LOGIN"ก็หรือไม่จริง นี่ถ้าแกไม่เกิดพลาดขึ้นมา ฉันคงจะไล่มันออกโทษฐานที่มาเจาะไข่แดงลูกสาวฉัน เผลอ ๆ จะจับมันเข้าคุกด้วย"
"ชลอายุ 27 แล้วนะ แม่จะเอาติเข้าคุกข้อหาอะไรไม่ทราบ" "ถ้าฉันจะทำ จะข้อหาอะไรก็หายัดมันได้ทั้งนั้นแหละ" วิภาตอบตาเขียว หล่อนมีลูกสาวแค่สองคนคือชลธิชา กับโชติรส ลำพังไม่มีลูกชายให้ตระกูลสามี ก็รู้สึกเสียหน้าพออยู่แล้ว นี่ลูกสาวคนโตยังจะท้องก่อนแต่ง แถมพ่อของเด็กก็เป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทตัวเอง หล่อนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เกือบเดือน กระทั่งตอนนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ชลธิชาหน้างอที่แม่ว่าคนรัก ส่วนโชติรสก็ยังคงยิ้มขัน เธอสนุกเสมอเวลาได้เห็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่กับพี่สาวโต้คารมกัน วิภาหันมาตาเขียวใส่ลูกสาวคนเล็กบ้าง "แล้วแกล่ะ มานั่งเจ๋อทำอะไร ไม่ต้องรีบไปสนามบินหรือไง เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถมันติดหนักนะยะโดยเฉพาะเส้นนั้นน่ะ" "แหมแม่ โชเป็นแอร์ฯ นะ คนเป็นแอร์ฯ ไม่รู้จักบริหารเวลา ไปไม่ทันเช็คอินก็ตลกตายล่ะ" "เออ ๆ ลูกแต่ละคนมันเก่งกันทั้งนั้น แล้วพักบินทั้งทีแทนที่จะอยู่บ้าน จะไปทำไมนักหนาก็ไม่รู้กรุงเทพฯ น่ะ" "แล้วกรุงเทพไม่ใช่บ้านหรือไงล่ะ" "บ้านป๊าแกกับอีพวกกะหรี่ปั๊บพวกนั้นน่ะเหรอ อย่างนั้นฉันไม่เรียกว่าบ้านหรอก ฉันเรียกว่าซ่อง" วิภาพูดถึงสามีกับบรรดาเมียรองของเขาทีไรก็เป็นฟืนเป็นไฟพูดจาแรง ๆ ขึ้นมาทุกที โชติรสรีบลุกขึ้นก่อนแม่จะด่าพ่อให้ฟังยาวเหยียดกว่านี้ "โชไปดีกว่า แล้วจะบอกป๊าให้นะคะว่าแม่ฝากความคิดทึ้งคิดถึงมาให้..." วิภาหยิบหมอนปาใส่ลูกสาวคนเล็กแต่ไม่โดนเพราะโชติรสหลบทัน แอร์โฮสเตสสาววัยเพียง 25 ปีหัวเราะคิกคักพอใจที่ยั่วแม่ได้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน คนเป็นแม่ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาลูกสาวคนโตที่ยืนทำตาปรอย ๆ อยู่หน้ากระจก วิภาถอนหายใจก่อนจะเรียกช่างคนสนิทให้เข้ามาทำงานต่อ แม้จะรังเกียจเดียดฉันท์ลูกเขยคนนี้มากแค่ไหน แต่ถึงยังไงหน้าที่แม่ก็ต้องช่วยให้งานแต่งของลูกสาวสำเร็จออกมาอย่างสวยงามที่สุดให้ได้นั่นแหละ * * * * * สนามบินสุวรรณภูมิ อธิปรู้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ลอนดอนตอนนี้ หนาวจนอุณหภูมิแค่องศาเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็น "สภาพ" ของเพื่อนรักที่เดินเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เขาก็ถึงกับหยิบแว่นกันแดดสีดำมาสวม เมินเฉย และเตรียมจะหันหลังกลับ "อาร์ตี้! เฮลโล่ คัมมอนเบบี้ ไอมิสยูโซมัชหั่นหนี..." "ไอ้เวร กูไม่รู้จักมึง" อธิปคำราม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหนุ่มร่างสูงเท่า ๆ กันกับเขาคนที่มีผมสีทองยาวเคลียบ่าคนนั้นกระโดดยาว ๆ มาถึงตัวเขาแล้วสวมกอดอย่างแนบแน่นทันที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอธิปยังสามารถถูกคนที่สวมเสื้อโค้ทตัวหนาโอบแทบมิด โอเวอร์โค้ทขนเป็ดหนานุ่มสีแดงสดยาวถึงเข่าสวมทับสเวตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้มดูเหมือนต้นคริสมาสต์เดินได้ ท่อนบนยังพอทน แต่ท่อนล่างที่เป็นกางเกงหนังสีดำเป็นมันเงากับรองเท้าบู๊ตหนังสีเหลืองทอง ทุกอย่างมันดูหวือหวาจัดจ้านจนไม่แปลกที่ผู้โดยสารทุกคนที่เดินออกมาพร้อมกันยังคงอดปรายตามองซ้ำไม่ได้ทั้งที่เดินทางด้วยกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว "ไอ้บอม ปล่อยกู กูกลัวแล้ว" "จูบทีแล้วกูจะปล่อย" บอมหรือบพิตรเอ่ยอย่างร่าเริงด้วยเสียงไม่เบา แอร์โฮสเตสสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางผ่านไปพร้อมกันสี่ห้าคนถึงกับเหลือบมองพวกเขาแล้วหันไปหัวเราะคิกคักให้กัน "จูบเตี่ยมึงสิ ปล่อยได้แล้วไอ้เวร เสียเวลา" อธิปอดด่าไม่ได้ บพิตรยอมปล่อยไม่ใช่เพราะโดนด่าพ่อ แต่เพราะมือจะได้ว่างเสยผมทั้งสองข้างด้วยท่วงท่าที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิต "ขอต้อนรับกลับเมืองไทยครับเบ่บี๋" "กูต้องพูดมั้ย ไม่ใช่มึง" อธิปว่าเข้าให้อีก บพิตรส่งยิ้มให้สาว ๆ ที่เผลอเหลือบมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด ใครที่จิตแข็งหน่อยก็อาจจะส่งยิ้มกลับมาให้ แต่ส่วนมากจะก้มหน้างุดแล้วรีบ ๆ เดินไปให้ไกลสองหนุ่มมากที่สุด...ทั้งที่จะว่าไปสองคนนี้รูปร่างหน้าตาระดับประกวดมิสเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนลได้เลย "ทำไมต้องให้กูมารับด้วย แถมยังไม่ให้บอกพ่อกับแม่มึงอีก" อธิปถามระหว่างที่ช่วยเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าเดินทางหนักอึ้งออกมาตามทางเดินเพื่อจะไปลานจอดรถ ในใจก็คะเนว่ารถของเขาจะใส่กระเป๋าของบพิตรได้หมดหรือเปล่า ถ้ารถสปอร์ตใส่ได้ไม่หมด ก็จะขนแต่กระเป๋า ทิ้งให้ไอ้บอมหารถตามไปเองก็แล้วกัน สภาพมันตอนนี้เอาไปปล่อยไว้กลางทะเลทรายคงยังไม่หลงเลยมั้ง ยังไงดาวเทียมก็หาเจอ "เซอร์ไพรส์ไง ไม่รู้จักเหรอเซอร์ไพรส์" "ก็แม่มึงเขาเป็นคนเรียกมึงกลับมาเองเขายังจะเซอร์ไพรส์อีกหรอ" "เออ มันก็ใช่ แต่กูไม่ยอมบอกไงว่าจะเป็นวันไหนไฟลต์ไหน ขอไปปาร์ตี้ให้หนำใจก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน" บพิตรเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว "นั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ" "เหนื่อยอะไร กูนั่งชั้นหนึ่ง กินแล้วก็นอนมาตลอดทาง จนอยากยืดเส้นยืดสายจะตายอยู่แล้วเนี่ย" บพิตรเอ่ยอย่างคึกคัก แค่สองเท้าสัมผัสแผ่นดินกรุงเทพฯ ก็พร้อมจะออกฉลองได้ทันที แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างอธิปก็ยังส่ายหน้า อธิป บพิตร ชนะศึก และไม้เอก ทายาทชายทั้งสี่จากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย พวกเขาสนิทกันตอนเรียนมัธยมฯ ที่โรงเรียนประจำชายล้วนในนิวซีแลนด์ การที่แต่ละครอบครัวส่งลูกชายไปเรียนที่เดียวกัน ปีเดียวกัน ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทายาททั้งสี่คนนั้นก็ได้คบหาเป็นเพื่อนกันอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงตอนนี้ * * * * * "อ้าว จะออกไปไหนอีกล่ะโช เพิ่งมาถึงไม่ใช่เหรอ" ชาญเอ่ยถามลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ คิดว่าเย็นนี้ลูกจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับครอบครัว แต่โชติรสที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านหันมายิ้มหวานให้ "ไปหาเพื่อนน่ะป๊า" "ไม่คิดจะพักบ้างหรือลูก ช่วงพักร้อนป๊านึกว่าจะอยู่ติดบ้านบ้าง" คนเป็นลูกสาวหัวเราะคิก "แม่กับป๊านี่พูดเหมือนกันเด๊ะเลย เหมือนกันขนาดนี้ เวลาเจอกันไม่น่าทะเลาะกันเลยนะ" "ป๊าเคยทะเลาะกับแม่เขาที่ไหน แม่ต่างหากที่ทะเลาะกับป๊าเรื่อย" นายชาญตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามอุปนิสัย แม้เป็นคนทำงานหนัก เขี้ยวลากดินในทางธุรกิจ แต่บุคลิกส่วนตัวกลับแพรวพราวมีเสน่ห์เหมือนหนุ่มรุ่น ๆ ที่รักสนุก รายชื่อเมียเล็กเมียน้อยของเขาจึงยาวเป็นหางว่าว นี่ถ้าไม่เพราะเตี่ยของเขาเคยสอนไว้ว่า 'จะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่ถ้าลื้อจะมีลูก ลูกต้องมีแม่คนเดียวกันเท่านั้น' เขาก็คงมีพี่น้องต่างแม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนอีกเป็นโขยง ก็ไม่เข้าใจว่าวิภา เมียรักเมียแต่งของเขาจะงอนอะไรนักหนา งอนจนไม่ยอมมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาออกจะรักลูกรักเมีย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีก็ต้องเป็นของชลธิชากับโชติรสแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้จะแบ่งให้ใครสักหน่อย "โชไปก่อนนะป๊า ถ้าดึกเกินไปอาจจะนอนกับแยมนะ" แอร์โฮสเตสสาวยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มบิดาสองทีอย่างเป็นธรรมชาติ "ส่งโชแล้วไม่ต้องรอรับนะ คืนนี้จะค้างกับเพื่อน" โชติรสบอกคนขับรถของที่บ้านทันทีที่ขึ้นรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด บิดาของเธอไม่เคยห้ามว่าลูกสาวจะเที่ยวสุดเหวี่ยงข้ามคืนแค่ไหน ขออย่างเดียวต้องให้คนขับรถขับให้ห้ามขับเอง หญิงสาวไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่ออกมาปาร์ตี้กับเพื่อน ก็เมาแอ๋จนจำชื่อตัวเองแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ขับรถเองเลย คืนนี้หญิงสาวสวมเสื้อคลุมออกจากบ้าน แตแต่พอมาถึงร้านก็ถอดเสื้อคลุม เสื้อที่โชติรสสวมคืนนี้เป็นสีดำ มองด้านหน้าปิดมิดชิดจนถึงปลายคาง แต่ด้านหลังคือเปลือยเปล่าเว้าลงไปจนถึงเนินสะโพก เผยแผ่นหลังขาวผ่องนวลเนียนไร้ไฝฝ้าราคี ที่ชวนให้หายใจสะดุดคือทุกครั้งที่หญิงสาวขยับตัว ด้านข้างของชุดจะเผยให้เห็นฐานหน้าอกวับแวบชวนให้จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน "แซ่บไม่แผ่วเลยนะมึง...อีโช" ยลดาหรือแยมเอ่ยแซวเพื่อนรัก พวกเธอสนิทกันชนิดที่สามารถพูดมึงกูใส่กันได้ เธอเป็นคนคะยั้นคะยอให้โชติรสที่เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ออกมาปาร์ตี้ด้วยกันให้ได้ในคืนนี้ ร้านนี้พี่ชายของยลดาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และเพราะรุ่นพี่คนหนึ่งของพี่ชายเพิ่งกลับมาจากลอนดอน เขาจึงเหมาโต๊ะในโซนวีไอพีไว้ทั้งหมดเพื่อฉลองให้เพื่อนรุ่นพี่คนนั้น "เพื่อนพี่ยศยังไม่มา แต่มันบอกว่าใครมาแล้วให้ขึ้นไปชั้นลอยได้เลย เขาเหมาไว้หมดแล้ว" "แต่กูไม่รู้จักเจ้าของงาน ไม่น่าเกลียดจริง ๆหรือมึง" "ก็เพราะไม่รู้จักน่ะสิถึงได้ชวนมา จะได้รู้จักกันไว้" ยลดาหัวเราะ "อีกอย่างมีคนมาเยอะ ๆ เขาคงยิ่งชอบ ใครจะอยากปาร์ตี้เหงา ๆ ล่ะจริงปะ" พูดพลางดึงแขนเพื่อนให้เดินขึ้นไปชั้นลอยด้วยกัน ยศกรพี่ชายของยลดาเห็นเพื่อนน้องสาวก็เข้ามาทักด้วยความดีใจและดูแลให้สาว ๆ มีเครื่องดื่มพร้อมในมือ "เพื่อนพี่ยศเป็นใครหรือคะ" แอร์โฮสเตสสาวถามอย่างชวนคุยมากกว่าจะสนใจจริงจัง แต่ยศกรดูภูมิใจมากที่จะบอก "พี่บอม รู้จักกันตอนพี่ไปเทคคอร์สที่ลอนดอน โชรู้จักไหม บพิตร บ่อภักดีน่ะ" "คุ้นๆ นะคะ" หญิงสาวตอบ ยลดาย่นจมูก เอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง "อะไรบ่อ ๆ นะ ทำไมฟังดูบ้านนอกจัง เศรษฐีภูธรเหรอ" "นอกหรือในไม่รู้ รู้แต่ว่าโคตรหล่อ โคตรรวย แล้วก็โคตรป๋ามาก ตอนอยู่ลอนดอนพี่บอมแกมีฉายาว่าป๋าเพราะแกใจกว้างสุด ๆ" "ทำอะไรถึงรวยล่ะ" ยลดาถามอีก ยศกรมองหน้าน้องสาวพลางถอนหายใจเหมือนว่ายัยแยมนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย "แกเสิร์ชกูเกิ้ลดูสิไอ้แยม พ่อพี่บอมชื่อบรรพ์ บอใบไม้ รอหัน พอพานการันต์ นามสกุลบ่อภักดี" ยลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ไม่ได้อยากรู้มากนักแค่ทำไปเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเห็นโปรไฟล์ของนายบรรพ์ บ่อภักดี ปรากฏขึ้นมาเป็นพรืด เธอก็ถึงกับเงยหน้ามองพี่ชาย "โม้แล้ว เพื่อนพี่ยศคือลูกชายคนนี้เหรอ คนนี้โคตรรวยเลยนะ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ" "ก็เออน่ะสิ...เฮ้ยโน่นไง พี่เขามาแล้ว" ยศกรยิ้มดีใจเมื่อหันไปเห็นรุ่นพี่ที่เคารพรักเดินผ่านประตูผับเข้ามา ชายหนุ่มสั่งพนักงานไว้แล้วว่าถ้าแขกวีไอพีของตัวเองมาถึงให้ต้อนรับเป็นอย่างดี กระนั้นเขาก็รีบเดินไปต้อนรับด้วยตัวเอง "พี่บอม ๆ ทางนี้พี่!""ไม่! ฉันคบกับพี่ต้นแล้ว นายจะมาทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว!" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด "ใครอีกล่ะ คราวนี้เธอให้ใครมาเล่นละครอีก" "ครั้งนี้ไม่ใช่ คราวก่อนฉันยอมรับว่าฉันโกหกนาย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แล้ว" "งั้นเหรอ งั้นคราวนี้มันเป็นใครล่ะ" เขาถามอย่างอดทน ทั้งที่อยากกดเธอลงบนเตียงเต็มทีแล้ว ลลิตราขยุ้มคอเสื้อแน่นโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าแค่สายตาของเขาก็จะทำให้เสื้อผ้าเธอหลุดรุ่ยล่อนจ้อนได้ "เขาเป็นรุ่นพี่ของฉันสมัยเรียน ฉันเคยชอบเขามาก่อนแต่ตอนนั้นเราเด็กเกินไปเลยไม่ได้คบกัน ฉันเพิ่งกลับไปเจอพี่ต้นที่ตราด...ใช่ฉันเพิ่งไปเที่ยวทะเลที่ตราดมา โรงแรมนั่นเป็นของพี่ต้น และฉันกับเขาก็...ตกลงเป็นแฟนกัน" อธิปหัวเราะพรืดทั้งที่แววตาไม่ขำด้วยสักนิด ก็เธอเล่นบอกเขาเหมือนท่องเตรียมมาแล้ว "เลิกตั้งแง่ใส่กันเถอะนะลูกอม เราทั้งคู่ก็รู้อยู่แล้วว่าเรารู้สึกยังไงกัน โชติรสไม่ใช่ปัญหาเลย โชก็อยากถอนหมั้นพอ ๆ กับฉันนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะ..." อธิปหยุดไปเล็กน้อย ถอนหายใจ เขาสัญญากับโชติรสว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับ "เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจ ที่ฉันกับโชยังไม่ถอนหมั้นเพราะมัน
"อาร์ต เมื่อไหร่แม่จะได้รู้จักคู่หมั้นของลูกล่ะ"ออเดรย์ถามขึ้นมาระหว่างที่มือกำลังหั่นสเต๊ก ลลิตราทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้น กินอาหารของเธอไปตามปกติแม้จะรู้สึกว่าสายตาของอธิปพุ่งตรงมาที่ตัวเองก็ตามอธิปแทบไม่ชะงักเลยเหมือนกันตอนที่ตอบ"ไม่จำเป็นหรอก เพราะอีกไม่นานผมกับเขาก็จะถอนหมั้นกัน"คราวนี้นายอรรถเงยหน้ามองทันที แม้แต่ลินดาก็ยังอดหันมาด้วยไม่ได้"หมายความว่ายังไง อาร์ต""ตามนั้นแหละครับ"อธิปตอบ ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างใจเย็น และเมื่อเห็นว่าพ่อยังคงจ้องเขาอยู่ เขาจึงขยายความ"ยังไม่เป็นทางการหรอกนะครับพ่อ และยังไม่ได้บอกใคร แต่ผมกับโช เราตกลงกันแล้วว่าถ้าผ่านเรื่องยุ่ง ๆ ไปสักระยะ เราค่อยถอนหมั้นกันเงียบ ๆ""เหตุผล?""เหตุผลก็คือ ผมกับโชไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก เราแค่หมั้นกันด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างคลึ่คลาย เราก็จะคืนอิสรภาพให้กัน""ตอนลูกมาขอให้พ่อไปสู่ขอเขา ลูกไม่ได้พูดแบบนี้นี่"อรรถอดตำหนิไม่ได้ อาจเพราะเขาเห็นว่าบนโต๊ะนี้ก็มีแต่คนกันเองจึงเผลอพูดออกมา"ผมทราบ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว...เอาเป็นว่าผมกับโชเราคิดตรงกัน ผมไม่ได้ทำร้ายใจเธอ ถ้าพ่อคิดว่าผม
ลลิตรากลับจากตราดพร้อมของฝากเกินสองมือจะถือได้ไหว เมื่อรถแท็กซี่มาจอด คมสันต์ต้องวิ่งลงมาช่วยหิ้วด้วยหลายถุง เธอยอมรับกับตัวเองว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่สามารถจับจ่ายอะไรได้มือเติบแบบนี้"ฉันซื้อขนมของกินมาฝาก เดี๋ยวคมสันต์แบ่งไปได้เลยนะจ๊ะ"ลลิตราบอก รปภ. หนุ่มรุ่นน้อง คมสันต์ตะเบ๊ะแข็งขัน"ครับผม ขอบคุณครับ""แม่อยู่บ้านใช่ไหมจ๊ะ"เธอถามทั้งที่ก็รู้ว่าลินดาคงไม่ได้มีธุระที่ไหน แม่ของลลิตราไม่ใช่คนชอบเที่ยว แม้อรรถจะคะยั้นคะยอให้ออกไปใช้เงินบ้างแต่ลินดาก็พอใจจะนั่งดูโทรทัศน์อยู่บ้าน และเดี๋ยวนี้หล่อนกลับมาถักไหมพรมอีกครั้งอย่างที่จิตแพทย์เคยแนะนำ เวลาเดียวที่ลินดาจะออกไปห้างสรรพสินค้าก็คือตอนที่จะไปซื้อไหมพรมเซ็ตใหม่ ๆ นั่นแหละ"ครับผม คุณผู้ชายก็อยู่ครับ""คุณอรรถอยู่บ้านงั้นหรือ"ลลิตราแปลกใจเพราะนี่ไม่ใช่วันหยุด ปกติอรรถยังไม่กลับจากบริษัทเลยไม่ใช่หรือ คมสันต์รีบอธิบายต่อ"ตอนแรกมีแขกมาหาคุณผู้หญิงครับ แล้วสักพักคุณผู้ชายก็รีบกลับมา""แขก? มาหาแม่เหรอ""ครับ มาหาคุณลินดาครับ คุณผู้ชายโทรบอกผมเองว่าให้เข้าไปได้"คมสันต์รีบบอกเพราะกลัวจะโดนตำหนิว่าปล่อยคนแปลกหน้าเข้าบ้านโดยพลการลลิต
เดินทางมาถึงตอนที่ 109 แล้ว สำหรับเรื่องพาล แต่ตลอดร้อยกว่าตอนมานี้ ไรต์ยังไม่เคยได้อ่านคอมเมนต์นักอ่านเลยนะเชื่อปะ เป็นไปได้ว่าไม่มีใครอ่าน ๕๕ และยอดวิวก็คงเป็นของไรต์เองนี่แหละที่คลิกเข้ามาอ่านนิยายตัวเองไรต์จะพยายามเขียนให้จบ ถึงมีคนอ่านแค่คนเดียวก็ตาม (แต่อาจช้าหน่อยเพราะต้องไปหาค่าน้ำค่าไฟด้วย) ถ้าได้เจอกันในภายภาคหน้า ฝากนิยายของไรต์ด้วยเช่นเคยนะคะ ขอบคุณค่ะ แวมไพร์ปีกดำ(ลีขิตา).
"พี่ต้น!""ลูกอมจริง ๆ ด้วย! ไม่อยากจะเชื่อเลย"ตระการยิ้มกว้าง ดวงตาสีดำส่องประกายสดใสอย่างคนที่ดีใจและคาดไม่ถึง ลลิตราจำเขาได้แทบจะทันทีเพราะแม้ผู้ชายที่เธอเห็นตรงหน้าตอนนี้จะไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงใส่แว่นเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่แววตาและรอยยิ้มแบบนี้ก็มีแค่ตระการคนเดียว"โอ้โห กี่ปีแล้วนี่ที่ไม่ได้เจอกัน พี่แทบจะจำลูกอมไม่ได้เลย""ก็ตั้งแต่พี่ต้นจบม.หกไงคะ แล้วก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย"ลลิตราตอบยิ้ม ๆ ตระการคือรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมฯ เคยติวหนังสือให้เธอและกลุ่มเพื่อนจนกระทั่งเขาเรียนจบออกไป"ลูกอมมาเที่ยวเหรอ แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน""มาเที่ยวค่ะ กับอุ๋มไง พี่ต้นจำอุ๋มได้ไหม อมาวสี..."ดวงตาของตระการกว้างขึ้นอีกรอบ พยักหน้าหงึก ๆ ดูเหมือนความทรงจำของชายหนุ่มเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนขาสั้น ยังแจ่มชัดดีทุกรายละเอียด จำได้กระทั่งชื่อเล่นและความแก่นแก้วของแต่ละคนที่เป็นไปตามวัย"แต่อุ๋มของีบก่อนเพราะเพิ่งมาถึงเมื่อเที่ยงนี้เองค่ะ นี่ลูกอมโชคดีจังเลยที่ลงมาเดินเล่น ไม่งั้นคงไม่ได้เจอพี่ต้น พี่ต้นก็มาเที่ยวหรือเปล่าคะ แล้วจะกลับวันไหน พักที่นี่ใช่ไหม...""ก็ไม่เชิงหรอกครับ บ้านพี่ห่าง
แม้อาหารมื้อนั้นจะผ่านไปด้วยดีตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมายี่สิบกว่าปี แต่อธิปกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก อรรถก็คงไม่ต่างกัน สองพ่อลูกกลับมาบ้านแล้วก็แยกกันเข้าห้องส่วนตัวโดยไม่คุยอะไรกันอีกเลยเกี่ยวกับผู้หญิงที่เกี่ยวพันกับคนทั้งคู่คนนั้นแต่อธิปอยากลงไปเจอลลิตรา เขาส่งข้อความไปหาเธอว่าขอลงไปหาเธอได้ไหม เจอกันที่สนามหญ้าก็ได้ถ้าเธอไม่สะดวกให้เขาเข้าไปหาในบ้าน- ฉันไม่ได้อยู่บ้าน ออกมาอยู่บ้านเพื่อน -หญิงสาวพิมพ์ตอบกลับมาอธิปห้ามใจตัวเองไม่ไหว ต้องพิมพ์บอกไปว่า- คิดถึง -- ไปบอกคู่หมั้นนายเถอะ -เธอพิมพ์ตอบมารวดเร็วเช่นกันเพราะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง จึงไม่รู้ว่าเธอประชด หรือจริงจัง อธิปกดโทรหาเธอแทนที่จะส่งเป็นข้อความกลับไป"โทรมาทำไม ฉันไม่สะดวกคุยนะ"หญิงสาวกดรับสายทันทีและเปิดฉากพูดก่อนโดยไม่รอให้เขาทัก"ก็อยากได้ยินเสียงไง""อย่าพูดแบบนี้กับฉันอีก ฉันขอร้อง มันไม่เหมาะสม""ระหว่างฉันกับเธอยังมีอะไรไม่เหมาะสมอีกหรือ"เขาตั้งใจจะยั่วหยอกเธอเล่น ๆ แต่ลลิตราตอบกลับมาน้ำเสียงกรุ่นโกรธ"พอทีเถอะคุณอธิป ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้อีกแล้ว""แบบไหน""ก็แบบที่..."เขาได้ยินเสียงห







