"ก็หรือไม่จริง นี่ถ้าแกไม่เกิดพลาดขึ้นมา ฉันคงจะไล่มันออกโทษฐานที่มาเจาะไข่แดงลูกสาวฉัน เผลอ ๆ จะจับมันเข้าคุกด้วย"
"ชลอายุ 27 แล้วนะ แม่จะเอาติเข้าคุกข้อหาอะไรไม่ทราบ" "ถ้าฉันจะทำ จะข้อหาอะไรก็หายัดมันได้ทั้งนั้นแหละ" วิภาตอบตาเขียว หล่อนมีลูกสาวแค่สองคนคือชลธิชา กับโชติรส ลำพังไม่มีลูกชายให้ตระกูลสามี ก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว นี่ลูกสาวคนโตยังจะท้องก่อนแต่ง แถมพ่อของเด็กก็เป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทตัวเอง หล่อนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เกือบเดือน กระทั่งตอนนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ชลธิชาหน้างอที่แม่ว่าคนรัก ส่วนโชติรสก็ยังคงยิ้มขัน เธอสนุกเสมอเวลาได้เห็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่กับพี่สาวโต้คารมกัน วิภาหันมาตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กบ้าง "แล้วแกล่ะ มานั่งเจ๋อทำอะไร ไม่ต้องรีบไปสนามบินหรือไง เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถมันติดหนักนะยะโดยเฉพาะเส้นนั้นน่ะ" "แหมแม่ โชเป็นแอร์ฯ นะ คนเป็นแอร์ฯ ไม่รู้จักบริหารเวลา ไปไม่ทันเช็คอินก็ตลกตายล่ะ" "เออ ๆ ลูกแต่ละคนมันเก่งกันทั้งนั้น แล้วพักบินทั้งทีแทนที่จะอยู่บ้าน จะไปทำไมนักหนาก็ไม่รู้กรุงเทพฯ น่ะ" "แล้วกรุงเทพไม่ใช่บ้านหรือไงล่ะ" "บ้านป๊าแกกับอีพวกกะหรี่ปั๊บพวกนั้นน่ะเหรอ อย่างนั้นฉันไม่เรียกว่าบ้านหรอก ฉันเรียกว่าซ่อง" วิภาพูดถึงสามีกับบรรดาเมียรองของเขาทีไรก็เป็นฟืนเป็นไฟพูดจาแรง ๆ ขึ้นมาทุกที โชติรสรีบลุกขึ้นก่อนแม่จะด่าพ่อให้ฟังยาวเหยียดกว่านี้ "โชไปดีกว่า แล้วจะบอกป๊าให้นะคะว่าแม่ฝากความคิดทึ้งคิดถึงมาให้..." วิภาหยิบหมอนปาใส่ลูกสาวคนเล็กแต่ไม่โดนเพราะโชติรสหลบทัน แอร์โฮสเตสสาววัยเพียง 25 ปีหัวเราะคิกคักพอใจที่ยั่วแม่ได้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน คนเป็นแม่ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาลูกสาวคนโตที่ยืนทำตาปรอย ๆ อยู่หน้ากระจก วิภาถอนหายใจก่อนจะเรียกช่างคนสนิทให้เข้ามาทำงานต่อ แม้จะรังเกียจเดียดฉันท์ลูกเขยคนนี้มากแค่ไหน แต่ถึงยังไงหน้าที่แม่ก็ต้องช่วยให้งานแต่งของลูกสาวสำเร็จออกมาอย่างสวยงามที่สุดให้ได้นั่นแหละ * * * * * สนามบินสุวรรณภูมิ อธิปรู้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ลอนดอนตอนนี้ หนาวจนอุณหภูมิแค่องศาเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็น "สภาพ" ของเพื่อนรักที่เดินเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เขาก็ถึงกับหยิบแว่นกันแดดสีดำมาสวม เมินเฉย และเตรียมจะหันหลังกลับ "อาร์ตี้! เฮลโล่ คัมมอนเบบี้ ไอมิสยูโซมัชหั่นหนี..." "ไอ้เวร กูไม่รู้จักมึง" อธิปคำราม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหนุ่มร่างสูงเท่า ๆ กันกับเขาคนที่มีผมสีทองยาวเคลียบ่าคนนั้นกระโดดยาว ๆ มาถึงตัวเขาแล้วสวมกอดอย่างแนบแน่นทันที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอธิปยังสามารถถูกคนที่สวมเสื้อโค้ทตัวหนาโอบแทบมิด โอเวอร์โค้ทขนเป็ดหนานุ่มสีแดงสดยาวถึงเข่าสวมทับสเวตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้มดูเหมือนต้นคริสมาสต์เดินได้ ท่อนบนยังพอทน แต่ท่อนล่างที่เป็นกางเกงหนังสีดำเป็นมันเงากับรองเท้าบู๊ตหนังสีเหลืองทอง ทุกอย่างมันดูหวือหวาจัดจ้านจนไม่แปลกที่ผู้โดยสารทุกคนที่เดินออกมาพร้อมกันยังคงอดปรายตามองซ้ำไม่ได้ทั้งที่เดินทางด้วยกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว "ไอ้บอม ปล่อยกู กูกลัวแล้ว" "จูบทีแล้วกูจะปล่อย" บอมหรือบพิตรเอ่ยอย่างร่าเริงด้วยเสียงไม่เบา แอร์โฮสเตสสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางผ่านไปพร้อมกันสี่ห้าคนถึงกับเหลือบมองพวกเขาแล้วหันไปหัวเราะคิกคักให้กัน "จูบเตี่ยมึงสิ ปล่อยได้แล้วไอ้เวร เสียเวลา" อธิปอดด่าไม่ได้ บพิตรยอมปล่อยไม่ใช่เพราะโดนด่าพ่อ แต่เพราะมือจะได้ว่างเสยผมทั้งสองข้างด้วยท่วงท่าที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิต "ขอต้อนรับกลับเมืองไทยครับเบ่บี๋" "กูต้องพูดมั้ย ไม่ใช่มึง" อธิปว่าเข้าให้อีก บพิตรส่งยิ้มให้สาว ๆ ที่เผลอเหลือบมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด ใครที่จิตแข็งหน่อยก็อาจจะส่งยิ้มกลับมาให้ แต่ส่วนมากจะก้มหน้างุดแล้วรีบ ๆ เดินไปให้ไกลสองหนุ่มมากที่สุด...ทั้งที่จะว่าไปสองคนนี้รูปร่างหน้าตาระดับประกวดมิสเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนลได้เลย "ทำไมต้องให้กูมารับด้วย แถมยังไม่ให้บอกพ่อกับแม่มึงอีก" อธิปถามระหว่างที่ช่วยเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าเดินทางหนักอึ้งออกมาตามทางเดินเพื่อจะไปลานจอดรถ ในใจก็คะเนว่ารถของเขาจะใส่กระเป๋าของบพิตรได้หมดหรือเปล่า ถ้ารถสปอร์ตใส่ได้ไม่หมด ก็จะขนแต่กระเป๋า ทิ้งให้ไอ้บอมหารถตามไปเองก็แล้วกัน สภาพมันตอนนี้เอาไปปล่อยไว้กลางทะเลทรายคงยังไม่หลงเลยมั้ง ยังไงดาวเทียมก็หาเจอ "เซอร์ไพรส์ไง ไม่รู้จักเหรอเซอร์ไพรส์" "ก็แม่มึงเขาเป็นคนเรียกมึงกลับมาเองเขายังจะเซอร์ไพรส์อีกหรอ" "เออ มันก็ใช่ แต่กูไม่ยอมบอกไงว่าจะเป็นวันไหนไฟลต์ไหน ขอไปปาร์ตี้ให้หนำใจก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน" บพิตรเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว "นั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ" "เหนื่อยอะไร กูนั่งชั้นหนึ่ง กินแล้วก็นอนมาตลอดทาง จนอยากยืดเส้นยืดสายจะตายอยู่แล้วเนี่ย" บพิตรเอ่ยอย่างคึกคัก แค่สองเท้าสัมผัสแผ่นดินกรุงเทพฯ ก็พร้อมจะออกฉลองได้ทันที แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างอธิปก็ยังส่ายหน้า อธิป บพิตร ชนะศึก และไม้เอก ทายาทชายทั้งสี่จากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย พวกเขาสนิทกันตอนเรียนมัธยมฯ ที่โรงเรียนประจำชายล้วนในนิวซีแลนด์ การที่แต่ละครอบครัวส่งลูกชายไปเรียนที่เดียวกัน ปีเดียวกัน ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทายาททั้งสี่คนนั้นก็ได้คบหาเป็นเพื่อนกันอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงตอนนี้ * * * * * "อ้าว จะออกไปไหนอีกล่ะโช เพิ่งมาถึงไม่ใช่เหรอ" ชาญเอ่ยถามลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ คิดว่าเย็นนี้ลูกจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับครอบครัว แต่โชติรสที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านหันมายิ้มหวานให้ "ไปหาเพื่อนน่ะป๊า" "ไม่คิดจะพักบ้างหรือลูก ช่วงพักร้อนป๊านึกว่าจะอยู่ติดบ้านบ้าง" คนเป็นลูกสาวหัวเราะคิก "แม่กับป๊านี่พูดเหมือนกันเด๊ะเลย เหมือนกันขนาดนี้ เวลาเจอกันไม่น่าทะเลาะกันเลยนะ" "ป๊าเคยทะเลาะกับแม่เขาที่ไหน แม่ต่างหากที่ทะเลาะกับป๊าเรื่อย" นายชาญตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามอุปนิสัย แม้เป็นคนทำงานหนัก เขี้ยวลากดินในทางธุรกิจ แต่บุคลิกส่วนตัวกลับแพรวพราวมีเสน่ห์เหมือนหนุ่มรุ่น ๆ ที่รักสนุก รายชื่อเมียเล็กเมียน้อยของเขาจึงยาวเป็นหางว่าว นี่ถ้าไม่เพราะเตี่ยของเขาเคยสอนไว้ว่า 'จะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่ถ้าลื้อจะมีลูก ลูกต้องมีแม่คนเดียวกันเท่านั้น' เขาก็คงมีพี่น้องต่างแม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนอีกเป็นโขยง ก็ไม่เข้าใจว่าวิภา เมียรักเมียแต่งของเขาจะงอนอะไรนักหนา งอนจนไม่ยอมมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาออกจะรักลูกรักเมีย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีก็ต้องเป็นของชลธิชากับโชติรสแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้จะแบ่งให้ใครสักหน่อย "โชไปก่อนนะป๊า ถ้าดึกเกินไปอาจจะนอนกับแยมนะ" แอร์โฮสเตสสาวยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มบิดาสองทีอย่างเป็นธรรมชาติ "ส่งโชแล้วไม่ต้องรอรับนะ คืนนี้จะค้างกับเพื่อน" โชติรสบอกคนขับรถของที่บ้านทันทีที่ขึ้นรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด บิดาของเธอไม่เคยห้ามว่าลูกสาวจะเที่ยวสุดเหวี่ยงข้ามคืนแค่ไหน ขออย่างเดียวต้องให้คนขับรถขับให้ห้ามขับเอง หญิงสาวไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่ออกมาปาร์ตี้กับเพื่อน ก็เมาแอ๋จนจำชื่อตัวเองแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ขับรถเองเลย คืนนี้หญิงสาวสวมเสื้อคลุมออกจากบ้าน แตแต่พอมาถึงร้านก็ถอดเสื้อคลุม เสื้อที่โชติรสสวมคืนนี้เป็นสีดำ มองด้านหน้าปิดมิดชิดจนถึงปลายคาง แต่ด้านหลังคือเปลือยเปล่าเว้าลงไปจนถึงเนินสะโพก เผยแผ่นหลังขาวผ่องนวลเนียนไร้ไฝฝ้าราคี ที่ชวนให้หายใจสะดุดคือทุกครั้งที่หญิงสาวขยับตัว ด้านข้างของชุดจะเผยให้เห็นฐานหน้าอกวับแวบชวนให้จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน "แซ่บไม่แผ่วเลยนะมึง...อีโช" ยลดาหรือแยมเอ่ยแซวเพื่อนรัก พวกเธอสนิทกันชนิดที่สามารถพูดมึงกูใส่กันได้ เธอเป็นคนคะยั้นคะยอให้โชติรสที่เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ออกมาปาร์ตี้ด้วยกันให้ได้ในคืนนี้ ร้านนี้พี่ชายของยลดาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และเพราะรุ่นพี่คนหนึ่งของพี่ชายเพิ่งกลับมาจากลอนดอน เขาจึงเหมาโต๊ะในโซนวีไอพีไว้ทั้งหมดเพื่อฉลองให้เพื่อนรุ่นพี่คนนั้น "เพื่อนพี่ยศยังไม่มา แต่มันบอกว่าใครมาแล้วให้ขึ้นไปชั้นลอยได้เลย เขาเหมาไว้หมดแล้ว" "แต่กูไม่รู้จักเจ้าของงาน ไม่น่าเกลียดจริง ๆหรือมึง" "ก็เพราะไม่รู้จักน่ะสิถึงได้ชวนมา จะได้รู้จักกันไว้" ยลดาหัวเราะ "อีกอย่างมีคนมาเยอะ ๆ เขาคงยิ่งชอบ ใครจะอยากปาร์ตี้เหงา ๆ ล่ะจริงปะ" พูดพลางดึงแขนเพื่อนให้เดินขึ้นไปชั้นลอยด้วยกัน ยศกรพี่ชายของยลดาเห็นเพื่อนน้องสาวก็เข้ามาทักด้วยความดีใจและดูแลให้สาว ๆ มีเครื่องดื่มพร้อมในมือ "เพื่อนพี่ยศเป็นใครหรือคะ" แอร์โฮสเตสสาวถามอย่างชวนคุยมากกว่าจะสนใจจริงจัง แต่ยศกรดูภูมิใจมากที่จะบอก "พี่บอม รู้จักกันตอนพี่ไปเทคคอร์สที่ลอนดอน โชรู้จักไหม บพิตร บ่อภักดีน่ะ" "คุ้นๆ นะคะ" หญิงสาวตอบ ยลดาย่นจมูก เอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง "อะไรบ่อ ๆ นะ ทำไมฟังดูบ้านนอกจัง เศรษฐีภูธรเหรอ" "นอกหรือในไม่รู้ รู้แต่ว่าโคตรหล่อ โคตรรวย แล้วก็โคตรป๋ามาก ตอนอยู่ลอนดอนพี่บอมแกมีฉายาว่าป๋าเพราะแกใจกว้างสุด ๆ" "ทำอะไรถึงรวยล่ะ" ยลดาถามอีก ยศกรมองหน้าน้องสาวพลางถอนหายใจเหมือนว่ายัยแยมนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย "แกเสิร์ชกูเกิ้ลดูสิไอ้แยม พ่อพี่บอมชื่อบรรพ์ บอใบไม้ รอหัน พอพานการันต์ นามสกุลบ่อภักดี" ยลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ไม่ได้อยากรู้มากนักแค่ทำไปเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเห็นโปรไฟล์ของนายบรรพ์ บ่อภักดี ปรากฏขึ้นมาเป็นพรืด เธอก็ถึงกับเงยหน้ามองพี่ชาย "โม้แล้ว เพื่อนพี่ยศคือลูกชายคนนี้เหรอ คนนี้โคตรรวยเลยนะ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ" "ก็เออน่ะสิ...เฮ้ยโน่นไง พี่เขามาแล้ว" ยศกรยิ้มดีใจเมื่อหันไปเห็นรุ่นพี่ที่เคารพรักเดินผ่านประตูผับเข้ามา ชายหนุ่มสั่งพนักงานไว้แล้วว่าถ้าแขกวีไอพีของตัวเองมาถึงให้ต้อนรับเป็นอย่างดี กระนั้นเขาก็รีบเดินไปต้อนรับด้วยตัวเอง "พี่บอม ๆ ทางนี้พี่!""แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต
"อื้อหือ หอมออกไปถึงข้างนอกเลยค่ะคุณลูกอม"น้ำตาลที่เดินหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่มาหาลลิตราที่บ้านฝรั่ง เอ่ยขึ้นเมื่อกลิ่นเทียนอบหอมอบอวลไปทั่วบ้านเล็กๆ"วันนี้ทำอะไรหรือคะ""กลีบลำดวนจ้ะ""งือ หนูกับน้ำค้างชอบกินม้ากมาก""ได้กินแน่นอนจ้า ไม่ต้องห่วง หนนี้ปั้นไว้เยอะเลย""อุ๊ย! หนูไม่ได้ตั้งใจจะขอกินฟรีนะคะคุณลูกอม"น้ำตาลรีบบอก เด็กสาวไม่ได้คิดเรื่องนั้นจริงๆ แต่ลลิตรายิ้มส่ายหน้านิดๆ"ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็ตั้งใจจะแบ่งไปในครัวอยู่แล้วล่ะ กลัวแต่ว่าจะบ่นว่ากินแต่ของหวานๆ แล้วจะเบื่อกันเสียก่อน""อุ๊ย! ไม่เบื่อหรอกค่ะ ยิ่งยัยพี่น้ำค้างนะ ทำหน้าบึ้งเหมือนไม่ชอบ แต่หนูเอาอะไรไปก็เห็นกินหมดเกลี้ยงทุกที"น้ำตาลวางปิ่นโตไว้ที่อีกมุมหนึ่ง วันนี้ในครัวใหญ่ทำแกงจืดวุ้นเส้นเต้าหู้หมูสับที่มีเห็ดหอมสดๆ เยอะพอๆ กับหมูเพราะรู้ว่าทั้งคุณลินดาและลลิตราชอบกินเห็ดหอมมากๆน้ำตาลมาส่งข้าวเสร็จก็ขอตัวกลับไปช่วยงานในครัวเพราะวันนี้ลลิตรายังไม่จำเป็นต้องมีลูกมือ ลลิตราเรียงขนมถาดสุดท้ายเข้าตู้อบเสร็จแล้วก็รอเวลาขนมสุก เธอแบ่งส่วนที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านั้นแล้วจัดใส่จานแล้วเดินไปที่ห้องทำงานที่เพิ่งจัดใหม่ เห็นแ