เช้ามืดวันต่อมาที่หล่อนค่อยๆปรือตารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทำท่าจะลุกจากที่นอนก็รู้สึกถึงมีบางอย่างทับอยู่ที่หน้าท้องของเธอพร้อมเสียงลมหายใจเธอจึงค่อยๆหันมามอง
“ เปี้ยะ นี่คุณ! ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ ” มินตราลุกขึ้นเขย่าตัวเขาแรงๆ เจ้าเล่ห์จริงๆมานอนกอดหล่อนได้ยังไง
“ อะอืม เช้ามืดอยู่นะคุณจะปลุกผมทำไมเนี่ย ” เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิดทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาพลางควานหานาฬิกาแล้วหลี่ตาขึ้นมอง ตีห้า โอ้ย แม่คุณจะรีบรู้สึกตัวทำไมเนี่ย เขาเข่นเขี้ยวในใจ มือเขาถูกเจ้าหล่อนผลักออกจากตัว
“ ทำไมคุณทำแบบนี้ไหนบอกจะนอนที่โซฟาแล้วมานอนที่เตียงได้ยังไง ” หล่อนโวยวายพร้อมดึงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ร่างสูงนั่งสัปหงกตามแรงดึงที่ทำให้เขาลุกขึ้นนั่งแต่ยังไม่ลืมตา ผมที่ตั้งๆชี้โด่วชี้เด่ เพราะนอนพลิกตัวตั้งนานไม่หลับสักทีเมื่อคืนกว่าจะหลับก็ตีสี่ซึ่งเขาเพิ่งจะได้นอนเองก็เพราะแอบชำเลืองมองร่างบางจนเห็นว่าหล่อนหลับสนิทนั่นแหล่ะเขาถึงย่องมา ซุกหัวที่เตียงอย่างเคยเพราะเมื่อยตัวที่ต้องนอนบนโซฟามันจะสู้นอนเตียงได้อย่างไร
“ ผมก็นอนแล้วไง! แต่มันปวดตัวนี่ อีกอย่างเตียงออกจะกว้างอย่า งกนักเลยน่า พอๆเลย ไม่ต้องบ่นแล้วผมง่วงนอนดีกว่า ฟึ่บ ” เขาบ่นอย่างรำคาญที่ต้องตื่นตอนเช้าจากการโดนกวน นานๆทีวันนี้เขาจะตื่นสายสักหน่อย
“ อร้ายย ” ร่างบางกรี๊ดเมื่อคนเจ้าอารมณ์แถมเจ้าเล่ห์พลิกตัวลงนอนเหมือนเดิมแต่แขนเขาก็มาเกี่ยวทาบให้เธอลงไปนอนกับเขาด้วย ร่างบางดิ้นขลุกขลัก
“ นี่คุณภวิช! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ” ยิ่งหล่อนแย้งลำแขนแกร่งก็ยิ่งกดล็อคเธอไว้แน่นโดยที่ตัวเขาหันตะแคงข้างเข้าหาเธอ
“ แค่นอนเท่านั้นถ้าไม่หยุดดิ้นผมจะทำมากกว่านี้ให้คุณหมดแรงเลย ไม่เชื่อก็ลองดู ” เขาพูดน้ำเสียงเฉียบขาด เอาอีกแล้ว เขาขู่เธออีกแล้ว
“ คุณก็นอนไปสิ เอามือคุณออกจากตัวฉันด้วย ” เธอดิ้นอีกครั้งแต่เหมือนยิ่งพูดยิ่งยุ เพราะเขากระชับอ้อมแขนแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ อื่อ ” เธอร้องขัดใจเมื่อเขากอดแน่นกว่าเดิม การดิ้นรนเริ่มจะชะงักเมื่อลมหายใจอุ่นๆเริ่มรินลดท้ายทอยของเธอ พร้อมจูบเบาๆจนหล่อนขนลุก ไร้เรื่อยจนถึงซอกคอ
“ นะ นี่คุณจะทำอะไร ” เธอเริ่มกลัวแล้วสิว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นจริงว่าเขาจะทำให้เธอหมดแรง
“ ไม่ดิ้นแล้วหรอ? ” เขากระซิบถาม ชอบนักเชียวที่ได้แกล้งเธอ ยิ่งต่อปากต่อคำเขายิ่งอยากแกล้งอยากเอาชนะเธอเหลือเกิน
“ มะ ไม่ดิ้นแล้วก็ได้แต่คุณห้ามทำอะไรฉันนะคะ ” หล่อนหน้าง้ำงอ แต่จำต้องยอม เขากระชับร่างบางเข้ากับเขาแน่นจนแผ่นหลังหล่อนชิดกับแผงอกแกร่ง จนเธอตัวแข็งทื่อ หน้าแดงจะดิ้นหนีก็ไม่รู้เขาจะทำอะไรเธอหรือเปล่า
“ กลัวหรือไง? ” เขาถามเสียงนุ่มเมื่อสัมผัสถึงอาการเกร็งตัวของคนในอ้อมกอด แทนการพูด หล่อนก็พยักหน้าให้เขาแทน ความอยากแกล้งเริ่มลดลง เขาค่อยๆกอดเธออย่างหลวมๆ เสียงลมหายใจที่หล่อนแทบไม่กล้าหายใจ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนร้ายโรคจิตยังไงก็ไม่รู้ ทำให้คนที่นอนกอดอยู่กลัวขนาดนี้เลยหรอ สดซิงขนาดนี้เลยรึไง เขาคิดต่อในใจ มันแปลกที่ยังมีผู้หญิงหวงเนื้อหวงตัวแบบนี้อยู่อีก ก็ดูทุกวันนี้สิ คบกันไม่เท่าไหร่ เนื้อตัวนี่ยกให้เสียแล้ว หล่อนไม่เคยมีแฟนหรือไงถึงได้ทำตัวแข็งทื่อซะขนาดนี้
“ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ” จูบไปแล้วเนี่ยนะยังบอกไม่ทำอะไรไหนจะนอนกอดเธออย่างนี้อีก เธอเถียงเขาในใจ
“ ไว้ใจผมได้ ” เขายังพูดต่อ ให้ไว้ใจได้ไงทำกันขนาดนี้ หล่อนก็ยังเถียงในใจอีก และดูเขาจะรู้ว่าหล่อนไม่เชื่อและหล่อนก็คงแอบว่าเขาในใจนั่นแหล่ะเขาจึงพูดต่อ
“ นอกจากผมแล้ว ก็ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ ” หล่อนหัวเราะในใจ นี่ขนาดไว้ใจได้นะ.....ไม่มีปฎิกิริยาอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อสินะ แล้วเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้งก่อนที่เขาจะกระชับตัวหล่อนเข้าไปจูบที่ศรีษะ
“ คุณ ” อีกครั้งที่หล่อนส่งเสียงว่าเขา แต่ภวิชกลับยิ้มถูกใจแถมยังหอมไปหลายต่อหลายครั้งอีกยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งจะหอม ร่างบางคิ้วขมวดยู่ คนเอาแต่ใจ เมื่อเขายังระดมจูบที่ศรีษะทุกครั้งที่หล่อนดิ้นจนในที่สุดเจ้าตัวก็นอนนิ่งๆ หมดฤทธิ์แล้วหรอ ใยตัวแสบ เขานึกขำในใจกับท่าทางฟึดฟัดของเธอ
“ แค่นอนกอดเท่านั้น มินตรา ” เขาพูดประโยคสุดท้ายอย่างอ่อนโยนไม่มีความเจ้าเล่ห์อีกพร้อมหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา ร่างบางที่จำต้องให้เขากอดถอนหายใจหนักๆ แต่พอได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอแล้วหล่อนก็ค่อยวางใจ เจ้าเล่ห์จริงๆ หล่อนส่ายหัวแล้วหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับอยู่ข้างๆ จะว่าไปปฎิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดของคนตรงหน้าอบอุ่นแปลกๆ ไม่มีความหวาดกลัว กลับรู้สึกปลอดภัยเสียอีก หล่อนพิจารณามองใบหน้าคมคาย จู่ๆรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก จนหล่อนสงสัยว่าเขาแกล้งหล่อนจนเป็นบ้าหรือไงถึงได้นอนยิ้มเช่นนี้ แต่ไม่นานนักร่างบางก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกันกับเขา ร่างสูงกระชับร่างบางที่หันหน้าเข้าหาเขาแน่นกว่าเดิม เขารู้ตัวว่าถูกคนบางคนที่ดิ้นรน หนีจากอ้อมกอดของเขามองอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนหลับแล้วเขาถึงกล้ากระชับ คนในอ้อมกอดซุกไซ้เข้าหาอกแกร่งแทนจนเขายิ้มกว้างแล้วหลี่ตาข้างนึงดูเจ้าหล่อน ดูท่าว่าคนขี้เซาไม่รู้ตัวว่ากอดเขาอยู่
สายๆของวันประมาณสิบโมงเช้าที่ร่างสูงค่อยๆรู้สึกตัวมองแสงแดดที่ส่องเข้ามาเล็กน้อยแล้วก็มองคนที่เขากอดไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบไปที่ขมับทีนึงแต่ก็ต้องหลับตาลงอีกรอบเมื่อเจ้าตัวเริ่มรู้สึกตัว ในนาทีต่อมา มินตราลืมตาขึ้นแล้วก็ค่อยๆขยับตัวออกจากร่างสูงที่หล่อนเพิ่งรู้ว่านอนกอดเขาจนหล่อนหน้าแดงใบหน้าร้อนผ่าว นี่ทำอะไรลงไปเนี่ยมิน หล่อนว่าตัวเองในใจก่อนจะหันไปดูนาฬิกาตรงหัวเตียงค่อยๆ ยกมือเขาออกจากตัว ซึ่งร่างสูงก็ไม่เกร็งยอมให้หล่อนเอามือเขาออก เธอค่อยๆขยับลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวเจ้าของเตียงจะตื่น กลิ่นกายเขาที่หล่อนสัมผัสเวลาที่เขากอด มันอบอวลเหลือเกิน ร่างบางเดินไปหยิบชุดตัวเองที่เพิ่งซักไว้เมื่อวานแล้วก็เดินเข้าไปจัดการอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวกลับบ้านของตัวเองสักที ความสุขที่นี่คงเป็นแค่ความทรงจำแล้ว เธอคิดแล้วก็ใจหายไม่ได้ อยู่นี่มา 3 วันรู้สึกผูกพันธ์ ได้รับการดูแลที่ดี และยังได้อ้อมกอดที่อบอุ่นอีก แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อเขาก็มีชีวิตในแบบเขา ส่วนหล่อนก็ต้องไปตามทาง ภวิชลืมตาขึ้นเมื่อร่างมินตราลับหายเข้าไปในห้องน้ำ เขาเอามือสอดเข้าไว้ใต้ศรีษะ อย่างอารมณ์ดีที่ได้นอนกอดเธอ ตอนที่เธอตื่นไม่เหมือนวันแรกที่เขาแอบกอดตอนที่เธอไม่สบาย เรียวปากหยักเม้มแน่นเมื่อคิดไปว่า ถ้าหล่อนกลับไปบ้านแล้วเขาคงต้องรีบคิดแผนให้หล่อนกลับมาอยู่ที่นี่กับเขาอีก เขาส่ายหัว ในความคิดของตัวเอง รู้สึกตัวเอง โรคจิตขึ้นทุกวันตั้งแต่เจอกับเธอ อยากให้เธออยู่ใกล้ อยากทำอะไรต่อมิอะไรไปกับเธอ เขาอยากให้เธอมาเป็นภรรยาเขา เฮ้อ
“ แล้วจะทำไงวะ ” เขาพรึมพรำออกมาเบาๆ ดูท่าว่าเขาจะเป็นเอามากจริงๆ ร้อยวันพันปีไม่คิดจะแต่งงาน แต่เธอกลับทำให้เขาคิดข้ามขั้นถึงขั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้ซะงั้นเขานั่งหย่อนขาลงข้างเตียง หยิบมือถือของเขาตรงหัวเตียงขึ้นมา ก่อนจะคิดขึ้นได้และเอื้อมไปหยิบมือถือเครื่องเล็กๆ อีกเครื่องที่ซ่อนไว้หลังโต๊ะหัวเตียงที่เขาซ่อนเธอไว้ก่อนที่เขาจะหยิบมันแล้วลุกเดินไปยังห้องทำงาน.....
เขาหยิบอุปกรณ์บางอย่างชิ้นเล็กๆที่เขาต้องใช้มันบ่อยๆ ขึ้นมา พร้อมไขควงอีกอันก่อนจะบรรจง ถอดชิ้นส่วนโทรศัพท์เล็กๆนั่นออกอย่างง่ายดายแล้วฝังตัวอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆเข้าไปแล้วประกอบกลับเช่นเดิม เขาดีดนิ้วให้กับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา ทีนี้ต่อให้หล่อนหนีเขา เขาก็ตามหล่อนเจอ ต่อให้คุยกับใครที่ไหน เขาก็สามารถได้ยิน เขายิ้มอย่างสุขใจก่อนจะลุกไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ออกมาจากตู้เสื้อผ้า เขาดูนาฬิกา นี่ปาไป 20 นาที แล้วหล่อนยังไม่ออกมาอีก นี่แหล่ะผู้หญิง ต้องใช้เวลา
“ ก๊อกๆ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่โต๊ะอาหารนะมินตรา ” เขาเคาะประตูห้องน้ำแล้วตะโกนบอกเธอก่อนที่จะนำร่างกายของตัวเองไปจัดการกับห้องที่อยู่ถัดไปซึ่งทางเข้าห้องนั้นมันก็อยู่ในห้องนอนนี่แหล่ะ ใกล้ๆ ตู้เครื่องแป้ง ซึ่งมันก็เป็นห้องนอนเหมือนกันส่วนใหญ่เอาไว้เก็บเอกสารสำคัญหรืออยากเงียบๆหายไป ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาไปทำงานที่ฝั่งแต่เปล่าเลย เขาอยู่ในห้องแห่งความลับนี่แหล่ะ แต่มันอยู่ในมุมที่ไม่มีใครจะสังเกตเห็นและเธอก็คงไม่เห็นเช่นกัน นี่แหล่ะนักวางแผนอย่างเขาจะทำอะไรก็ลึกลับไปหมด ที่ตรงนั้นเขาก็คิดขึ้นมาเอง ใครจะไปคิดว่าดีไซด์การออกแบบในห้องเขาที่ตกแต่งจนเหมือนลายจิตกรรมข้างฝาจะสามารถเปิดแล้วทะลุไปอีกห้องหนึ่งได้โดยที่ไม่มีใครรู้
“ เรือมาแล้วมาสินะ ” ภวิชและมินตราที่ยืนรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำหลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จหล่อนก็กล่าวขอบคุณและกล่าวลา ภวิชโทรบอกกฤษและสายชลว่าไม่ต้องตามเขาไปเพราะ เมื่อวานกว่าสองคนจะได้พักก็ตีสามกว่าแล้วที่เขาเห็นว่ามีเรือมาจอดเทียบท่าน้ำพร้อมทั้งสองคนที่เดินเข้าบ้านพักตามที่เขาบอก นื่คือเหตุผลที่ทำให้เขานอนไม่หลับ ลูกน้องคนสนิทยังไม่กลับจะหลับได้ไงเพราะห่วงลูกน้องเช่นกันแต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเขาถึงสบายใจขึ้น
“ เจ้านายครับจะพาเธอกลับจริงๆหรอครับ ผมว่าเจ้านายดูเหมือนยังไม่อยากให้เธอกลับเลย ” ทัชเดินมากระซิบถามผู้เป็นนายอย่างหยอกเย้าจนภวิชเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องแต่ก็ไม่แรงนัก และไม่เบาด้วยเช่นกัน ทัชเอามือกุมหน้าท้องอดขำไม่ได้
“ เงียบน่าทัช คนอย่างฉันเคยปล่อยไปง่ายๆหรือไงหล่ะ ” เขาหันมาทำตาเจ้าเล่ห์กับบอดี้การ์ดรู้ใจจนทัชยิ้มตาม นี่แหล่ะความร้ายกาจของเจ้านายเขาซึ่งเขารู้ได้ทันทีว่าพ่อบ้านไม่ได้หายไปไหนหรอกนอกจากรับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่อะไรสักอย่างตามที่เจ้านายเขาสั่งนั่นแหล่ะ มินตราที่ขึ้นไปรอบนเรืออยู่ก่อนแล้วมองภวิชและผู้ชายอีกคนที่เดินตามขึ้นมา เขาดูคมเข้มและแข็งแรงทั้งคู่ เมื่อเห็นว่ามินตรามองลูกน้องเขาด้วยความสงสัยอยู่ ซึ่งทัชเองก็แค่ยิ้มนิดๆและก้มิหัวทักทายเท่านั้น ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบให้เจ้าหล่อนมองผู้ชายอื่นก็เถอะ
“ มินตรา นี่ทัช เขาเป็นลูกน้องของผม ”
“ สวัสดีค่ะ ” หล่อนยกมือไหว้ทำเอาทัชเงอะงะรีบรับไหว้จนหน้าเสีย ผู้หญิงของเจ้านายไม่มีใครยกมือไหว้เขาสักคนแต่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทัชรู้สึกว่าคนนี้
แหล่ะ คงมัดใจนายได้แน่นอน เขาปรับสีหน้าเป็นยิ้มทันที
“ ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ครับ นายหญิง เอ้ย คุณมิน ” เขาแกล้งพูดฐานะผิดซึ่งมันทำให้ภวิชหันมาทำตาดุวาววับใส่แต่เขาก็ยิ้มขำๆ กับเจ้านาย เขาเดินมากระซิบลูกน้องตัวดีของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน
“ นายอยากตายหรือไงทัช ”
“ ฮ่า ๆ มิบังอาจครับเจ้านาย ขอตัวครับผมจะไปขับเรือ ” เขาหัวเราะและเลี่ยงตัวออกจากแขนแกร่งของเจ้านายที่เอาแขนมาพาดที่บ่า ภวิชยิ้มตามท้าย นี่แหล่ะลูกน้อง สหายที่ยอมตายเพื่อเขาได้ ทัชเป็นผู้ชายที่มีผิวเข้มแบบที่ผู้ชายทุกคนต้องการมีเพราะเขาออกกำลังกายสม่ำเสมอผมรองทรงสูง จมูกโด่งรั้น ความสูงไม่ต้องพูดถึงพอๆกับภวิชเลยแต่หากแววตามีทีเล่น ทีจริงและมีหุ่นที่ดูสูงใหญ่กว่าภวิชเล็กน้อยเท่านั้น
“ ขอตัวครับคุณมิน ” ไม่วายที่จะยั่วโมโหเจ้านายด้วยการหันไปขอตัวกับว่าที่นายหญิงของเขา จนภวิชแทบอยากลากมาอัดสักที ยิ่งสนิทบอดี้การ์ดพวกนี้ก็ยิ่งรู้จุดอ่อนของเขาและยังหาเรื่องกวนประสาทให้เขาสบายใจได้ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด
สิน่าจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา........จะหาบอดี้การ์ดและสหายที่ดีอย่างนี้ได้จากที่ไหนอีก
เรือส่วนตัวแล่นมาจนถึงฝั่งในเวลาเกือบชั่วโมง แล้วก็ตรงไปที่จอดรถราคาแพง ภวิชเป็นคนเดินคู่มินตรา ซึ่งตอนนี้ทัชนำไปก่อนแล้ว เขาแอบชำเลืองมองร่างสวยด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย ซึ่งมินตราก้มหน้ามองดินเท่านั้น
“ ไม่เปลี่ยนใจแน่หรอมิน ” เขาถามขึ้นอีกครั้งมินตราเงยหน้าขึ้นมองเขาบนใบหน้าที่เป็นเครื่องหมายคำถาม
“ เรื่องอะไรค่ะ? ”
“ ก็เรื่องที่จะกลับบ้านไงหล่ะ ” เขาถามหน้านิ่ง
“ นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ฉันเป็นแค่คนที่คุณช่วยไว้เท่านั้น สามวันที่ผ่านมาก็รบกวนคุณมากพอแล้วหล่ะค่ะ ” หล่อนยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน แต่ในใจหล่อนก็รู้สึกเสียใจอย่างประหลาดเหมือนกัน
“ ก็บอกแล้วไงว่าไม่รบกวน ” เขาถอนหายใจอีกครั้งมองหน้าหล่อนจริงจัง จนเธอหลบตาต่ำลง
“ ฉันจะอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ ฉันต้องทำงาน อีกอย่างอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ”
“ แล้วถ้าฉันมีงานให้...เธอจะทำไหม ” เขาถามดูปฏิกิริยาของหล่อนที่ดูสนใจไม่น้อย
“ งานอะไรหรอค่ะ? ” เมื่อเห็นหล่อนเริ่มเข้าทาง เขาก็ทำหน้าขรึมเดินหนีหล่อนซะงั้น
“ ไว้ถ้าเปลี่ยนใจไม่กลับเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกัน ” ร่างบางมองตามท้ายเขาที่เดินจากไปพร้อมความสงสัยของเธอ เอาอีกแล้วเอาแต่ใจชะมัด
“ นี่คุณภวิช คุณจะไม่บอกฉันจริงๆ หรอ ” หล่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไปให้ทัน ชายหนุ่มหันมาคว้าหล่อนให้รีบเดินเพราะอากาศมันเริ่มร้อนแล้วดันหล่อนเข้าไปในรถอย่างเบามือ
“ บ่นจริง เดี๋ยวก็รู้น่า ถ้าเปลี่ยนใจไม่กลับบ้าน แล้วฉันจะบอก ” เขายื่นคำเดิมแล้วก็มุดตัวเองเข้าไปนั่งข้างๆหล่อนที่ตอนนี้สะบัดหน้าหนีเขาด้วยความขัดใจ เขายิ้มเปิดเผย ฟันขาวๆ ที่มีเขี้ยวเล็กๆ แซมอยู่เล็กน้อย ยิ่งชวนให้น่ามองเขากัดริมฝีปากตัวเองอย่างมีความสุข แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวในรถสะบัดหน้าหนี ทัชมองเจ้านายผ่านกระจกหลังเขาอยากจะถ่ายภาพไว้จริงๆ มันหาดูยากซะยิ่งกว่าอะไร ซึ่งภวิชก็หันมองกระจกสบตากับทัชพอดี ภวิชที่รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องจับผิดเขาอยู่และมันเป็นอย่างที่คิด ก่อนจะยักคิ้วให้ ทำเอาทัช รีบก้มหน้าขับรถทันที ลืมไปจริงๆว่าเจ้านายเขาความรู้สึกไวยิ่งกว่าอะไร
ไม่มีการพูดจา มินตราเอาแต่มองนอกกระจก ต่างจากภวิชที่มองแต่หล่อนเขาเลิกคิ้ว หวังให้หล่อนหันมาหาเขาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย
“ นี่คุณ คุณจะไม่บอกใครหน่อยหรือไงครับ ว่าบ้านพักคุณเนี่ยมันอยู่ที่ไหน ” เขาทำหน้าขึงขังจนหล่อนหันมาทำคิ้วขมวดใส่เขา เขาได้เห็นแล้ว ได้เห็นใบหน้าของเธอ รู้งี้เขาพูดแบบนี้ตั้งนานซะก็ดีหรอก
“ คุณจะเสียงดังทำไมค่ะ อยู่ใกล้แค่นี้เอง ”
“ ฮ่าๆ มินตรา คุณรู้อะไรไหม ว่าตอนนี้คุณเหมือนกับ เมีย ที่ว่า ผัว เลยนะ ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันสักนิด " เขาหัวเราะแล้วเอนตัวไปพูดกับหล่อนใกล้ๆ ทำเอาหล่อนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียว
“ คนบ้า ”
“ อ้าว ก็มันจริงนี่ คุณทำท่าเกรงใจผมเวลาที่อยู่เกาะ แต่พอขึ้นรถคุณกลับปั้นปึ่งใส่ผมซะงั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าหมดประโยชน์แล้วหรือเปล่า ” เขาพูดทำนองประชดประชันปนน้อยใจ จนมินตราสบตากับเขาอีกครั้งแล้วถอนหายใจ
“ ฉันขอโทษค่ะที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่เคยมองใครเป็นผลประโยชน์นะคะ ” หล่อนอธิบายหลบตาลงต่ำ ภวิช ผงะไปนิดหน่อย เขาแค่แหย่เธอเท่านั้นแต่ดูเหมือนไปสะกิดปมของเธอเข้า
“ ไม่เอาแล้ว ผมล้อคุณเล่นเท่านั้น อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ ” เขาลากเสียงยาวแล้วเอียงคอมองหล่อนนิดๆ เหมือนอยากเห็นว่าหล่อนไม่ได้กำลังจะร้องไห้ มันทำให้หล่อนยิ้มออก ไม่คิดว่าเขาจะทำท่าน่ารักๆ แบบนี้เป็น ภวิชยิ้มมุมปากนิดๆที่หล่อนยิ้มออก ก่อนที่มือจะยกขึ้นยีหัวหล่อนพร้อมทำหน้ายู่ใส่อย่างเอ็นดู
“ นี่คุณทำอะไรเนี่ย ” ร่างบางยกมือขึ้นกุมหัวปัดป้องไม่ให้มือเขามายีผมหล่อนได้
“ สรุปบ้านคุณอยู่ไหน ” เขาปรับสีหน้าเป็นจริงจัง จนหล่อนแทบปรับไม่ทัน
“ อยู่ที่...XXXXX ” หล่อนบอกออกไปมันคือส่วนหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่กว้างใหญ่ ทัชพยักหน้าขับรถไปตามที่หญิงสาวได้บอกไว้ แต่เขาก็รู้ความต้องการของเจ้านายว่าอยากให้รถคันนี้แล่นถึงให้ช้าที่สุด เขาจึงขับรถสบายๆ ไม่เร่งรีบอย่างทุกครั้ง การขับรถครั้งนี้ใช้ระยะเวลานานกว่า 10 ชั่วโมงแน่นอน เมื่อไม่มีการพูดคุยกัน ร่างบางจึงเอนกายพิงกับเบาะรถแล้วหลับตานอนอย่างที่เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไกล ภวิชที่นั่งกอดอกอยู่ ค่อยๆจับร่างหล่อนลงนอนหนุนที่ตักเขา ทำเอาร่างบางรู้สึกตัว จะลุกขี้นแต่เขาปรามเสียก่อน
“ นอนเถอะนะ ถึงแล้วผมจะปลุกเอง ” ใบหน้าเขาที่ก้มลงมาใกล้ทำให้หล่อนไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย จำต้องปิดเปลือกตาลงเพราะไม่อยากเห็นแววตาหวานๆ ของเขากลัวใจตัวเองจะสั่นไปมากกว่านี้ รู้สึกเปลืองตัวจริงๆ ในสามวันที่รู้จักเขาแต่ก็รู้สึกปลอดภัยเพราะเขาเหมือนกัน เธอหลงรักเขาหรอ? ความรักมันเร็วขนาดนี้เลยหรือไง? ทั้งๆที่หลับตาแต่คิ้วเรียวสวยกับขมวด จนภวิชยิ้มอีกครั้งแล้วเอาหัวนิ้วโป้งคลึงๆคิ้วของหล่อน
“ ผมบอกให้คุณนอน คุณจะทำคิ้วสงสัยอะไรกันนักหนา หืม ฮ่าๆๆ ” เขากระเซ้าเย้าแหย่จนหล่อนหน้าแดงนั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะให้เขา สงสัยเขาต้องตบรางวัลให้ทัชเสียแล้วที่รู้ใจเขาขับรถสบายๆ ให้เขาได้อยู่กับหล่อนนานๆ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงหงุดหงิดไปแล้วแน่ๆ ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ความเงียบพร้อมกับห้วงนิทรา ที่เข้าครอบงำหญิงสาว ภวิชมองคนที่หลับสนิทแล้ว และมั่นใจว่าเธอจะไม่ได้ยินเรื่องที่เขาจะพูดแน่
“ ทัช นายช่วยดูเธอแทนฉันหน่อยนะ รายงานให้ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ รวมถึง เรื่องพ่อของเธอด้วย สืบมาว่าได้ความยังไงบ้าง ”
“ ครับ เจ้านาย ”
“ อีกกี่ชั่วโมง? ” ภวิชถามเวลาที่น่าจะถึงบ้านหญิงสาว
“ 4 ชั่วโมงได้ครับ คงถึงราวๆ สี่ห้าทุ่มเพราะเราออกมาก็บ่ายกว่าแล้ว ” ทัชอธิบาย ติ๊ดๆ เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง จริงสิ เขาลืมคืนโทรศัพท์ให้เธอนี่นา แถมยังลืมปิดเครื่องไว้อย่างเดิมอีก ภวิชถือวิสาสะรับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้าแทน โดยที่เขาไม่พูดอะไร นอกจากเรียวคิ้วที่ขมวดเท่านั้น แววตาดุดันฉายชัดบนใบหน้าหล่อ ก่อนจะกำโทรศัพท์แน่นเมื่อคนปลายสายวางไป
....................
....................
………………….
………………….
ต่อจากนี้ชีวิตเธอคงจะเปลี่ยนไปแล้วนะ มินตรา