ตะวันที่อยู่ตรงกับศีรษะเริ่มจะเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก
ตอนที่แอร์โฮสเตสสาวแห่งสายการบินไซแอมเจ็ตถูกปลุก
ด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นจากด้านนอกที่ดังเข้ามาในห้องนอน
โชติรสค่อย ๆ ปรือตาตื่น
เนื้อตัวปวดระบมโดยเฉพาะอวัยวะท่อนล่าง
แต่มันก็คุ้มค่ากับเรี่ยวแรงทุกหยาดหยดที่เสียไป
ถ้าเลือกได้ เธอก็อยากจะทำมันกับเขาอีกเรื่อย ๆ
"คุณอาร์ต..."
โชติรสครางเรียกชื่อเขาอย่างงัวเงีย แต่ไร้เสียงตอบ
เตียงนอนไร้เงาของเจ้าของห้อง มีเพียงเธอที่นอนเปลือยเปล่าอยู่คนเดียว
"คุณอาร์ตคะ!"
เสียงเครื่องดูดฝุ่นหยุดฉับพลัน ไม่ถึงนาทีประตูห้องนอนก็ค่อย ๆ เปิดออก
คนที่มาเปิดไม่ใช่อธิป
แต่เป็นหญิงกลางคนแต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาใจดี ส่งยิ้มแหย ๆ มาให้โชติรส
"เมื่อกี้เรียกหาคุณอาร์ตหรือคะ"
"เอ่อ ใช่ ป้าเป็นใคร เป็นคนใช้ที่นี่เหรอ"
"เปล่าคะ คุณอาร์ตแค่จ้างฉันมาทำความสะอาดรายวัน"
"อ๋อ แล้วคุณอาร์ตอยู่ที่ไหนล่ะ" โชติถาม
คว้าผ้าห่มนวมมาปิดหน้าอกพลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง
"คุณอาร์ตออกไปตอนก่อนเที่ยงแล้วค่ะ บอกให้ฉันอยู่รอจนกว่าคุณจะตื่น...
คุณเค้าบอกให้คุณสั่งอาหารได้เลย ที่นี่มีรูมเซอร์วิสค่ะ..."
คนทำความสะอาดตอบก่อนจะกลับไปทำความสะอาดต่อ ปิดประตูห้องนอนไว้ตามเดิม
ที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติของวันไนต์สแตนด์
หลายครั้งเป็นเธอเองด้วยซ้ำที่เมื่อตื่นขึ้นมา ก็แค่ลุกมาล้างตัว สวมเสื้อผ้า
แล้วเดินออกจากโรงแรมโดยไม่คิดแม้แต่จะหันไปปลุกคู่นอนด้วยซ้ำไป
แต่ว่าครั้งนี้ โชติรสใจฟีบไปเล็กน้อยที่อธิปไม่อยู่รอเจอหน้าเธอตอนตื่น
แอร์โฮสเตสสาวรู้กติกาดีพอที่จะไม่คาดหวังว่าเขาจะขอเบอร์ติดต่อ...
แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้...
ผู้ชายรูปหล่อ หุ่นดี ลีลาเผ็ชชอย่างกับเด็ดพริกมาร้อยสวนแบบนี้
ใครได้กินสักครั้งแล้วไม่อยากกินอีก ก็คงจะตายด้านเกินไปเสียแล้ว
* * * * *
รถพอร์ชสีเหลืองสดของอธิปแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาในตอนบ่าย
ลลิตรากำลังยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่กับคนขับรถที่ชื่อน้าดาว
เมื่อเธอเห็นรถของเขาแล่นมาก็หน้าเปลี่ยนสี และรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
"เมื่อกี้คุยอะไรกันน่ะน้า"
อธิปถามนายดาวเมื่อเขาลงจากรถ มองเห็นลลิตราเดินออกไปจะถึงประตูรั้วแล้ว
บ้านนี้ไม่มีใครเดินเท้า
ความกว้างขวางของอาณาจักรบ้านรชตทำให้พ่อของเขาสั่งรถกอล์ฟมาใช้ถึงสองคัน
แล้วทำไมยัยเพิ้งนั่นถึงเดินดุ่มไปเองแบบนั้น?
"ผมจะไปส่งคุณหนูครับ คุณท่านสั่งเอาไว้ว่าถ้าคุณหนูกับคุณผู้หญิงจะไปไหน ให้พวกผมไปส่งทุกที่..."
"อ้าว! แล้วทำไมปล่อยให้เดินไป"
เขาพยักเพยิด เหมือนไม่อยากจะเอ่ยชื่อสมาชิกใหม่ของบ้าน
น้าดาวยิ้มแหย ๆ
"แกบอกว่าจะไปเองครับ ผมบอกจะไปส่งแกก็ดื้อ...คงยังไม่ชินน่ะครับ"
"หรือไม่ก็แค่อวดดี อยากสร้างภาพว่าเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว"
อธิปเอ่ยอย่างดูแคลน น้าดาวส่ายหน้าอย่างพาซื่อ
"ผมว่าไม่น่าจะใช่อย่างนั้นหรอกนะครับ
จำได้ว่าตอนคุณนุชมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ
เธอก็ไม่อยากให้ผมขับรถให้เหมือนกัน
เธอว่าเธอเกรงใจ"
น้าดาวหลุดเอ่ยถึงคุณผู้หญิงคนก่อนออกมาแล้วก็เพิ่งรู้สึกตัว
เมื่อหันกลับมาเห็นสายตาเย็นชาของชายหนุ่มตัวสูงอย่างกับเสาไฟก้มมองอยู่
คนขับรถวัยกลางคนก็หัวเราะแหะ ๆ
เอ่ยขอตัวแล้วรีบเดินหนีไปทางเรือนทำครัวที่อยู่ด้านหลัง
อธิปมองไปทิศที่ลลิตราเดินไปอีกครั้งอย่างไร้อารมณ์
ผู้หญิง...ร้อยทั้งร้อยคงคิดว่ทำตัวหยิ่งผยอง เย็นชา แล้วเขาจะสนใจ
ยัยลูกแม่เลี้ยงนี่ก็เหมือนกัน คงคิดว่าจะเรียกร้องความสนใจได้ด้วยท่าทีแบบนั้น
อธิปเผลอยิ้มเหยียด... ตอนที่เขาจูบยั่ยนั่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัมผัสของริมฝีปากเธอมันเป็นอย่างไร
แค่เป็นปฏิกิริยาแรกที่เขาคิดได้ในการจะลงโทษผู้หญิงปากดีสักคน
* * * * *
ลลิตราเร่งฝีเท้าเดินออกมาจนพ้นรั้วบ้าน
เจอรถแท็กซี่ที่กดแอพฯ เรียกมารับพอดี
นึกโล่งใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับไอ้ผู้ชายชั้นต่ำป่าเถื่อนอย่างลูกชายของลุงอรรถ
เวลานี้อารมณ์เธอยิ่งกำลังเปราะบาง
คนที่ประกาศชัดว่าจะรังแกเธอทุกเวลาได้แบบนั้น หญิงสาวไม่คิดอยากเอาตัวเข้าใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว
เพื่อนทั้งสองของลลิตรา นัดเธอที่ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด
เมื่อลลิตราไปถึง ก็เห็นกันตานั่งอยู่กับอมาวสี
"มาแล้ว"
อมาวสีทักสั้น ๆ แต่กันตาที่ตาแดงเรื่อ หน้าจ๋อย ได้แต่มองอย่างรู้สึกผิด ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ
เป็นลลิตราเองที่กลับเป็นฝ่ายหัวเราะ
"อะไรยัยเกี๊ยว ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
"ฮือ โฮ ลูกอม แก...ฉันขอโทษ"
กันตาสะอื้นออกมาทันที โชคดียังกลั้นเสียงไว้ได้ไม่อย่างนั้นคนคงหันมามองทั้งร้านกาแฟ
ลลิตราตกใจแท้จริง ๆ หันมามองอมาวสีสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
ดวงตากลมเหมือนลูกแก้วที่อยู่ใต้เลนส์แว่นของอมาวสีกลอกไปมา ทั้งขบขันทั้งรำคาญ
"มันขอโทษเรื่องไอ้พี่...นั่นแหละ มันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ"
"ฮือ ใช่ใช่" กันตาพยักหน้าหงึก ๆ น้ำตายังเอ่อคลอตามประสาคนอ่อนไหวง่าย
คงเพราะกิตติทัศน์เป็นลูกพี่ลูกน้องของกันตา เขาเข้ามารู้จักและคบหาเป็นคนรักกับเพื่อนได้ก็เพราะเธอเป็นสื่อกลาง
เมื่อวันหนึ่ง จู่ ๆ ญาติของเธอดันลุกมาประกาศว่าจะแต่งงานกับคนอื่นกะทันหันแบบนี้ กันตาตั้งตัวไม่ทัน และพาลคิดไปว่ามิตรภาพระหว่างเธอกับลลิตราคงจะมีปัญหาไปด้วยแน่ ๆ
"โถ่ ไอ้บ้า ใครจะไปว่าอะไรแกล่ะไอ้เกี๊ยว มันไม่เกี่ยวกับแกหรอก..."
"ฮือ...แก...แกจะยังคบฉันอยู่จริง ๆ ใช่ไหม"
"ก็เออสิ ไม่งั้นฉันจะมาหาเหรอ ไม่เอา อย่าแย่งซีนฉันสิ วันนี้คนที่ควรจะได้รับการเลี้ยงปลอบใจ คือฉันไม่ใช่เหรอ แกมาตัดหน้าแย่งซีนกันแบบนี้ ฉันก็อดได้เป็นนางเอกเอ็มวีเลย"
กันตาค่อยยิ้มออก แลบลิ้นอย่างขัดเขิน
อมาวสีหันมาจ้องหน้าลลิตราเพื่อความแน่ใจ
"แล้วแกเป็นไงบ้าง"
"ก็ร้องไห้ทั้งคืน" ลลิตราบอกตรง ๆ ก่อนยิ้ม
"แต่จบแล้ว จะไม่กลับไปข้องเกี่ยวอะไรกันอีกทั้งนั้น"
"ไอ้พี่ติมันก็เลวจริง ๆ นะ...ตอนโทรคุยกับป้า พ่อแม่ฉันยังด่ามันไม่หยุดเลย มีอย่างที่ไหน นอกใจแฟน แถมยังจะแต่งงานเฉย..."
กันตาเผลอพูดออกมา เมื่อนึกขึ้นได้ก็ยิ้มเจื่อนอีกรอบ
เธอเกือบจะบอกไปแล้วว่า คนที่ด่าคือพ่อเธอที่เป็นน้าของกิตติทัศน์ก็จริง แต่ป้า...พี่สาวของพ่อ ที่เป็นแม่แท้ ๆ ของกิตติทัศน์ ออกอาการปกป้องลูกชาย...
'มันยังไม่ได้แต่งกัน ไอ้ติมันก็มีสิทธิ์เลือกคนที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ'
ป้าของกันตาแก้ตัวให้ลูกชายแบบนี้
กันตาคิดว่าไม่พูดต่อดีกว่า เพราะคงเป็นการซ้ำเติมให้เสียใจมากขึ้นไปอีก
"ช่างเหอะ เพราะถึงยังไงเขาก็ตัดสินใจไปแล้ว... ต่อไปนี้ไม่ต้องพูดเรื่องพี่ติอีกแล้วนะ ฉันเริ่มจะแสลงหูแล้วล่ะ"
"ได้สิ ได้ ๆ งั้นคุยเรื่องบ้านใหม่แกดีกว่า"
กันตาเปลี่ยนโหมดได้ทันที ดวงตาแดงก่ำเมื่อครู่กลับมาสดใสเหมือนตากวางได้อีกครั้ง อมาวสีก็สีหน้าตื่นเต้นตามไปด้วย
"ใช่ ๆ แกไม่ยอมให้ฉันไปช่วยขนของ เรียบร้อยดีใช่ไหม"
"ดีมาก ดีสุด ๆ ของของฉันกับแม่มีนิดเดียว แถมพ่อเลี้ยงยังจ้างคนมาขนของให้อีก แทบไม่ได้ทำอะไรเลย"
"ดีจังเลยนะ อย่างนี้แกก็ได้เป็นลูกสาวเศรษฐีเต็มตัวแล้วล่ะสิ"
อมาวสีหยอก
มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้ว่าพ่อเลี้ยงของลลิตรา...เป็นใคร
ช่วงที่อรรถเทียวมาดูแลเธอกับแม่อยู่เป็นปี ๆ ก็เป็นอมาวสีที่คอยเช็คนู่นเช็คนี่ให้ เพราะกลัวว่าผู้ชายสูงวัยหน้าเข้มคนนั้นจะมาหลอกลลิตรากับแม่
ถึงตอนนี้แล้วก็คงจะเบาใจได้แล้วว่า พ่อเลี้ยงของลลิตรา จริงใจและเป็นตัวจริง
"ลูกสาวอะไรกันล่ะ ฉันก็แค่ลูกเลี้ยง...ขนาดแค่จะนัดแกสองคน ฉันยังต้องออกมาข้างนอกเลย ฉันไม่กล้านัดแกไปที่นั่นด้วยซ้ำ กลัวเขาว่าไปหมด"
"จนป่านนี้แล้ว ไว้ใจคุณลุงอรรถเถอะว่าเขาไม่ได้รังเกียจ และเต็มใจจะให้แกเป็นครอบครัวของเขาจริง ๆ"
อมาวสีบอก กันตาก็พยักหน้าตามหงึก ๆ
"แล้วบ้านของจริงมันใหญ่จริง ๆ ใช่ไหม สวยเหมือนในรูปหรือเปล่า"
ที่กันตาถามแบบนี้เพราะพวกเธอเคย 'เสิร์ช' หาข้อมูลเกี่ยวกับอรรถ รชต มาเกือบหมดแล้ว
แม้ไม่ถึงกับเปิดเผยชีวิตส่วนตัวทั้งหมด แต่ภาพถ่ายส่วนหนึ่งของ 'บ้านรชต' ที่ใหญ่โตอย่างกับโรงแรมและรีสอร์ตขนาดย่อม ก็ทำให้เพื่อนสาวทั้งสองตื่นเต้นจนอ้อนขอไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง
"อืม สวยจริง สวย...เวอร์วังอลังการ"
ลลิตราตอบแบบไม่ได้ประชด แต่สีหน้ากลับไม่ได้ตื่นเต้นเท่าที่เพื่อนคิดไว้
"งั้น...ฉันสองคนไปเที่ยวบ้านแกได้ไหมอะ คุณอรรถเขาห้ามหรือเปล่า"
"ไม่หรอก เขาใจดีมาก..." ผิดกับลูกชายเขาลิบลับ
ถ้าพ่อเลี้ยงของเธอเป็นเทพบุตรขี่ม้าขาวมาเพื่อช่วยแม่
ไอ้ลูกชายคนโตของเขามันก็มารผจญคอยขัดแข้งขัดขาไม่ให้คนอื่นมีความสุข เหมือนเปรตหรือสัมภเวสีชัด ๆ
แค่นึกขึ้นมา ลลิตราก็รู้สึกยะเยือกจนตัวสั่นไม่ได้ตั้งใจ
"เอาไว้...สักวันเราค่อยนัดกันที่บ้านลุงอรรถก็แล้วกันนะ เอาไว้ขอฉันปรับตัวอีกสักนิด"
หญิงสาวตอบเลี่ยง ๆ เพื่อนทั้งสองพยักหน้าอย่างเข้าใจ สำคัญที่สุดคือลลิตรากับลินดามีความสุขในบ้านหลังนั้นก็น่าจะพอแล้ว
* * * * * ขากลับ ลลิตราแวะซื้อข้าวของวัตถุดิบสำหรับทำขนมมาเต็มสองมือ และเรียกรถแท็กซี่ให้มาส่งถึงหน้าบ้านรชตอีกตามเคย"บ้านนี่ผมผ่านหลายครั้งเลย ข้างในสวยไหมครับ"
แท็กซี่ถามซื่อ ๆ
"ก็สวยค่ะ"
"น้องอยู่ที่นี่หรือครับ"
แท็กซี่ถามอีก
"เปล่าหรอกค่ะ หนูมาส่งของ เพิ่งเคยมาครั้งแรกเมื่อวานนี้เอง นี่แม่บ้านเขาสั่งอุปกรณ์ทำขนมน่ะค่ะ"
"อ๋อครับ"
แท็กซี่ช่างคุยยิ้มแล้วช่วยหญิงสาวหิ้วถุงแป้ง แผงไข่ และอะไรอีกมากมายลงจากรถ เมื่อรับเงินค่าโดยสารพร้อมทิปจากลลิตราก็ขับรถออกไป
รปภ. หนุ่มที่ประจำอยู่หน้าป้อม เข้ามาช่วยลลิตราและกดวิทยุสื่อสารเรียกให้คนด้านในขับรถกอล์ฟมารับที่หน้าประตูด้วย
'นั่นปะไร อย่างกับมาอยู่รีสอร์ต'
ลลิตรานึกอย่างขบขัน
รปภ.ตะเบ๊ะให้หญิงสาวอย่างขันแข็ง
"สวัสดีครับ! คุณหนู!"
"เอิ่ม...สวัสดีค่ะ"
ลลิตรายิ้มเจื่อน ๆ เธอคงต้องรีบทำตัวให้ชินกับสรรพนามนี้ได้แล้วสินะ
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต