"ก็หรือไม่จริง นี่ถ้าแกไม่เกิดพลาดขึ้นมา ฉันคงจะไล่มันออกโทษฐานที่มาเจาะไข่แดงลูกสาวฉัน เผลอ ๆ จะจับมันเข้าคุกด้วย"
"ชลอายุ 27 แล้วนะ แม่จะเอาติเข้าคุกข้อหาอะไรไม่ทราบ" "ถ้าฉันจะทำ จะข้อหาอะไรก็หายัดมันได้ทั้งนั้นแหละ" วิภาตอบตาเขียว หล่อนมีลูกสาวแค่สองคนคือชลธิชา กับโชติรส ลำพังไม่มีลูกชายให้ตระกูลสามี ก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว นี่ลูกสาวคนโตยังจะท้องก่อนแต่ง แถมพ่อของเด็กก็เป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทตัวเอง หล่อนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เกือบเดือน กระทั่งตอนนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ชลธิชาหน้างอที่แม่ว่าคนรัก ส่วนโชติรสก็ยังคงยิ้มขัน เธอสนุกเสมอเวลาได้เห็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่กับพี่สาวโต้คารมกัน วิภาหันมาตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กบ้าง "แล้วแกล่ะ มานั่งเจ๋อทำอะไร ไม่ต้องรีบไปสนามบินหรือไง เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถมันติดหนักนะยะโดยเฉพาะเส้นนั้นน่ะ" "แหมแม่ โชเป็นแอร์ฯ นะ คนเป็นแอร์ฯ ไม่รู้จักบริหารเวลา ไปไม่ทันเช็คอินก็ตลกตายล่ะ" "เออ ๆ ลูกแต่ละคนมันเก่งกันทั้งนั้น แล้วพักบินทั้งทีแทนที่จะอยู่บ้าน จะไปทำไมนักหนาก็ไม่รู้กรุงเทพฯ น่ะ" "แล้วกรุงเทพไม่ใช่บ้านหรือไงล่ะ" "บ้านป๊าแกกับอีพวกกะหรี่ปั๊บพวกนั้นน่ะเหรอ อย่างนั้นฉันไม่เรียกว่าบ้านหรอก ฉันเรียกว่าซ่อง" วิภาพูดถึงสามีกับบรรดาเมียรองของเขาทีไรก็เป็นฟืนเป็นไฟพูดจาแรง ๆ ขึ้นมาทุกที โชติรสรีบลุกขึ้นก่อนแม่จะด่าพ่อให้ฟังยาวเหยียดกว่านี้ "โชไปดีกว่า แล้วจะบอกป๊าให้นะคะว่าแม่ฝากความคิดทึ้งคิดถึงมาให้..." วิภาหยิบหมอนปาใส่ลูกสาวคนเล็กแต่ไม่โดนเพราะโชติรสหลบทัน แอร์โฮสเตสสาววัยเพียง 25 ปีหัวเราะคิกคักพอใจที่ยั่วแม่ได้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน คนเป็นแม่ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาลูกสาวคนโตที่ยืนทำตาปรอย ๆ อยู่หน้ากระจก วิภาถอนหายใจก่อนจะเรียกช่างคนสนิทให้เข้ามาทำงานต่อ แม้จะรังเกียจเดียดฉันท์ลูกเขยคนนี้มากแค่ไหน แต่ถึงยังไงหน้าที่แม่ก็ต้องช่วยให้งานแต่งของลูกสาวสำเร็จออกมาอย่างสวยงามที่สุดให้ได้นั่นแหละ * * * * * สนามบินสุวรรณภูมิ อธิปรู้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ลอนดอนตอนนี้ หนาวจนอุณหภูมิแค่องศาเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็น "สภาพ" ของเพื่อนรักที่เดินเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เขาก็ถึงกับหยิบแว่นกันแดดสีดำมาสวม เมินเฉย และเตรียมจะหันหลังกลับ "อาร์ตี้! เฮลโล่ คัมมอนเบบี้ ไอมิสยูโซมัชหั่นหนี..." "ไอ้เวร กูไม่รู้จักมึง" อธิปคำราม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหนุ่มร่างสูงเท่า ๆ กันกับเขาคนที่มีผมสีทองยาวเคลียบ่าคนนั้นกระโดดยาว ๆ มาถึงตัวเขาแล้วสวมกอดอย่างแนบแน่นทันที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอธิปยังสามารถถูกคนที่สวมเสื้อโค้ทตัวหนาโอบแทบมิด โอเวอร์โค้ทขนเป็ดหนานุ่มสีแดงสดยาวถึงเข่าสวมทับสเวตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้มดูเหมือนต้นคริสมาสต์เดินได้ ท่อนบนยังพอทน แต่ท่อนล่างที่เป็นกางเกงหนังสีดำเป็นมันเงากับรองเท้าบู๊ตหนังสีเหลืองทอง ทุกอย่างมันดูหวือหวาจัดจ้านจนไม่แปลกที่ผู้โดยสารทุกคนที่เดินออกมาพร้อมกันยังคงอดปรายตามองซ้ำไม่ได้ทั้งที่เดินทางด้วยกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว "ไอ้บอม ปล่อยกู กูกลัวแล้ว" "จูบทีแล้วกูจะปล่อย" บอมหรือบพิตรเอ่ยอย่างร่าเริงด้วยเสียงไม่เบา แอร์โฮสเตสสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางผ่านไปพร้อมกันสี่ห้าคนถึงกับเหลือบมองพวกเขาแล้วหันไปหัวเราะคิกคักให้กัน "จูบเตี่ยมึงสิ ปล่อยได้แล้วไอ้เวร เสียเวลา" อธิปอดด่าไม่ได้ บพิตรยอมปล่อยไม่ใช่เพราะโดนด่าพ่อ แต่เพราะมือจะได้ว่างเสยผมทั้งสองข้างด้วยท่วงท่าที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิต "ขอต้อนรับกลับเมืองไทยครับเบ่บี๋" "กูต้องพูดมั้ย ไม่ใช่มึง" อธิปว่าเข้าให้อีก บพิตรส่งยิ้มให้สาว ๆ ที่เผลอเหลือบมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด ใครที่จิตแข็งหน่อยก็อาจจะส่งยิ้มกลับมาให้ แต่ส่วนมากจะก้มหน้างุดแล้วรีบ ๆ เดินไปให้ไกลสองหนุ่มมากที่สุด...ทั้งที่จะว่าไปสองคนนี้รูปร่างหน้าตาระดับประกวดมิสเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนลได้เลย "ทำไมต้องให้กูมารับด้วย แถมยังไม่ให้บอกพ่อกับแม่มึงอีก" อธิปถามระหว่างที่ช่วยเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าเดินทางหนักอึ้งออกมาตามทางเดินเพื่อจะไปลานจอดรถ ในใจก็คะเนว่ารถของเขาจะใส่กระเป๋าของบพิตรได้หมดหรือเปล่า ถ้ารถสปอร์ตใส่ได้ไม่หมด ก็จะขนแต่กระเป๋า ทิ้งให้ไอ้บอมหารถตามไปเองก็แล้วกัน สภาพมันตอนนี้เอาไปปล่อยไว้กลางทะเลทรายคงยังไม่หลงเลยมั้ง ยังไงดาวเทียมก็หาเจอ "เซอร์ไพรส์ไง ไม่รู้จักเหรอเซอร์ไพรส์" "ก็แม่มึงเขาเป็นคนเรียกมึงกลับมาเองเขายังจะเซอร์ไพรส์อีกหรอ" "เออ มันก็ใช่ แต่กูไม่ยอมบอกไงว่าจะเป็นวันไหนไฟลต์ไหน ขอไปปาร์ตี้ให้หนำใจก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน" บพิตรเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว "นั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ" "เหนื่อยอะไร กูนั่งชั้นหนึ่ง กินแล้วก็นอนมาตลอดทาง จนอยากยืดเส้นยืดสายจะตายอยู่แล้วเนี่ย" บพิตรเอ่ยอย่างคึกคัก แค่สองเท้าสัมผัสแผ่นดินกรุงเทพฯ ก็พร้อมจะออกฉลองได้ทันที แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างอธิปก็ยังส่ายหน้า อธิป บพิตร ชนะศึก และไม้เอก ทายาทชายทั้งสี่จากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย พวกเขาสนิทกันตอนเรียนมัธยมฯ ที่โรงเรียนประจำชายล้วนในนิวซีแลนด์ การที่แต่ละครอบครัวส่งลูกชายไปเรียนที่เดียวกัน ปีเดียวกัน ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทายาททั้งสี่คนนั้นก็ได้คบหาเป็นเพื่อนกันอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงตอนนี้ * * * * * "อ้าว จะออกไปไหนอีกล่ะโช เพิ่งมาถึงไม่ใช่เหรอ" ชาญเอ่ยถามลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ คิดว่าเย็นนี้ลูกจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับครอบครัว แต่โชติรสที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านหันมายิ้มหวานให้ "ไปหาเพื่อนน่ะป๊า" "ไม่คิดจะพักบ้างหรือลูก ช่วงพักร้อนป๊านึกว่าจะอยู่ติดบ้านบ้าง" คนเป็นลูกสาวหัวเราะคิก "แม่กับป๊านี่พูดเหมือนกันเด๊ะเลย เหมือนกันขนาดนี้ เวลาเจอกันไม่น่าทะเลาะกันเลยนะ" "ป๊าเคยทะเลาะกับแม่เขาที่ไหน แม่ต่างหากที่ทะเลาะกับป๊าเรื่อย" นายชาญตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามอุปนิสัย แม้เป็นคนทำงานหนัก เขี้ยวลากดินในทางธุรกิจ แต่บุคลิกส่วนตัวกลับแพรวพราวมีเสน่ห์เหมือนหนุ่มรุ่น ๆ ที่รักสนุก รายชื่อเมียเล็กเมียน้อยของเขาจึงยาวเป็นหางว่าว นี่ถ้าไม่เพราะเตี่ยของเขาเคยสอนไว้ว่า 'จะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่ถ้าลื้อจะมีลูก ลูกต้องมีแม่คนเดียวกันเท่านั้น' เขาก็คงมีพี่น้องต่างแม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนอีกเป็นโขยง ก็ไม่เข้าใจว่าวิภา เมียรักเมียแต่งของเขาจะงอนอะไรนักหนา งอนจนไม่ยอมมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาออกจะรักลูกรักเมีย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีก็ต้องเป็นของชลธิชากับโชติรสแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้จะแบ่งให้ใครสักหน่อย "โชไปก่อนนะป๊า ถ้าดึกเกินไปอาจจะนอนกับแยมนะ" แอร์โฮสเตสสาวยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มบิดาสองทีอย่างเป็นธรรมชาติ "ส่งโชแล้วไม่ต้องรอรับนะ คืนนี้จะค้างกับเพื่อน" โชติรสบอกคนขับรถของที่บ้านทันทีที่ขึ้นรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด บิดาของเธอไม่เคยห้ามว่าลูกสาวจะเที่ยวสุดเหวี่ยงข้ามคืนแค่ไหน ขออย่างเดียวต้องให้คนขับรถขับให้ห้ามขับเอง หญิงสาวไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่ออกมาปาร์ตี้กับเพื่อน ก็เมาแอ๋จนจำชื่อตัวเองแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ขับรถเองเลย คืนนี้หญิงสาวสวมเสื้อคลุมออกจากบ้าน แตแต่พอมาถึงร้านก็ถอดเสื้อคลุม เสื้อที่โชติรสสวมคืนนี้เป็นสีดำ มองด้านหน้าปิดมิดชิดจนถึงปลายคาง แต่ด้านหลังคือเปลือยเปล่าเว้าลงไปจนถึงเนินสะโพก เผยแผ่นหลังขาวผ่องนวลเนียนไร้ไฝฝ้าราคี ที่ชวนให้หายใจสะดุดคือทุกครั้งที่หญิงสาวขยับตัว ด้านข้างของชุดจะเผยให้เห็นฐานหน้าอกวับแวบชวนให้จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน "แซ่บไม่แผ่วเลยนะมึง...อีโช" ยลดาหรือแยมเอ่ยแซวเพื่อนรัก พวกเธอสนิทกันชนิดที่สามารถพูดมึงกูใส่กันได้ เธอเป็นคนคะยั้นคะยอให้โชติรสที่เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ออกมาปาร์ตี้ด้วยกันให้ได้ในคืนนี้ ร้านนี้พี่ชายของยลดาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และเพราะรุ่นพี่คนหนึ่งของพี่ชายเพิ่งกลับมาจากลอนดอน เขาจึงเหมาโต๊ะในโซนวีไอพีไว้ทั้งหมดเพื่อฉลองให้เพื่อนรุ่นพี่คนนั้น "เพื่อนพี่ยศยังไม่มา แต่มันบอกว่าใครมาแล้วให้ขึ้นไปชั้นลอยได้เลย เขาเหมาไว้หมดแล้ว" "แต่กูไม่รู้จักเจ้าของงาน ไม่น่าเกลียดจริง ๆหรือมึง" "ก็เพราะไม่รู้จักน่ะสิถึงได้ชวนมา จะได้รู้จักกันไว้" ยลดาหัวเราะ "อีกอย่างมีคนมาเยอะ ๆ เขาคงยิ่งชอบ ใครจะอยากปาร์ตี้เหงา ๆ ล่ะจริงปะ" พูดพลางดึงแขนเพื่อนให้เดินขึ้นไปชั้นลอยด้วยกัน ยศกรพี่ชายของยลดาเห็นเพื่อนน้องสาวก็เข้ามาทักด้วยความดีใจและดูแลให้สาว ๆ มีเครื่องดื่มพร้อมในมือ "เพื่อนพี่ยศเป็นใครหรือคะ" แอร์โฮสเตสสาวถามอย่างชวนคุยมากกว่าจะสนใจจริงจัง แต่ยศกรดูภูมิใจมากที่จะบอก "พี่บอม รู้จักกันตอนพี่ไปเทคคอร์สที่ลอนดอน โชรู้จักไหม บพิตร บ่อภักดีน่ะ" "คุ้นๆ นะคะ" หญิงสาวตอบ ยลดาย่นจมูก เอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง "อะไรบ่อ ๆ นะ ทำไมฟังดูบ้านนอกจัง เศรษฐีภูธรเหรอ" "นอกหรือในไม่รู้ รู้แต่ว่าโคตรหล่อ โคตรรวย แล้วก็โคตรป๋ามาก ตอนอยู่ลอนดอนพี่บอมแกมีฉายาว่าป๋าเพราะแกใจกว้างสุด ๆ" "ทำอะไรถึงรวยล่ะ" ยลดาถามอีก ยศกรมองหน้าน้องสาวพลางถอนหายใจเหมือนว่ายัยแยมนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย "แกเสิร์ชกูเกิ้ลดูสิไอ้แยม พ่อพี่บอมชื่อบรรพ์ บอใบไม้ รอหัน พอพานการันต์ นามสกุลบ่อภักดี" ยลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ไม่ได้อยากรู้มากนักแค่ทำไปเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเห็นโปรไฟล์ของนายบรรพ์ บ่อภักดี ปรากฏขึ้นมาเป็นพรืด เธอก็ถึงกับเงยหน้ามองพี่ชาย "โม้แล้ว เพื่อนพี่ยศคือลูกชายคนนี้เหรอ คนนี้โคตรรวยเลยนะ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ" "ก็เออน่ะสิ...เฮ้ยโน่นไง พี่เขามาแล้ว" ยศกรยิ้มดีใจเมื่อหันไปเห็นรุ่นพี่ที่เคารพรักเดินผ่านประตูผับเข้ามา ชายหนุ่มสั่งพนักงานไว้แล้วว่าถ้าแขกวีไอพีของตัวเองมาถึงให้ต้อนรับเป็นอย่างดี กระนั้นเขาก็รีบเดินไปต้อนรับด้วยตัวเอง "พี่บอม ๆ ทางนี้พี่!"อธิปคิดว่าเขาน่าจะพอรอได้จนถึงตีสอง...แต่เพียงแค่เที่ยงคืน เขาก็พาโชติรสนั่งแท็กซี่กลับไปที่เพนท์เฮาส์ของตัวเองทันทีอย่างคนที่ไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป... แค่มองตากันครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้ว่าคืนนี้จะไปลงเอยที่ตรงไหน เขาเองก็ร้อนรุ่มมาทั้งวัน ก็คงตั้งแต่ดันไปจูบยัยลูกสาวแม่เลี้ยงของเขาเข้าให้นั่นแหละโชติรสไม่มีเวลากวาดสายตามองรอบ ๆ เพนท์เฮาส์หรูของอธิปด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่สองร่างผ่านก้าวเข้าประตูห้องได้ อธิปก็แทบจะผลักเธอติดผนัง ลิ้นและริมฝีปากโรมรันพันตูกันอย่างหิวกระหาย เสื้อสีดำของโชติรสแทบปกปิดอะไรไม่ได้ เพียงแค่เขาล้วงมือเข้าไปก็สัมผัสเนินเนื้อข้างใต้ได้แทบทุกอณู"จะทำตรงนี้เลยเหรอคะ"จังหวะหนึ่งที่โชติรสผละริมฝีปากออกห่างเขาเพื่อหอบหายใจ เธอถามเสียงสั่นพร่าอธิปตอบกลับมาเสียงกระเส่าพอกัน "ได้ทุกที่""งั้นขอบนเตียงได้มั้ย โชผิวบางน่ะ"ดวงตาสีฟ้าของอธิปหรี่ลงเล็กน้อย พริบตาเดียวร่างสูงโปร่งของแอร์โฮสเตสสาวก็ถูกอุ้มลอยหวือขึ้นจากพื้น เสียงโชติรสหวีดร้องเบา ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว อธิปอุ้มหญิงสาวก้าวยาว ๆ ไปที่ห้องนอนจุดหมายคือเตียงกว้างขนาดซูเปอร์คิงไซส์ สั่งทำพิเศษสำหรับคนตัวสูงเกื
ยลดามองไปตามสายตาพี่ชาย แล้วก็นิ่งอึ้งไกลขนาดนี้ก็ยังมองเห็นผู้ชายตัวสูงผมยาวย้อมสีทองโดดเด่นแต่ไกลแต่อะไรก็ไม่เท่ากับเสื้อกีฬายี่ห้อดังสีเขียวสะท้อนแสง กางเกงสีส้ม รองเท้าสีเหลือง...บพิตรยิ้มกว้างเห็นฟันขาวทุกซี่มาแต่ไกล ก่อนจะกึ่งกระโดดกึ่งก้าวยาว ๆ ขึ้นมาหายศกรแล้วกระโดดกอดกันอย่างรักใคร่อธิปที่เดินตามหลังมาส่ายหน้า ไม่รู้ทำไมไอ้เพื่อนคนนี้มันดีดนักถ้าไม่รู้จักกันคงคิดว่าบพิตรเป็นพวกเล่นยาเพราะพลังล้นเหลือเหลือเกิน"โหพี่บอม โคตรคิดถึงเลย ไหนว่าจะยังไม่กลับไทยง่าย ๆ ไง""ไม่กลับไม่ได้ แม่กูยึดบัตรเครดิตไปหมดแล้ว อยู่ต่อก็เหี่ยวแห้งหัวโต"บพิตรตอบตามตรงตามประสาคนจริงใจก่อนหันมาแนะนำเพื่อนที่มาด้วย"ไอ้ยอช นี่เพื่อนพี่ชื่ออาร์ต เพื่อนรักเพื่อนสนิทเลย...ไอ้อาร์ตนี่น้องกู รู้จักกันที่ลอนดอน ชื่อไอ้ยอช"ยศกรยกมือไหว้อย่างนอบน้อมผิดกับลูกหลานไฮโซทั่วไปที่เห็นในละครคุณธรรม"หวัดดีครับพี่อาร์ต ผมชื่อยศครับพี่ แต่ตอนอยู่ลอนดอนเพื่อนฝรั่งเรียกยอช พี่จะเรียกผมว่ายอชอีกคนก็ได้ครับ..."อธิพยักหน้าทักทายเพื่อนรุ่นน้องคนใหม่ ไม่แปลกใจทำไมยศหรือยอชถึงสนิทกับบพิตรได้...ท่าทางคงเป็นพวกไฮเปอร์เห
"ก็หรือไม่จริง นี่ถ้าแกไม่เกิดพลาดขึ้นมา ฉันคงจะไล่มันออกโทษฐานที่มาเจาะไข่แดงลูกสาวฉัน เผลอ ๆ จะจับมันเข้าคุกด้วย" "ชลอายุ 27 แล้วนะ แม่จะเอาติเข้าคุกข้อหาอะไรไม่ทราบ" "ถ้าฉันจะทำ จะข้อหาอะไรก็หายัดมันได้ทั้งนั้นแหละ" วิภาตอบตาเขียว หล่อนมีลูกสาวแค่สองคนคือชลธิชา กับโชติรส ลำพังไม่มีลูกชายให้ตระกูลสามี ก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว นี่ลูกสาวคนโตยังจะท้องก่อนแต่ง แถมพ่อของเด็กก็เป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทตัวเอง หล่อนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เกือบเดือน กระทั่งตอนนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ชลธิชาหน้างอที่แม่ว่าคนรัก ส่วนโชติรสก็ยังคงยิ้มขัน เธอสนุกเสมอเวลาได้เห็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่กับพี่สาวโต้คารมกัน วิภาหันมาตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กบ้าง "แล้วแกล่ะ มานั่งเจ๋อทำอะไร ไม่ต้องรีบไปสนามบินหรือไง เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถมันติดหนักนะยะโดยเฉพาะเส้นนั้นน่ะ" "แหมแม่ โชเป็นแอร์ฯ นะ คนเป็นแอร์ฯ ไม่รู้จักบริหารเวลา ไปไม่ทันเช็คอินก็ตลกตายล่ะ" "เออ ๆ ลูกแต่ละคนมันเก่งกันทั้งนั้น แล้วพักบินทั้งทีแทนที่จะอยู่บ้าน จะไปทำไมนักหนาก็ไม่รู้กรุงเทพฯ น่ะ" "แล้วกรุงเทพไม่ใช่บ้านหรือไงล่ะ" "บ้านป๊าแกกับอีพวกกะหรี
ลลิตราสาปส่งอธิปอยู่ในใจมาตลอดทางที่กำลังจะไปห้างสรรพสินค้า ริมฝีปากยังรู้สึกร้อนเห่อ "ไอ้คนต่ำช้าสารเลว" หญิงสาวเผลอคำรามออกมา คนขับรถแท็กซี่ถึงกับสะดุ้งนิด ๆ แล้วมองกระจกมองหลังอย่างหวาดระแวง คงนึกเสียวสันหลังอยู่บ้างไม่น้อย ชั่วโมงต่อมา ลลิตราก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่นัดกับกิตติทัศน์เอาไว้... หญิงสาวมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เธอรีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา หยิบตลับแป้งมาตบหน้าเบา ๆ อีกรอบและแตะลิปกลอสสีส้มใสที่ริมฝีปากอีกครั้ง...พยายามลบลืมความรู้สึกและการกระทำหยาบเถื่อนของนายอธิป เธอกำลังจะมาเจอคนที่ควรจะได้เป็นเจ้าของจูบแรกของเธอตัวจริง ดังนั้นเธอต้องกำจัดรอยร้อนผ่าวจากผู้ชายอีกคนออกไปให้หมด "พี่ติ!" หญิงสาวร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าคนรักมารอที่ร้านอาหารก่อนแล้ว กิตติทัศน์เพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ชายหนุ่มเป็นผู้จัดการฝ่ายขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง โครงการบ้านจัดสรรระดับลักซูรี่เพิ่งเปิดตัวที่เชียงใหม่ กิตติทัศน์จึงต้องไปเทรนด์งานให้ลูกน้องที่นั่นถึงสามเดือนและเพิ่งกลับมา วันนี้ลลิตราตั้งใจจะบอกเขาว่าแม่ของเธอแต่งงานใหม่และพวกเธอได้ย้ายเข้าไปอยู่ใ
อธิปจ้องเธอ สักพักริมฝีปากบางเฉียบสีสดก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์"เธอใช่ไหม มอเตอร์ไซค์คันนั้น"ลลิตรากัดฟันกรอด กำลังจะแหกหน้าเขาด้วยการบอกว่าหมอนี่ขับรถเร็วจนน้ำโคลนกระเซ็นใส่คนริมถนน รถเธอล้ม แถมยังแค่โยนเงินให้ แต่อธิปชิงหันไปหาพ่อของเขาก่อน"ผมจำได้แล้วพ่อ สองสามวันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ขับรถเฉี่ยวมอเตอร์ไซค์ ที่แท้ก็เป็นลูกเลี้ยงของพ่อคนนี้นี่เอง"อรรถสีหน้าตกใจ หันไปหาลลิตราทันที"แล้วหนูเป็นอะไรมากไหม ที่บอกว่าแผลตามตัวเพราะรถล้ม ก็เพราะรถนายอาร์ตเองหรือนี่""ค่ะ แผลใกล้จะหายแล้วค่ะ"ลลิตรายกมือแตะโหนกแก้มที่มีพลาสเตอร์ยาปิดอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ อธิปเอ่ยขึ้นมาอีก"ตอนนั้นผมรีบ ไม่ได้ขอคอนแท็กไว้ ได้เจอกันก็ดีแล้ว วันนี้ฉันจะพาเธอไปหาหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งก็แล้วกัน"หญิงสาวแค่นหัวเราะ คิดว่าเขาพูดเล่น จะมาตรวจอะไรกันตอนนี้ ถ้าสมองเธอกระทบกระเทือนป่านนี้ก็คงตายไปแล้วมั้งแต่อรรถกลับเห็นเป็นเรื่องจริงจัง"ดีแล้ว ดี หนูลูกอม ให้พี่เขาพาไปหาหมออีกครั้งก็แล้วกันนะ ลุงก็ผิดเองไม่ได้ถามให้ละเอียดว่าหนูไปโดนอะไรมา""ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุงอรรถ หนูไม่เป็นไร""เป็นหมอหรือไง ฉันบอกว่าจะพาไ
อธิปพูดสวนขึ้นมา สีหน้าเย่อหยิ่ง"และก็ไม่คิดจะมีแม่เลี้ยงคนใหม่ด้วย มีแค่น้านุชเป็นแม่คนเดียวก็พอ"ลินดาหน้าซีดทันตา อรรถหน้าเครียด"เจ้าอาร์ต! ขอโทษน้าลินดาเดี๋ยวนี้!""ขอโทษทำไมครับ ถ้าเมียใหม่พ่อกล้าพอจะแย่งพ่อมาจากน้านุช คำพูดผมแค่นี้ก็ไม่น่าจะทำอะไรเขาได้นะ""ไอ้ลูกเวรนี่ ถ้าแกจะมาทำให้เสียบรรยากาศ ก็ไปซะ จะไปไหนก็ไป"อรรถตัวสั่น เขาไม่เคยดุด่าลูกชายมากไปกว่านี้ แม้จะโกรธจัดอย่างตอนนี้เขาก็ทำได้แค่ชี้มือชี้ไม้ไล่ลูกชายออกไปไกล ๆ แต่อธิปไม่คิดจะไปไหนทั้งนั้น เขาแค่ผิวปากหวือ คำนับให้ลินดาอย่างล้อเลียน โยนกุญแจรถให้คนรถที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่อีกด้านแล้วก็เดินเข้าตัวบ้านไปไม่ใส่ใจใครอีก ไม่แม้แต่จะมองหญิงสาวคนที่เขาเคยขับรถเฉี่ยวเมื่อไม่กี่วันก่อน...หากเขาจะจำได้"ลินดา ผมเสียใจ"อรรถรีบหันมาบอกภรรยาคนใหม่ ลินดาส่ายหน้ายิ้ม ๆ ทั้งที่หน้ายังไร้สีเลือด"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ ไม่ต้องไปดุลูกชายคุณนะคะ ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งไม่ชอบหน้าฉันกับลูก"อรรถกัดฟันหันมามองหญิงสาวคราวลูกที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ สีหน้ารู้สึกผิด ลลิตราไม่โทษพ่อเลี้ยงของเธอหรอก พวกเขาอยู่กันมาก่อน เธอกับแม่ต่างหากที่มาที