"ก็หรือไม่จริง นี่ถ้าแกไม่เกิดพลาดขึ้นมา ฉันคงจะไล่มันออกโทษฐานที่มาเจาะไข่แดงลูกสาวฉัน เผลอ ๆ จะจับมันเข้าคุกด้วย"
"ชลอายุ 27 แล้วนะ แม่จะเอาติเข้าคุกข้อหาอะไรไม่ทราบ" "ถ้าฉันจะทำ จะข้อหาอะไรก็หายัดมันได้ทั้งนั้นแหละ" วิภาตอบตาเขียว หล่อนมีลูกสาวแค่สองคนคือชลธิชา กับโชติรส ลำพังไม่มีลูกชายให้ตระกูลสามี ก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว นี่ลูกสาวคนโตยังจะท้องก่อนแต่ง แถมพ่อของเด็กก็เป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทตัวเอง หล่อนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เกือบเดือน กระทั่งตอนนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ชลธิชาหน้างอที่แม่ว่าคนรัก ส่วนโชติรสก็ยังคงยิ้มขัน เธอสนุกเสมอเวลาได้เห็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่กับพี่สาวโต้คารมกัน วิภาหันมาตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กบ้าง "แล้วแกล่ะ มานั่งเจ๋อทำอะไร ไม่ต้องรีบไปสนามบินหรือไง เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถมันติดหนักนะยะโดยเฉพาะเส้นนั้นน่ะ" "แหมแม่ โชเป็นแอร์ฯ นะ คนเป็นแอร์ฯ ไม่รู้จักบริหารเวลา ไปไม่ทันเช็คอินก็ตลกตายล่ะ" "เออ ๆ ลูกแต่ละคนมันเก่งกันทั้งนั้น แล้วพักบินทั้งทีแทนที่จะอยู่บ้าน จะไปทำไมนักหนาก็ไม่รู้กรุงเทพฯ น่ะ" "แล้วกรุงเทพไม่ใช่บ้านหรือไงล่ะ" "บ้านป๊าแกกับอีพวกกะหรี่ปั๊บพวกนั้นน่ะเหรอ อย่างนั้นฉันไม่เรียกว่าบ้านหรอก ฉันเรียกว่าซ่อง" วิภาพูดถึงสามีกับบรรดาเมียรองของเขาทีไรก็เป็นฟืนเป็นไฟพูดจาแรง ๆ ขึ้นมาทุกที โชติรสรีบลุกขึ้นก่อนแม่จะด่าพ่อให้ฟังยาวเหยียดกว่านี้ "โชไปดีกว่า แล้วจะบอกป๊าให้นะคะว่าแม่ฝากความคิดทึ้งคิดถึงมาให้..." วิภาหยิบหมอนปาใส่ลูกสาวคนเล็กแต่ไม่โดนเพราะโชติรสหลบทัน แอร์โฮสเตสสาววัยเพียง 25 ปีหัวเราะคิกคักพอใจที่ยั่วแม่ได้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน คนเป็นแม่ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาลูกสาวคนโตที่ยืนทำตาปรอย ๆ อยู่หน้ากระจก วิภาถอนหายใจก่อนจะเรียกช่างคนสนิทให้เข้ามาทำงานต่อ แม้จะรังเกียจเดียดฉันท์ลูกเขยคนนี้มากแค่ไหน แต่ถึงยังไงหน้าที่แม่ก็ต้องช่วยให้งานแต่งของลูกสาวสำเร็จออกมาอย่างสวยงามที่สุดให้ได้นั่นแหละ * * * * * สนามบินสุวรรณภูมิ อธิปรู้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ลอนดอนตอนนี้ หนาวจนอุณหภูมิแค่องศาเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็น "สภาพ" ของเพื่อนรักที่เดินเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เขาก็ถึงกับหยิบแว่นกันแดดสีดำมาสวม เมินเฉย และเตรียมจะหันหลังกลับ "อาร์ตี้! เฮลโล่ คัมมอนเบบี้ ไอมิสยูโซมัชหั่นหนี..." "ไอ้เวร กูไม่รู้จักมึง" อธิปคำราม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหนุ่มร่างสูงเท่า ๆ กันกับเขาคนที่มีผมสีทองยาวเคลียบ่าคนนั้นกระโดดยาว ๆ มาถึงตัวเขาแล้วสวมกอดอย่างแนบแน่นทันที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอธิปยังสามารถถูกคนที่สวมเสื้อโค้ทตัวหนาโอบแทบมิด โอเวอร์โค้ทขนเป็ดหนานุ่มสีแดงสดยาวถึงเข่าสวมทับสเวตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้มดูเหมือนต้นคริสมาสต์เดินได้ ท่อนบนยังพอทน แต่ท่อนล่างที่เป็นกางเกงหนังสีดำเป็นมันเงากับรองเท้าบู๊ตหนังสีเหลืองทอง ทุกอย่างมันดูหวือหวาจัดจ้านจนไม่แปลกที่ผู้โดยสารทุกคนที่เดินออกมาพร้อมกันยังคงอดปรายตามองซ้ำไม่ได้ทั้งที่เดินทางด้วยกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว "ไอ้บอม ปล่อยกู กูกลัวแล้ว" "จูบทีแล้วกูจะปล่อย" บอมหรือบพิตรเอ่ยอย่างร่าเริงด้วยเสียงไม่เบา แอร์โฮสเตสสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางผ่านไปพร้อมกันสี่ห้าคนถึงกับเหลือบมองพวกเขาแล้วหันไปหัวเราะคิกคักให้กัน "จูบเตี่ยมึงสิ ปล่อยได้แล้วไอ้เวร เสียเวลา" อธิปอดด่าไม่ได้ บพิตรยอมปล่อยไม่ใช่เพราะโดนด่าพ่อ แต่เพราะมือจะได้ว่างเสยผมทั้งสองข้างด้วยท่วงท่าที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิต "ขอต้อนรับกลับเมืองไทยครับเบ่บี๋" "กูต้องพูดมั้ย ไม่ใช่มึง" อธิปว่าเข้าให้อีก บพิตรส่งยิ้มให้สาว ๆ ที่เผลอเหลือบมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด ใครที่จิตแข็งหน่อยก็อาจจะส่งยิ้มกลับมาให้ แต่ส่วนมากจะก้มหน้างุดแล้วรีบ ๆ เดินไปให้ไกลสองหนุ่มมากที่สุด...ทั้งที่จะว่าไปสองคนนี้รูปร่างหน้าตาระดับประกวดมิสเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนลได้เลย "ทำไมต้องให้กูมารับด้วย แถมยังไม่ให้บอกพ่อกับแม่มึงอีก" อธิปถามระหว่างที่ช่วยเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าเดินทางหนักอึ้งออกมาตามทางเดินเพื่อจะไปลานจอดรถ ในใจก็คะเนว่ารถของเขาจะใส่กระเป๋าของบพิตรได้หมดหรือเปล่า ถ้ารถสปอร์ตใส่ได้ไม่หมด ก็จะขนแต่กระเป๋า ทิ้งให้ไอ้บอมหารถตามไปเองก็แล้วกัน สภาพมันตอนนี้เอาไปปล่อยไว้กลางทะเลทรายคงยังไม่หลงเลยมั้ง ยังไงดาวเทียมก็หาเจอ "เซอร์ไพรส์ไง ไม่รู้จักเหรอเซอร์ไพรส์" "ก็แม่มึงเขาเป็นคนเรียกมึงกลับมาเองเขายังจะเซอร์ไพรส์อีกหรอ" "เออ มันก็ใช่ แต่กูไม่ยอมบอกไงว่าจะเป็นวันไหนไฟลต์ไหน ขอไปปาร์ตี้ให้หนำใจก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน" บพิตรเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว "นั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ" "เหนื่อยอะไร กูนั่งชั้นหนึ่ง กินแล้วก็นอนมาตลอดทาง จนอยากยืดเส้นยืดสายจะตายอยู่แล้วเนี่ย" บพิตรเอ่ยอย่างคึกคัก แค่สองเท้าสัมผัสแผ่นดินกรุงเทพฯ ก็พร้อมจะออกฉลองได้ทันที แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างอธิปก็ยังส่ายหน้า อธิป บพิตร ชนะศึก และไม้เอก ทายาทชายทั้งสี่จากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย พวกเขาสนิทกันตอนเรียนมัธยมฯ ที่โรงเรียนประจำชายล้วนในนิวซีแลนด์ การที่แต่ละครอบครัวส่งลูกชายไปเรียนที่เดียวกัน ปีเดียวกัน ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทายาททั้งสี่คนนั้นก็ได้คบหาเป็นเพื่อนกันอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงตอนนี้ * * * * * "อ้าว จะออกไปไหนอีกล่ะโช เพิ่งมาถึงไม่ใช่เหรอ" ชาญเอ่ยถามลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ คิดว่าเย็นนี้ลูกจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับครอบครัว แต่โชติรสที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านหันมายิ้มหวานให้ "ไปหาเพื่อนน่ะป๊า" "ไม่คิดจะพักบ้างหรือลูก ช่วงพักร้อนป๊านึกว่าจะอยู่ติดบ้านบ้าง" คนเป็นลูกสาวหัวเราะคิก "แม่กับป๊านี่พูดเหมือนกันเด๊ะเลย เหมือนกันขนาดนี้ เวลาเจอกันไม่น่าทะเลาะกันเลยนะ" "ป๊าเคยทะเลาะกับแม่เขาที่ไหน แม่ต่างหากที่ทะเลาะกับป๊าเรื่อย" นายชาญตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามอุปนิสัย แม้เป็นคนทำงานหนัก เขี้ยวลากดินในทางธุรกิจ แต่บุคลิกส่วนตัวกลับแพรวพราวมีเสน่ห์เหมือนหนุ่มรุ่น ๆ ที่รักสนุก รายชื่อเมียเล็กเมียน้อยของเขาจึงยาวเป็นหางว่าว นี่ถ้าไม่เพราะเตี่ยของเขาเคยสอนไว้ว่า 'จะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่ถ้าลื้อจะมีลูก ลูกต้องมีแม่คนเดียวกันเท่านั้น' เขาก็คงมีพี่น้องต่างแม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนอีกเป็นโขยง ก็ไม่เข้าใจว่าวิภา เมียรักเมียแต่งของเขาจะงอนอะไรนักหนา งอนจนไม่ยอมมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาออกจะรักลูกรักเมีย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีก็ต้องเป็นของชลธิชากับโชติรสแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้จะแบ่งให้ใครสักหน่อย "โชไปก่อนนะป๊า ถ้าดึกเกินไปอาจจะนอนกับแยมนะ" แอร์โฮสเตสสาวยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มบิดาสองทีอย่างเป็นธรรมชาติ "ส่งโชแล้วไม่ต้องรอรับนะ คืนนี้จะค้างกับเพื่อน" โชติรสบอกคนขับรถของที่บ้านทันทีที่ขึ้นรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด บิดาของเธอไม่เคยห้ามว่าลูกสาวจะเที่ยวสุดเหวี่ยงข้ามคืนแค่ไหน ขออย่างเดียวต้องให้คนขับรถขับให้ห้ามขับเอง หญิงสาวไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่ออกมาปาร์ตี้กับเพื่อน ก็เมาแอ๋จนจำชื่อตัวเองแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ขับรถเองเลย คืนนี้หญิงสาวสวมเสื้อคลุมออกจากบ้าน แตแต่พอมาถึงร้านก็ถอดเสื้อคลุม เสื้อที่โชติรสสวมคืนนี้เป็นสีดำ มองด้านหน้าปิดมิดชิดจนถึงปลายคาง แต่ด้านหลังคือเปลือยเปล่าเว้าลงไปจนถึงเนินสะโพก เผยแผ่นหลังขาวผ่องนวลเนียนไร้ไฝฝ้าราคี ที่ชวนให้หายใจสะดุดคือทุกครั้งที่หญิงสาวขยับตัว ด้านข้างของชุดจะเผยให้เห็นฐานหน้าอกวับแวบชวนให้จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน "แซ่บไม่แผ่วเลยนะมึง...อีโช" ยลดาหรือแยมเอ่ยแซวเพื่อนรัก พวกเธอสนิทกันชนิดที่สามารถพูดมึงกูใส่กันได้ เธอเป็นคนคะยั้นคะยอให้โชติรสที่เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ออกมาปาร์ตี้ด้วยกันให้ได้ในคืนนี้ ร้านนี้พี่ชายของยลดาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และเพราะรุ่นพี่คนหนึ่งของพี่ชายเพิ่งกลับมาจากลอนดอน เขาจึงเหมาโต๊ะในโซนวีไอพีไว้ทั้งหมดเพื่อฉลองให้เพื่อนรุ่นพี่คนนั้น "เพื่อนพี่ยศยังไม่มา แต่มันบอกว่าใครมาแล้วให้ขึ้นไปชั้นลอยได้เลย เขาเหมาไว้หมดแล้ว" "แต่กูไม่รู้จักเจ้าของงาน ไม่น่าเกลียดจริง ๆหรือมึง" "ก็เพราะไม่รู้จักน่ะสิถึงได้ชวนมา จะได้รู้จักกันไว้" ยลดาหัวเราะ "อีกอย่างมีคนมาเยอะ ๆ เขาคงยิ่งชอบ ใครจะอยากปาร์ตี้เหงา ๆ ล่ะจริงปะ" พูดพลางดึงแขนเพื่อนให้เดินขึ้นไปชั้นลอยด้วยกัน ยศกรพี่ชายของยลดาเห็นเพื่อนน้องสาวก็เข้ามาทักด้วยความดีใจและดูแลให้สาว ๆ มีเครื่องดื่มพร้อมในมือ "เพื่อนพี่ยศเป็นใครหรือคะ" แอร์โฮสเตสสาวถามอย่างชวนคุยมากกว่าจะสนใจจริงจัง แต่ยศกรดูภูมิใจมากที่จะบอก "พี่บอม รู้จักกันตอนพี่ไปเทคคอร์สที่ลอนดอน โชรู้จักไหม บพิตร บ่อภักดีน่ะ" "คุ้นๆ นะคะ" หญิงสาวตอบ ยลดาย่นจมูก เอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง "อะไรบ่อ ๆ นะ ทำไมฟังดูบ้านนอกจัง เศรษฐีภูธรเหรอ" "นอกหรือในไม่รู้ รู้แต่ว่าโคตรหล่อ โคตรรวย แล้วก็โคตรป๋ามาก ตอนอยู่ลอนดอนพี่บอมแกมีฉายาว่าป๋าเพราะแกใจกว้างสุด ๆ" "ทำอะไรถึงรวยล่ะ" ยลดาถามอีก ยศกรมองหน้าน้องสาวพลางถอนหายใจเหมือนว่ายัยแยมนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย "แกเสิร์ชกูเกิ้ลดูสิไอ้แยม พ่อพี่บอมชื่อบรรพ์ บอใบไม้ รอหัน พอพานการันต์ นามสกุลบ่อภักดี" ยลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ไม่ได้อยากรู้มากนักแค่ทำไปเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเห็นโปรไฟล์ของนายบรรพ์ บ่อภักดี ปรากฏขึ้นมาเป็นพรืด เธอก็ถึงกับเงยหน้ามองพี่ชาย "โม้แล้ว เพื่อนพี่ยศคือลูกชายคนนี้เหรอ คนนี้โคตรรวยเลยนะ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ" "ก็เออน่ะสิ...เฮ้ยโน่นไง พี่เขามาแล้ว" ยศกรยิ้มดีใจเมื่อหันไปเห็นรุ่นพี่ที่เคารพรักเดินผ่านประตูผับเข้ามา ชายหนุ่มสั่งพนักงานไว้แล้วว่าถ้าแขกวีไอพีของตัวเองมาถึงให้ต้อนรับเป็นอย่างดี กระนั้นเขาก็รีบเดินไปต้อนรับด้วยตัวเอง "พี่บอม ๆ ทางนี้พี่!""นายก็ไม่ได้ดีไปกว่าแฟนเก่าฉันหรอก เห็นแก่ตัวเหมือนกัน คิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกัน และก็...ตอแยฉันไม่เลิกเหมือนกัน""ฉันไม่ได้..."อธิปนึกอยากจะเถียง แต่จำนนด้วยหลักฐาน เขายอมปล่อยมือออกจากเอวบางอย่างเสียดายแต่ยังไม่ยอมก้าวห่างไปไหน "ฉันไม่เหมือนแฟนเก่าเธอ เพราะฉันยังไม่มีพันธะอะไรกับใคร""คุณโชติรสได้ยินแบบนี้เธอคงยิ้มดีใจสินะ""ฉันกับโช เราไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น"อธิปแก้ตัว แล้วเขาก็รู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมานิดๆ ทันทียังไม่นับว่าตอนนี้ลลิตราก็มองมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน...เขามันทุเรศจริงๆ"ช่างฉันเถอะ ฉันมาคุยเรื่องของเรา...อย่าบอกนะว่าเธอไม่เคยรู้สึกกับฉันเลยสักครั้ง..."อธิปยังดื้อดึง ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากคนตรงหน้ารวดเร็วจนเธอผงะหนีแทบไม่ทัน"เธอรู้สึก ฉันดูออก... ไม่ต้องอายหรอกเพราะฉันก็รู้สึก ฉันแทบบ้าที่รู้ว่าเธออยู่ใกล้แค่นี้แต่ทำอะไรไม่ได้...และฉันไม่คิดจะอดทนอีกต่อไป เธอ...ลูกอม...แฟนเก่าเธอมันแต่งงานไปแล้ว แต่ฉันยังว่าง ฉันให้เธอได้ทุกอย่างขอแค่เธอ..."อธิปละไว้ในฐานที่เข้าใจ ลลิตราแค่นหัวเราะ "นายนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ""แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะ เยส หรือ โน""แป
"ก็ฉันไม่คิดว่าจะเป็นนายนี่!"ลลิตราเถียง มือยกจับคอเสื้อโดยอัตโนมัติ นึกโล่งอกที่ยังสวมเสื้อชั้นใน และเสื้อนอนผ้าฝ้ายก็ไม่ได้บางจนหมิ่นเหม่"ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วเธอเปิดประตูให้ใคร""เปิดให้น้องโอมมั้ง!" หญิงสาวประชด แต่อธิปกลับสีหน้าจริงจัง"ไม่ต้องมากวน! เธอกำลังรอใคร? ถึงได้รีบเปิดประตูแบบไม่คิดอย่างนั้น""เอ๊ะ! มันเรื่องของฉันนะ นายออกไปได้แล้ว มีอะไรไปคุยกับพรุ่งนี้""แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอตอนนี้ เดี๋ยวนี้""ฉันไม่สะดวก"ลลิตราตอบเสียงแข็ง ตามองออกไปนอกประตู หวังให้น้ำตาลหรือแม้แต่น้ำค้างก็ได้ เดินถือถาดอาหารเข้ามาขัดจังหวะอีกเช่นเคยแต่ท่าทางของเธอทำให้อธิปไม่พอใจเพราะคิดว่าเธอกำลังรอใครอยู่จริงๆ เขายื่นแขนที่ยาวกว่าและมีกำลังมากกว่าปิดประตูใส่หน้าเธอดังโครม แถมยังกดล็อกเสร็จสรรพ"นายอธิป! อย่ามาทำตัวแบบนี้กับฉันนะ!""ทำตัวแบบไหน"อธิปเลิกคิ้ว สีหน้ายียวน แต่แววตาที่เข้มขึ้นบ่งบอกว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ยั่วล้อมีอะไรบางอย่างในท่าทีนั้นที่ทำให้ลลิตรารู้สึกขึ้นมาว่าวันนี้เขาเอาจริง!ถ้อยคำแรงๆ ที่ตั้งใจจะพูดในตอนแรกจึงถูกกลืนกลับไปทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ทำใจดีสู้เสือ"นาย...ค
คืนนั้นโชติรสค้างคืนกับอธิปเหมือนเคยแอร์โฮสเตสสาวฉลาดมากพอที่จะรับรู้ได้ว่า แม้ร่างกายของเขาจะยังคงทำงานอย่างเร่าร้อนและมอบความสุขให้เธอล้นปรี่ แต่หัวใจของอธิปไม่ได้อยู่ที่เธอเลยเขาแทบไม่จูบเธอเลยด้วยซ้ำโชติรสรู้สึกเจ็บหน่วงในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และคนที่รักตัวเองมากอย่างเธอไม่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนี้แต่ขออีกสักครั้งก่อนเถอะ ขออยู่กับเขาอีกสักคืน อีกสักวัน แล้วเธอค่อยตัดใจ โชติรสบอกตัวเองแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา* * * * *ลลิตราไม่ได้เจอหน้าอธิปมาหลายวันแล้ว วันแรกๆ เธอยังเผลอหวาดระแวง กลัวว่าจู่ๆ เขาก็จะโผล่มาแบบไม่ให้สุุ้มให้เสียงเหมือนครั้งก่อนๆ แต่เมื่อได้ยินว่าอธิปไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้วจริงๆ เธอจึงค่อยสบายใจขึ้นอย่างน้อยก็ไม่ต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนสลับหนาวเหมือนคนจะเป็นไข้ในแทบทุกครั้งที่ได้สบตากับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นลลิตราค่อนข้างแน่ใจว่าดวงตาของอธิปเป็นสีฟ้าสดใสแบบน้ำทะเลในวันไร้คลื่นลม แต่ไม่รู้ทำไมเธอมักได้เห็นมันกลายเป็นสีฟ้าเข้มเหมือนกลางทะเลลึกทึ่พร้อมจะดูดกลืนเธอลงไปได้่เสมอและที่ทำให้เธอตัวสั่นคือสายตาแบบนั้น ราวกับมีไว้เพื่อจ้องมองเธอเพียงผู้เดียวหญิงสาวค
"เดี๋ยวชล! ผมอธิบายได้!"จะมีสักกี่ประโยคกันเชียวที่คนเรานึกโพล่งออกมาในสถานการณ์แบบนี้"ไม่ต้องอธิบาย! ถ้าอยากอธิบายค่อยไปพูดต่อหน้าอีนี่ บอกมามันอยู่ที่ไหน!""จะบ้าหรือไงคุณชล จะไปหาเขาทำไม...""ปกป้องมันเหรอ!"ชลธิชาที่อดทนอดกลั้นได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีโผเข้าทุบตีกิตติทัศน์ทันที ชายหนุ่มรีบยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน เวลาชลธิชาโกรธ เธอน่ากลัวร้อยเท่า แต่เวลาความโกรธนั้นผสมกับความหึงหวง ก็คูณพันเท่าไปเลย"คุณท้องแก่อยู่นะ! ระวังลูกบ้างสิ""จำได้เหมือนกันเหรอว่ามีเมียมีลูกแล้วนะ! แล้วยังจะกล้ากลับไปหามันอีก เลวๆๆ!!!"หญิงสาวกรีดร้องไม่สนว่ากี่โมงกี่ยาม และยิ่งไม่ห่วงใยว่าจะกระทบกระเทือนลูกในครรภ์ กิตติทัศน์เสียอีกยังรู้สึกกลัวว่าเธอจะทำอะไรรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง "ชล! ผมบอกแล้วไงว่าหยุดก่อน! คุยกันก่อน!""ไม่!"ยิ่งห้าม ชลธิชาก็ยิ่งกรีดร้อง กิตติทัศน์กำลังละล้าละลังคิดว่าจะวิ่งหนีออกไปเลยดีหรือไม่ แต่พลันนั้นชลธิชาก็หยุดชะงัก ตาเบิกกว้าง..."ชล..."ชายหนุ่มใจหายวาบ ทำไมจู่ๆ ชลธิชาทำหน้าแบบนั้น เขาเริ่มจะกลัวแล้วนะก่อนที่กิตติทัศน์จะคิดไปเองว่าเมียโดนผีเข้ากะทันหัน ชลธิชาที่หน้าซีดข
เคยคบหากันมาตั้งหลายปี แต่ลลิตราก็เพิ่งรู้ว่ากิตติทัศน์เป็นคนช่างตื๊อได้ขนาดนี้เขาไม่เพียงหาทางส่งข้อความมาหาเธออยู่เรื่อย ๆ ยังไร้มารยาทถึงขั้นกลับมาที่บ้านรชตเพื่อขอพบเธออีกครั้ง แน่นอนว่าลลิตราไม่ยอมออกไปพบ เธอทั้งไม่สบายใจระคนโมโห จนต้องพิมพ์ไลน์ไปฟ้องเพื่อนในกลุ่มไลน์ที่มีกันอยู่สามคนคือเธอ กันตา และอมาวสีกันตา: เดี๋ยวฉันไปด่ามันให้เองกันตาญาติผู้น้องของกิตติทัศน์พิมพ์ตอบกลับมาพร้อมสติ๊กเกอร์รูปโมโหลูกอม: ไม่ต้องด่าไอ้เกี๊ยว ไม่ต้อง ฉันแค่มาบอกแกเฉยๆ เพราะฉันหงุดหงิดลูกอม: กำลังคิดอยู่ว่าหรือจะยอมไปเจอสักครั้งดี ไปคุยกันให้รู้เรื่องอีกสักที เพราะจะว่าไปตั้งแต่เลิกกันก็ยังไม่เคยคุยกันดีๆ อีกเลยอุ๋ม อมาวสี: แต่ไอ้พี่ติมันแต่งงานไปแล้วนะแก ไปเจอแฟนเก่าที่มีเมียแล้วมันจะดีหรอวะอุ๋ม อมาวสี: งั้นเดี๋ยวฉันสองคนไปด้วยดีไหม ไปคุยให้เด็ดขาดว่าไม่ต้องมายุ่งกันอีก ฉันเดาว่าไอ้พี่ติมันคงอยากจับปลาสองมือ มันคงไม่รู้ว่าแก move on ไปแล้วลลิตราเห็นด้วยกับเพื่อนเธอจึงยอมตอบข้อความของกิตติทัศน์ นัดหมายเขาที่คอมูนิตี้ฮอล์ชื่อดังแห่งหนึ่งที่อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า ตั้งใจจะคุยให้เด็ดขาดว่าไม่ต
ในห้องโดยสารชั้นประหยัด เที่ยวบินจากกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ชายร่างสูงผิวขาวจัด ผมดำ สวมแว่นตาดำ และสวมสูทเนี้ยบเรียบกริบไม่มีที่ติ ตั้งแต่เข้าขึ้นเครื่องมา โชติรสยังไม่เห็นเขาถอดแว่นกันแดดออกเลย แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะผู้โดยสารบางคนก็มีอาการตาแพ้แสงที่แปลกมากกว่าคือบุคลิกและวิธีการพูดจาของเขาเหมือนผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่เธอคุ้นชินมากกว่า"ขอบใจนะโช ที่มาช่วย"เพื่อนแอร์โฮสเตสด้วยกันเอ่ยกับหญิงสาวเมื่ออยู่ในห้องจัดเตรียมเครื่องดื่ม ปกติโชติรสได้ดูแลลูกค้าในชั้นธุรกิจและเฟิร์สคลาส วันนี้เป็นกรณีพิเศษของเธอ"ไม่เป็นไรหรอก ผู้โดยสารชั้นประหยัดไม่ค่อยรีเควสอะไรหรอก"หญิงสาวเอ่ยขำๆ เพื่อนหัวเราะเบาๆ ด้วย "แต่ผู้ชายคนนั้น ท่าทางหล่อนะ ไม่เห็นถอดแว่นสักที"จู่ๆ เพื่อนก็เอ่ยถึงคนที่โชติรสเพิ่งนึกถึงเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าในบรรดาผู้โดยสารเกือบทั้งลำ เขาก็ยังดูโดดเด่นที่สุด"ถ้าถอดแว่นแล้วอาจจะไม่หล่อก็ได้มั้ง""วุ้ย! ใครจะไปหล่อเท่าคุณอธิปล่ะ จริงปะ"เพื่อนเอ่ยแซว เพราะรู้กันทั่วแล้วว่าโชติรสเป็นคนรักของอธิป รชต ลูกชายเจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัทในเครือสยามเจ็ตแอร์ไลน์โชติรสยิ้มนิดๆ พอให้น่าเอ็