเขาเชื่อเช่นนั้น เธอก็ไม่มีอะไรจะไปแก้ไขความเชื่อได้
จีรานุชนึกถึงอดีตสามี และอดถามถึงเขาไม่ได้
"คุณพ่อสบายดีไหมอาร์ต"
"พ่อน่ะหรือครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้เจอเขา"
"โถ่ แล้วอาร์ตไม่ได้อยู่บ้านกับพ่อเขาหรือไง"
"อาร์ตอยู่คอนโดฮะ เจ้าโอมก็เหมือนกัน อยู่หอ ไม่มีใครอยากอยู่บ้านสักคน"
"น่าเศร้านะ บ้านออกจะใหญ่โตแบบนั้น...ไปอยู่บ้านกับพ่อเถอะนะอาร์ต น้ารู้ว่าพ่อเขาก็อยากให้อาร์ตอยู่บ้าน ถึงเขาจะทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลา แต่เวลาที่เขากลับบ้่าน เขาก็อยากเจอหน้าลูกนะรู้ไหม"
ชายหนุ่มเกือบพูดออกไปด้วยอารมณ์พาลแล้วว่าพ่อเขาก็มีเมียใหม่แล้ว จะมาสนใจอะไรกับลูกชายที่เป็นไม้เบื้อไม้เมากัน...
แต่เขาไม่ได้พูด เพราะยังมีสติยั้งไว้ทันและเขาก็นึกขอบคุณตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นแววตาของจีรานุชคงจะเศร้ายิ่งกว่านี้
ไม่คิดเลยว่า จีรานุชกลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา
"คุณลินดากับลูกสาว...เขามาอยู่ที่บ้านแล้วใช่ไหม"
อธิปนิ่งไป ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร แต่สุดท้ายก็แค่พยักหน้า
จีรานุชยิ้มแต่แววตาแห้งผาก เธอเหม่อมองออกไปทางอื่นแล้วพูดต่อ
"ทำดีกับเธอนะอาร์ต ดูแลเธอกับลูกสาว...นึกเสียว่าทำแทนน้าก็ได้"
"ทำไมผมต้องดูแลพวกนั้นด้วยล่ะครับ ถ้าไม่มีสองแม่ลูกนั่น น้านุชก็อาจไม่ต้องหนีมาบวช"
"ไม่ใช่นะอาร์ต ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณลินดาหรือลูกสาวเขาเลย... มันเป็นการตัดสินใจของน้าเอง"
จีรานุชรีบบอก เหมือนกลัวเขาจะรู้สึกไม่ดีกับภรรยาใหม่ของพ่อ
ดวงตาของจีรานุชมีน้ำตาคลอหน่วย...
"สัญญากับน้าได้ไหมว่าจะดีกับเขา จะไม่โกรธไม่เกลียดเขา"
อธิปไม่ตอบ ยิ่งเห็นจีรานุชพยายามจะให้อภัยลินดา เขาก็ยิ่งหงุดหงิด
"ผมเข้าใจน้านุชนะครับ เข้าใจทุกอย่าง..."
"ไม่จริงหรอก อาร์ตไม่เข้าใจน้า เพราะถ้าอาร์ตเข้าใจ..."
จีรานุชพูดต่อไม่ออก น้ำตาร่วงหล่นเบา ๆ เธอหันหน้าหนีไปอีกทาง หยิบชายผ้าพาดไหล่สีขาวมาซับน้ำตา
น่าสงสาร...อธิปใจไหวไปด้วย
และเขายิ่งสงสารจีรานุชมากเท่าไหร่
เขาก็ยิ่งเกลียดลินดากับลูกสาวของเธอมากเท่านั้น
"ผมขอโทษ..."
"จะขอโทษอะไรน้าล่ะ น้าดีใจมากนะที่ได้เจออาร์ตอีก นึกว่าจะลืมน้าไปแล้ว"
"ใครจะลืมน้านุชได้ล่ะครับ"
อธิปยิ้ม ถ้าไม่เพราะจีรานุชอยู่ในรูปลักษณ์ของนักบวช เขาก็คงจะสวมกอดนางไปแล้ว
"น้าคงยังไม่กลับไปง่าย ๆ ยังไงฝากโอมด้วยนะอาร์ต...โอมเขารักอาร์ตนะ เขาบอกน้าเสมอว่าเขารักพี่ชายคนเดียวคนนี้ของเขามาก"
"ครับน้านุช ผมจะไม่ทิ้งน้องครับ"
ชายหนุ่มรับปากอย่างจริงใจ ถึงโอมจะทำปั้นปึ่งตามประสาวัยรุ่น แต่เขาก็ไม่มีวันรู้สึกไม่ดีกับน้องชาย
ก่อนลากลับ จีรานุชเอื้อมมือที่ผอมลงไปมากมาจับมืออธิปแล้วบีบไว้ เงยหน้าชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างปลาบปลื้มระคนอาทร...
"ขอบใจมากที่มาหาน้า... น้าดีใจมากนะที่ได้เจออาร์ตอีก"
"ผมก็ดีใจครับ แล้วผมจะแวะมาหาอีก คราวหน้าจะลากไอ้โอมมาด้วยให้ได้แน่นอน"
ชายหนุ่มรับปาก
* * * * *
ตอนแรกอธิปตั้งใจจะกลับกรุงเทพฯ เย็นวันนั้นเลยเพราะเพื่อนสนิทอย่างบพิตรตามมาด้วยไม่ได้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเพราะได้แอร์โฮสเตสสาวสวยหุ่นนางแบบอย่างโชติรสมาอยู่เป็นเพื่อนแทน
ครั้งนี้เขาไม่ได้ตะกรุมตะกรามอย่างครั้งแรกที่เจอกัน ชายหนุ่มเปิดห้องพักที่โรงแรมหรูใกล้แม่น้ำปิงและจองโต๊ะดินเนอร์ให้เขากับเธอสองคน
เมื่อได้พิจารณากันใกล้ ๆ อย่างไม่ต้องรีบร้อน อธิปก็รู้สึกว่าโชติรสสวยและมีเสน่ห์ซุกซนที่ทำให้ไม่น่าเบื่อ
"มีอะไรหรือคะ มองหน้าโชทำไม"
โชติรสถามเขิน ๆ แต่แววตาพราวระยิบระยับ
"แค่อยากมองให้ชัด เพราะครั้งก่อนแทบไม่มีเวลาได้มอง...หน้าเลย"
ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ แต่ก็ทำให้หญิงสาวหน้าแดงซ่านมาได้ทันที
โชติรสกระแอม ก่อนชวนคุย
"คุณอาร์ตจะพักเชียงใหม่กี่วันหรือคะ"
"พรุ่งนี้ก็คงกลับแล้ว ถ้ามีตั๋วว่าง"
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส
"ลูกชายแชร์แมนทั้งคนนะคะ จะไม่มีที่ว่างให้เชียวหรือ"
อธิปหมุนไวน์ในมือเบา ๆ พ่อของเขาพูดเสมอว่าสักวัน เขาในฐานะลูกชายคนโต จะต้องเข้าไปบริหารสยามเจ็ตต่อจากพ่อ ไม่ใช่แค่สายการบินนี้แต่หมายถึงทุกกิจการภายใต้บริษัทที่พ่อของเขาเป็นเจ้าของ
แต่วันนี้เขากลับทำในสิ่งที่อาจจะมีผลต่อการบริหารในอนาคต นั่นคือการหลับนอนกับพนักงานของตัวเอง
ชายหนุ่มคิดแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา
โชติรสเลิกคิ้วเป็นคำถาม
และอธิปก็ไม่คิดจะปิดบัง เขาบอกเธอตามตรง
"พ่อคงไม่ยกบริษัทให้ผมแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าผม...มีอะไรกับแอร์โฮสเตสสายการบินตัวเอง"
โชติรสหน้าเจื่อนไป
นั่นสิ สำหรับอธิป เธอก็คงเป็นแค่ลูกจ้าง แค่ความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวก็อาจส่งผลต่อธุรกิจของเขาได้
"ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณไม่พูด โชไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ ทางที่ดีเราจบกันตรงนี้เลยก็น่าจะดีกว่า ขอตัวนะคะ"
โชติรสไม่ได้คิดจะเล่นละคร เธอรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมาจริง ๆ
แต่อธิปชะโงกตัวมาแตะแขนเธอไว้
"คุณ...โช..."
หญิงสาวชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชื่อเธอ แค่เรียกชื่อน้ำเสียงของเขาก็ยังเซ็กซี่จนเธอใจสั่น
นี่มันผิดกฎวันไนต์สแตนด์ชัด ๆ!
"ช่างมันสิ ผมไม่แคร์นะ หรือคุณแคร์"
"โชก็...ไม่แคร์ค่ะ"
โชติรสหย่อนตัวนั่งลงตามเดิม เธอรู้ว่ากฎของคู่นอน ต้องไม่เอาใจลงไปเล่น แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้ว...
เธอชอบและอยากได้ผู้ชายคนนี้เหลือเกิน!
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต