รถคันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านของมินตรา ตลอดการเดินทางมินตรารู้สึกตัวตื่นและหลับไปหลายต่อหลายครั้ง เขาพาเธอแวะพักทานข้าวโดยที่ตอนแรกเธอไม่ยอมเพราะอยากกลับบ้าน แต่ภวิชก็พะเน้าพะนอลากเธอให้ลงไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันคือข้าวกลางวันของเขาและเธอในเวลา 2 ทุ่ม
“ นี่คุณ! ฉันจะรีบกลับบ้านนะ ฉันไม่หิว คุณอยากกินก็กินคนเดียวสิคะลากฉันมาทำไม ”
“ มินตรา คุณไม่หิวแต่ผมหิว ให้ผมกินคนเดียว ผมกินไม่ลงหรอกแค่กินข้าวเป็นเพื่อนผมมันคงไม่ลำบากคุณมากเกินไปหรอกมั้ง ” เขาไม่สนใจอาการฟึดฟัดของคนตรงหน้าสักนิดแถมยังตักอาหารใส่จานหล่อนจนในที่สุดคนหน้างอก็ต้องตักเข้าปากตามใจเขาอีกจนได้
“ ก็แค่นั้น ” เขาพูดอย่างพอใจ เมื่อทานข้าวกันเสร็จก็เดินทางอีกครั้งและมินตราก็หลับอีกครั้งโดยมีหมอนหนุนเป็นแบบพิเศษนั่นคือตักของภวิช ภวิชหยุดห้วงความคิดที่เพิ่งไปทานข้าวกับเธอพร้อมมองปัจจุบันคือเวลานี้ที่รถจอดสนิทหน้าบ้านมินตรา เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่เขานั่งนิ่งๆ แบบนี้ ทัชมองเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่มองออกนอกกระจกไปยังตัวบ้านของคนที่เขามาส่ง ไม่มีทีท่าว่าจะปลุกหล่อนขึ้นมา ภวิชถอนหายใจอย่างหนัก ที่มาถึงบ้านหล่อนแล้ว เขาไม่อยากปลุกเธอเลยในเวลานี้ ทั้งๆ ที่เขาอยากเห็นแววตาหล่อน ตอนตื่นเสมอ
“ เจ้านายครับ ”
“ อืม ” ภวิชพยักหน้ารับรู้ ทัชเห็นเจ้านายเริ่มใช้เวลานานเกินไปที่จอดรถแบบนี้ พร้อมมองไปยังตัวบ้านของว่าที่นายหญิงมันเป็นบ้านพักธรรมดา ไม่หรูหรา เรียบๆ บ้านเธออยู่ไกลจากบ้านของคนอื่นเหมือนกันมีเพียงบ้านเธอที่ตั้งโดดอยู่หลังเดียวในซอย ซึ่งมันทำให้ภวิชห่วง ความคิดฟุ้งซ่านหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงทัชเรียกเขาภวิชหันหน้ามองลูกน้อง แววตามีความกังวล ซึ่งลูกน้องเข้าใจอารมณ์เจ้านายดี ภวิชลูบเรือนผมของคนที่เขาหลงใหลไปแล้วอย่างโงหัวไม่ขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ มิน......มินครับ ถึงบ้านแล้ว ” ร่างบางที่หลับใหลค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบสบกับดวงตาคมที่มองมายังเธอ ก่อนที่เขาจะพยุงให้เธอลุกนั่ง ร่างบางกวาดสายตาออกไปมองนอกรถ แล้วก็หันมามองภวิชที่นั่งมองหล่อนอยู่ ไม่มีแววตาแสดงความรู้สึกใดๆ ซึ่งเขาปกปิดไว้เป็นอย่างดี
“ คุณรู้จักบ้านฉันได้ยังไงค่ะ ” หล่อนถามในเมื่อหล่อนหลับมาเกือบตลอดทางบอกเพียงคร่าวๆเท่านั้น
“ ก็คุณมีเอกสารที่จะไปสมัครงานไม่ใช่หรือไง เรื่องหาที่อยู่ตามทะเบียนบ้านคงไม่ยากเท่าไหร่หรอกมั้ง ”
“ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ”
“ ฟึ่บ ” ภวิชนิ่งอึ้ง เขามีความหนักใจและความกังวลอยู่เต็มไปหมด ก่อนที่เธอจะลงจากรถ ภวิชก็กระชากร่างของเธอจนปลิวตามแรงเข้าสู่อ้อมแขนตามด้วยริมฝีปากเขาที่ตามมาติดๆ มินตราตกใจและรับมือไม่ทันกับคนฉวยโอกาส ความตกใจของเธอทำให้เขาลุกล้ำได้ง่ายๆ ไม่มีการดิ้นรนขัดขืนหนักๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง มีเพียงดิ้นและผลักเบาๆ เท่านั้น อาจเพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยในการต่อต้าน และอาจเป็นเพราะหัวใจเธอเองก็ต้องการสัมผัสอ่อนโยนครั้งสุดท้ายก่อนจากเขาเหมือนกัน จูบที่แสนอ่อนโยนและอ่อนหวาน มินตราปล่อยให้ภวิชทำตามใจเพราะอย่างน้อยก็เพื่อขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาทำให้เธอมาตลอดสี่วันที่ผ่านมา ภวิชยอมถอนจูบหลังจากที่เขาสัมผัสเนิ่นนานเกินไปถึงแม้ไม่อิ่มหนำแต่ก็พอที่จะทำให้สาวตรงหน้าคิดถึงคนที่ขโมยจูบแรกของเธอได้บ้าง
“ ดูแลตัวเองดีๆ นะมิน มีอะไรนึกถึงผมนะ เข้าใจไหม ” เขาพูดพร้อมยัดมือถือของหล่อนใส่มือแล้วกำมือเธอแน่น
“ ค่ะ ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาพูดแบบนั้นอาจเพราะตามมารยาทของการมีน้ำใจล่ะมั้ง ร่างบางจะก้าวลงจากรถอีกครั้ง ภวิชอยากคว้าเธอมากอดอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจเขาได้แต่ถอนหายใจและคอตก เขาโหยหาเธอขนาดนี้สงสัยต้องรีบวางแผนเอาเธอกลับไปกับเขาให้เร็วที่สุด เขาคิดในใจแต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนั่งอึ้งเมื่อสัมผัสถึงสิ่งอุ่นๆที่แนบข้างแก้มเขาไม่คิดว่ามินตราจะหอมเขา ซึ่งมินตราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกล้าทำกับคนที่เพิ่งรู้จักขนาดนี้
“ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ” ภวิชยิ้มน้อยๆใจหนุ่มเต้นแรง เธอจะรู้ไหมว่าเธอทำใจเขาเต้นได้ขนาดนี้ ความอ่อนโยนที่ไม่มีจริตจะกร้าน แบบนั้นยิ่งทำให้เขาหลงเธอ เธอยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าแดงก่ำเมื่อคิดขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่นั่งเป็นสารถีในการขับรถมาส่งเธอ
“ ขอบคุณนะคะคุณทัช ” ทัชที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ในมือเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสองคน เงยหน้าสบตาหล่อนผ่านกระจกหลัง พยักหน้าแล้วยิ้มกว้างให้เธอ
“ ด้วยความยินดีครับ ” จากนั้นมินตราก็ก้าวลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าตัวบ้านเอามือเรียวลูบหน้าด้วยความอายที่กล้าทำอะไรไปแบบนั้น ภวิชยกมือขึ้นลูบแก้มที่เขาเพิ่งได้รับจากมินตราเมื่อครู่แล้วยิ้มกว้าง
“ นี่แหล่ะน้า อารมณ์คนมีความรัก ” เขาเอ่ยปากแซวเจ้านายน้ำเสียงทะเล้น
“ หุบปากเลยไอ้ทัช ” ภวิชพุ่งตัวไปตีเบาะคนขับที่ทัชนั่งอยู่ถึงแม้เขาจะพูดเสียงดุดัน แต่หากใบหน้านั้นกลับเปื้อนยิ้ม
“ มีอะไรหรือเปล่าครับ? ” ทัชถามเมื่อรอยยิ้มเมื่อครู่ที่ไม่กี่วินาทีนั้นตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นแววตาดุดันเหมือนที่เขาเห็นบ่อยครั้งแวลาที่เจ้านายไม่สบอารมณ์หรือมีเรื่องกวนใจ
“ จอดรถสิ ” เขาพูดเสียงนิ่งทัชเลี้ยวรถหลบเข้าจอดหัวมุมถนนตามคำสั่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านมินตรานัก และยังคงสามารถมองเห็นตัวบ้านของเธอ ภวิชหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาพลางกดดูเบอร์ที่โทรเข้าหาหญิงสาว แต่ที่มันโชว์เบอร์ขึ้นที่เครื่องเขานั้นก็เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัย เขาติดเครื่องดักฟังและอุปกรณ์ในการหาคลื่นสัญญาณกับมือถือของเธอ เขาจะต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ได้ยินทุกอย่างเวลาที่เธอพูดโทรศัพท์กับใคร และใครที่โทรมาหาผู้หญิงของเขา ซึ่งเมื่อเย็นที่เขารับโทรศัพท์ของเธอย่างถือวิสาสะจนอยากจะกระชากคนที่พูดอยู่ปลายสายมาตัดลิ้นแล้วเย็บปากให้ไม่สามารถพูดได้อีกเลย มือถือราคาแพงถูกส่งให้ลูกน้องเมื่อเจอเบอร์ที่ไม่พึงประสงค์
“ ตรวจสอบสิ ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นใคร และรู้จักมินได้ยังไง เดี๋ยวนี้! ”
“ ครับ ”
' ไงจ้ะมินตราคนสวย เธอจำได้ไหมว่าสัญญาอะไรไว้กับฉัน ฉันว่ามันครบเวลาแล้วนะ ใจร้ายจริงๆติดต่อไม่ได้ตั้งสามวัน เตรียมใจเป็นเมียฉันหรือไง ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัวนะเบบี้ ผมรับรองจะปรนนิบัติคุณให้สมกับการรอคอยเลยมินตรา ฮ่าๆๆ' คนปลายสายหัวเราะอย่ามีความสุข ต่างจากคนที่ฟังอีกคนที่ดวงตาแดงก่ำมือกำแน่น กัดฟันกรอดจนเป็นสันนูนด้วยความโกรธ มันกล้าดียังไงมาดูถูกเธอขนาดนี้
มินตราเปิดประตูบ้านเข้ามาท่ามกลางความมืดเพราะไฟที่ปิดสนิท นิ้วเรียวคลำๆ หาสวิตถ์ไฟด้วยความเคยชินแล้วบ้านทั้งหลังก็เริ่มสว่างขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าทำให้มินตราพูดไม่ออก เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ นี่มันคืออะไร ข้าวของกระจัดกระจายและพังอย่างยับเยิน เรียวฝีปากงามเริ่มตะโกนหาคนที่ห่วง
“ พ่อ พ่อจ๋า พ่อ พ่อได้ยินมินไหม พ่อ ” มินตราวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็ว ห้องนอนผู้เป็นบิดาสภาพไม่ต่างจากข้างล่างเลย
“ มิก มิก มิก ได้ยินพี่หรือเปล่า ” เสียงเริ่มแผ่วเบาเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับของคนทั้งสองคน น้องชายเขาหายไปไหน ใจบางเริ่มสั่นไหวและทรงตัวไม่อยู่
“ พ่อ ฮือๆๆมินขอโทษ พ่อฮือๆๆ ” เธอพร่ำโทษตัวเองที่ต้องรีบไปหางานหาเงินมาเพื่อช่วยเหลือพ่อเพราะพ่อออกจากงานที่ทำอยู่ท่าเรือซึ่งเธอก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม อีกอย่างเพื่อที่เธอจะได้เป็นอิสระจากคนบางคนที่คิดไม่ดีเอาสัญญาบ้าบอมาขู่เธอ น้ำตารินไหลรดลงข้างแก้มอย่างท้อแท้ ในเวลาเที่ยงคืนแบบนี้เธอจะตามหาพ่อกับน้องได้ที่ไหน
“ ฮือๆ ” เธอทรุดลงนั่งกับริมบันไดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน หมดเรี่ยวแรงที่จะลุกแล้วในเวลานี้
ติ๊ดๆ มือถือเครื่องน้อยที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางรีบขวนขวายหมายวาดหวังว่าอาจเป็นพ่อหรือน้องชายของเธอ เช็ดมืออย่างลวกๆ เมื่อเป็นเบอร์แปลกแต่ก็ไม่มากพอให้หยุดรอความสงสัย
“ ฮะ ฮัลโหล ”
“ .... ”
“ ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ” เมื่อเธอกดรับสายแล้วแต่ยังไม่ได้ยินเสียงกลับมาเลยเอ่ยอีกครั้ง
“ แหม่ กว่าจะติดต่อได้นะสาวน้อย เธอกำลังหาพ่อของเธออยู่งั้นหรอ? ” เสียงสุขุมของปลายสาย เมื่อพูดถึงพ่อทำให้มินตรา ตกใจ ต่างจากอีกคนที่คิ้วขมวดสงสัยว่าใครอีกที่โทรมาหาผู้หญิงของเขา
“ คุณทำอะไรพ่อของฉัน คุณเป็นใครและต้องการอะไรจากพวกเรา ” มินตราลุกขึ้นเกาะราวบันไดพูดเสียงแข็ง
“ หึๆ ฉันเป็นใครเธอไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้พ่อของเธอตกอยู่ในมือฉัน ”
“ อย่านะ คุณอย่าทำอะไรพ่อของฉัน คุณต้องการอะไรฉันจะหามาให้ ”
“ ฮ่าๆ มินตรา ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณหรอก ”
“ ก็ในเมื่อคุณไม่ต้องการอะไรแล้วจับพ่อฉันไปทำไม ”
“ ก็เพราะ พ่อของเธอรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ไงหล่ะ มินตรา สิ่งที่ฉันต้องการคือ ชีวิตพ่อของเธอๆไง! ” เสียงเหี้ยมที่ดังเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้มินตราเริ่มเครียดจนจะเป็นลม
“ อย่านะ ” เธอร้องห้ามอย่างรวดเร็ว
“ คุณอย่าทำอะไรพ่อของฉัน คุณต้องการอะไร ฉันจะให้คุณทุกอย่าง ฮึก ๆ ขอร้องอย่าทำร้ายพ่อของฉัน ” เสียงร้องไห้ที่รอดผ่านมาทางโทรศัพท์ ชายสองคนที่ได้ยินเหมือนกันแต่ต่างกันที่ความรู้สึก อีกคนยิ้มและหัวเราะอย่างสะใจ ต่างจากอีกคนที่สงสารหญิงสาวจับใจใครบังอาจทำให้ผู้หญิงของเขาร้องไห้ สาบานได้เลยว่าจะลากมาจัดการให้สาสมแต่เสียงแบบนี้มันคุ้นๆ เหมือนเขาจะได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่
“ ฮ่าๆ กล้ามากมินตราที่บอกฉันแบบนี้ เธอรู้ดีนี่ว่าฉันต้องการอะไร จะให้ฉันบอกหรอหึ? ”
“ ฉันเคยบอกคุณไปแล้วว่าทำทุกอย่าง ยกเว้น...ขายตัว! ” เธอเน้นให้เขาฟังอีกครั้ง
“ เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น......นางบำเรอ เธอต้องมาเป็นนางบำเรอของฉัน มันต่างกันนะมินตรา เพราะนางบำเรอคือเธอนอนกับฉันแค่คนเดียว แต่ถ้าขายตัว......หึๆ คงบอบช้ำภายใน ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะ ว่าไง! ไม่ต้องรีบตอบนะ ฉันรอได้ยันพรุ่งนี้ สี่ทุ่มถ้าไม่มาถือเป็นโมฆะฉันจะไม่รักษาคำพูดอะไรทั้งนั้นรวมถึงชีวิตพ่อของเธอด้วย....” ปลายสายทิ้งคำพูดน่ารังเกียจอย่างนั้นไว้แล้วตัดสายไป มินตราทิ้งแขนที่จับมือถือแนบข้างหูลงข้างลำตัวด้วยความอ่อนล้า มือเรียวสองข้างยกมือขึ้นปิดใบหน้างามที่ร้องไห้อย่างหนัก ตรงทางขึ้นบันไดของบ้าน
“ ฮือๆ ” เสียงร้องไห้ที่สุดจะกลั้นทำให้มินตราไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา เธอลืมล็อคเพราะตกใจที่เห็นสภาพของบ้านร่างสูงเดินเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มกวาดตามองความเสียหายภายในบ้านจนทั่ว เขาใช้สายตาคมมองหาร่างบางว่าอยู่ที่ไหนเพราะเธอคงยังไม่ได้ออกจากบ้านเป็นแน่ เสียงสะอื้นที่ลอยมาตามอากาศข้างมุมเลี้ยวเข้าทางขึ้นบันได ไม่รอช้าที่เดินไปตรงนั้น ภาพมินตาที่นั่งกุมหน้าร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนมันทำให้หัวใจเขากระตุบวูบ ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่านี่เป็น รัก หรือเปล่า จะบอกว่ารักก็ดูจะเร็วไป และไวมากๆเสียด้วย จะบอกว่าหลง ก็ไม่น่าจะทำให้เขาโงหัวไม่ขึ้นได้ขนาดนี้ รู้อย่างเดียวคืออยากอยู่กับเธอตลอดเวลา อยากดูแลและปกป้องไม่อยากให้เธอไปเป็นของใคร ยิ่งได้ยินสิ่งที่ร่างบางคุยโทรศัพท์กับคนที่คิดจะเอาเธอไปเป็นอย่างนั้น......แล้วหล่ะก็ เขาคงปล่อยให้มันนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องให้เธอไปอยู่กับเขาให้เร็วที่สุด ภวิชคิดในใจก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากที่หยักได้รูปเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ
“ มินตรา ” เสียงที่คุ้นหูและอบอุ่นเธอจำได้ดีว่าเป็นของใคร หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองภวิชที่ยืนตรงหน้าหล่อนและเขานั่งยองๆลงมามองหน้าเธอผ่านม่านน้ำตา
“ คุณภวิช ”
“ คุณยังไม่กลับหรอคะ หรือว่าลืมอะไรหรือเปล่า ” หล่อนถามเขาอย่างสงสัยนี่ก็ตีหนึ่งแล้วทำไมเขายังอยู่ที่นี่ระยะเวลาที่เธอร้องไห้มันนานมากพอที่ทำให้ภวิชที่คอยดูอยู่ด้านนอกอดห่วงไม่ได้จนต้องเข้ามาดู
“ เฮ้อ ” เขาถอนหายใจแล้วหยิบมือถือที่ร่วงหล่นตรงพื้นขึ้นมาจับมันเล่นๆแล้วขบริมฝีปากแน่น จะกลับได้ไงก็เขาเป็นห่วงเธอแล้วจะบอกได้ไงว่าไอ้สิ่งที่ลืมไว้ก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงบันได ภวิชถอนหายใจอีกครั้งเมื่อรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา แล้วก็เงยหน้าสบตาหล่อน
“ ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยไปได้ อายุก็ไม่น้อยแล้วนะถ้าคนอื่นมาเห็นไม่อายหรือยังไง? ” เขาทำเสียงขรึมคิ้วขมวดมองเธอพร้อมยกฝ่ามือหนาแนบข้างแก้มหล่อนแล้วใช้หัวแม่มือไล้น้ำตาให้หล่อนอย่างแผ่วเบา แต่มินตรากลับไม่เถียงเขาที่บ่นว่าเธอเหมือนเด็ก เพราะรู้สึกว่าคำพูดห้วนๆ จะมีแววตาอ่อนโยนอะไรเช่นนี้ แล้วเขาก็ถามคำถามเธอต่อมา
“ ไหนเป็นอะไร เล่าให้ฉันฟังสิ ใครทำอะไรเดี๋ยวฉันจะไปจัดการมันเอง! ” น้ำเสียงและสรรพนานคำว่าคุณเปลี่ยนเป็นฉัน เพราะอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดที่แสดงออกมาทีเล่นทีจริง จนมินตราอมยิ้มทั้งน้ำตากับท่าทางที่เหมือนวัยรุ่นเลือดร้อนของคนตรงหน้าไม่คิดว่าเขาจะพูดเล่นให้คนอื่นสบายใจขึ้นอย่างเธอตอนนี้ที่รู้สึกดีกว่าตอนแรก แต่ภวิชกลับไม่ได้คิดเล่นๆ ไอ้ที่เขาบอกจะจัดการหน่ะ มันเรื่องจริง ในเมื่อปฎิเสธไปคนบ้าอำนาจที่มานั่งให้กำลังใจเธอทั้งที่ไม่จำเป็นก็คงบังคับให้บอกจนได้ มินตราหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ร้องไห้อีกครั้ง เสียงที่กำลังจะพูดออกพร้อมกับคนที่กำลังตั้งใจจะฟังต้องเปลี่ยนเป็นหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก มินตราลุกพรวดจากบันไดเพราะคิดว่าอาจเป็นพ่อก็ได้ตามด้วยภวิชที่ลุกขึ้นแล้วตามมาแต่ก็ต้องเสียใจอีกครั้งที่ไม่ใช่พ่อ แต่ก็ชื้นใจที่เป็นน้องของตนเอง
“ มิก ” ร่างบางวิ่งเข้าไปกอดน้องชายด้วยความโล่งอก แต่รณภพ กลับจับมือพี่สาวที่กอดเขาออกอย่างอึดอัด พร้อมคำถามที่ยิงยาวใส่เขา
“ ดึกแล้วหายไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับแล้วนี่หน้าไปโดนอะไรมาทำใมเป็นแบบนี้ พ่อหล่ะพ่ออยู่ไหน ” เมื่อผละจากน้องได้เธอก็ถามหลายประโยคจนรณภพที่ตอนนี้ใบหน้าหวานแต่ดูคมผิวน้ำผึ้งหางคิ้วมีรอยเลือดแห้งจับอยู่ มุมปากฟกช้ำร่างกายที่สูงเกือบจะร้อยแปดสิบบ่งบอกว่าน้องชายของเขาโตเต็มวัยแล้ว
“ เงียบน่ามิน ฉันจะไปทำอะไรก็เรื่องของฉัน แล้วพ่อไปไหนฉันจะรู้ได้ไง ไม่ได้ตัวติดพ่อตลอดเวลา ” เขาไม่ได้ตะคอกแต่พูดเนือยๆ รณภพที่มีอายุห่างจากพี่สาวถึงหกปี แต่หากสรรพนามคำนำหน้าคำว่าพี่ ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย เขาก็เลี่ยงที่จะพูดมัน
“ ก็พี่แค่ถามทำไมต้องหงุดหงิดใส่ด้วย ” เธอเริ่มขึ้นเสียงกับน้อง
“ ไม่ต้อง ” รณภพตอบกลับทันควันและตั้งท่าจะเดินเลี่ยงแต่ก็ต้องชะงักสบตากับคนอีกคนอย่างสงสัยและหันมามองพี่สาวสลับกัน รอยยิ้มดูแคลนถูกส่งไปหามินตราพร้อมคำพูดแทงใจ
“ อ๋อ ไอ้ที่หายไปสองสามวันที่ผ่านมาเนี่ย หนีไปกับผู้ชายนี่เอง ”
“ มิก อย่ามาพาลใส่คนอื่น คุณภวิชเขาเป็นคนช่วยพี่ เขาไม่เกี่ยว อย่าเสียมารยาทแบบนี้ ” เธอเดินมาประชันหน้าคนเป็นน้องด้วยความโกรธ ส่วนคนที่โดนหางเล่ไปนั้นไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา นอกจากมองหนุ่มแรกรุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึก...........ถูกชะตาได้หล่ะมั้งเพราะไอ้นิสัยที่รณภพเป็นอยู่มันเหมือนเขาและดูเขาจะแรงกว่าด้วยซ้ำ เขารู้ดีว่ารณภพกำลังต้องการความเป็นอิสระ รณภพสบตากับเขาอย่างไม่ลดละ มันยิ่งทำให้เขาพอใจ มันมีบางอย่างบอกเขาว่าเด็กที่เพิ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตรงหน้าไม่ใช่คนที่เลวโดยสันดาร เห็นทีเขาคงต้องช่วยมินตราแบ่งเบาภาระบ้างแล้วเขาคิดในใจ
“ ได้กันรึยังถึงปกป้องขนาดนี้ ”
“ เพี้ยะ ” สิ้นคำพูดของคนเป็นน้องฝ่ามือบางก็ตบเข้าที่แก้ม ที่เต็มไปด้วยรอยฝกช้ำอีกทีด้วยความเหลืออด
“ หัดให้เกียรติกันบ้างนะมิก ยังไงพี่ก็เกิดก่อน เป็นพี่ และอย่ามาดูถูกพี่แบบนี้อีก ” เธอเสียงแข็งกร้าวซึ่งภวิชก็เข้าใจว่าคำพูดของรณภพนั้นมันบาดหัวใจขนาดไหน
“ หึ ” รณภพเอามือจับที่มุมปากแล้วยิ้มยกนิดๆ แต่สีหน้าที่มองมินตราแบบนั้นมันทำให้มินตราหน้าชารู้สึกผิดหวัง รณภพสะบัดหน้า เดินตรงไปยังบันไดแต่ก็ชะงักเมื่อมือหนาของคนที่มาเยือนบ้านจับที่ไหล่ของเขา รณภพมองที่มือภวิชที่จับไหล่เขาแล้วมองสบตาบ่งบอกว่าไม่พอใจ
“ เดี๋ยวก่อน ”
“ ปล่อย! ” รณภพบอกนิ่งๆ ภวิชก็นิ่งไม่ต่างกัน ภวิชรีบยกมือที่จับไหล่ของรณภพพร้อมทำท่ายกไหล่ขึ้นเล็กน้อย
“ อ่ะ โอ เค ” ก่อนที่รณภพจะยกมือขึ้นมาปัดมือเขาเสียเอง
“ มีไร ” รณภพถามเสียงห้วน มันทำให้ภวิชยืนกอดอกพร้อมยกยิ้มอย่างพอใจ มินตรามองคนสองคนสลับกันอย่าง งงๆ
“ ยิ้มบ้าอะไร ”
“ ไม่เลวนี่เรา ” เขาบอกอย่างเป็นนัยๆ ซึ่งรณภพส่ายหัวแล้วเดินหนีขึ้นบนบ้านยังไม่วายทิ้งทายหาว่า เขาประสาทไว้อีก ภวิชมองตามหลังรณภพจนพ้นสายตาแล้วหันกลับมามองมินตราที่คิ้วขมวดใส่เขา
“ ขอโทษแทนมิกด้วยนะค่ะ ฉันผิดเองที่อบรมเขาไม่ดี ”
“ ไม่หรอกผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดที่คุณอบรมหรือดูแลไม่ดีหรอกมิน บางทีมันก็เป็นเพียงช่วงหนึ่งก็เท่านั้น ”
“ ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ฉันกวนคุณมามากแล้ว คุณกลับเถอะคะจะได้พักผ่อน ”
“ นี่ไล่หรอ? ” เขากอดอกมองหญิงตรงหน้าบึ้งตึง
“ ปะเปล่าค่ะ เฮ้อ ฉันแค่เห็นว่าคุณควรพักได้แล้ว ” เธอให้ความเห็นอย่างนั้น ภวิชเองก็เข้าใจแต่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อน
“ แต่คุณยังไม่บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น? ” เขาหาเรื่องถามอีกครั้งที่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“ คือพ่อของฉันหายไปค่ะ ” ร่างบางก้มหน้าซึมอีกครั้งคิดถึงผู้ให้กำเนิด
ภวิชถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินมาจับบ่าหล่อนแน่นๆ ก้มหน้าคมคายลงมาใกล้
“ พ่อคุณไม่เป็นอะไรหรอกน่า อย่าคิดมากสิ ”
“ มิก จะไปไหน ” สายตาที่มองร่างสูงอยู่เปลี่ยนเป็นมองน้องชายที่เดินลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเป้สะพายที่หลัง ภวิชถอยห่างจากหญิงสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามน้องที่กำลังเดินออกนอกตัวบ้าน
“ พี่ถาม ได้ยินไหม ”
“ บ้านเพื่อน ” รณภพก้าวขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คู่ใจแล้วถึงตอบ ร่างบางมองรถบิ๊คไบค์คันใหญ่ที่สวยงามเบื้องหน้าก็ตกใจทันทีบิ๊กไบค์สีดำนิลสนิท ราคาไม่ใช่เล่นน้องเขาจะเอาเงินมาจากไหน
“ ไปเอารถคันนี้มาจากไหน ของใคร? ”
“ ยุ่งน่า ฉันทำงาน แล้วนี่ก็รถฉัน ”
“ บ้ารึไง เรียนยังไม่จบมอปลาย ใครเขาจะรับเข้าทำงาน งานอะไรให้เงินเยอะขนาดซื้อรถแบบนี้ได้หะ ” มินตราเริ่มหงุดหงิดแล้ว เธอดึงกุญแจออกจากตัวรถแล้วถอยห่างจากน้อง
“ เอามานะมิน ” รณภพตาดุวาบไม่เกรงกลัวพี่สักนิด
“ ไม่ให้ ” มินตราหมุนตัวจะหนีแต่ก็ชนกับภวิชก่อน ภวิชดึงมือมินตราที่กำพวงกุญแจบิ๊กไบค์คันงามแล้วดึงออกจากมือเธอ ซึ่งมินตราไม่เข้าใจ รวมถึงรณภพด้วย เขายังคงนั่งคร่อมอยู่ที่ตัวรถ ภวิชก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็ถึง เขาส่งกุญแจให้กับเจ้าของเดิม
“ นี่คุณจะทำอะไรหน่ะ ” มินตราจะเดินมากระชากกลับแต่อย่าหวังเพราะรณภพคว้าไปกำไว้เสียแล้ว
“ ฉันไม่ขอบใจหรอกนะ ” เขาบอกอย่างทะนงตน
“ ฉันก็ไม่อยากได้คำขอบใจ แต่อยากได้อย่างอื่นมากกว่า ” เขาตอบเป็นนัยๆ อีกครั้ง รณภพไม่สนใจอีกต่อไปเขาขี้เกียจพูดเจอแต่เรื่องมาทั้งวันเมื่อรถคันงามแล่นจากไปก็เหลือเพียงมินตราที่มองเขาแววตาขุ่นเคือง
“ คุณทำแบบนี้ทำไม? ”