6
น่าอับอายยิ่งนัก
กลับมาที่การเปิดให้อ่านตำราโดยไม่เสียเงินชั่วคราวของคุณหนูซิว สตรีผู้ถูกเล่าลือว่างดงามมีเมตตาแสร้งปาดน้ำตาที่มีอยู่เล็กน้อยออกก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ท่าทางเช่นนี้ของหญิงงามมักจะทำให้บุรุษรู้สึกอยากปกป้อง
“ตายจริง ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ ข้านี่มันใช้ไม่ได้ที่ละเลยท่าน”
“ไม่เป็นไรขอรับคุณหนูซิว” หานจงเซ่อใบหูแดงเล็กน้อย
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเจ้าคะ ลี่มี่ไปเชิญท่านหมอมารักษาท่านบัณฑิตเถิด”
“อย่าให้ถึงท่านหมอเลยขอรับ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ” แม้จะรู้สึกอับอายต่อหน้าสตรีในดวงใจแต่เมื่อได้รับความห่วงใยจากนาง เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว
“เช่นนั้นให้ข้าทำแผลให้ดีหรือไม่เจ้าคะ อย่าปฏิเสธข้าเลยนะเจ้าคะ” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคล้ายเว้าวอนทำให้บุรุษพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นต้องรบกวนคุณหนูซิวแล้วขอรับ” เป็นหานจงเซ่อที่รู้สึกอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
“หากไม่มีเรื่องใดแล้วพี่กลับจวนก่อนนะ” ซิวเมิ่งหยวนที่เหนื่อยหน่ายกับงิ้วของน้องสาวกล่าวก่อนจะเดินแยกตัวไป
‘คลาดกันจนได้ แต่ไม่เป็นไร คงต้องใช้ข้ออ้างเรื่องม้าในการไปเยือนจวนฟ่านเสียแล้ว’ ซิวซือเย่คิดก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มอ่อนโยนเมื่อคิดถึงใบหน้าของคุณหนูใจดีผู้นั้น
ส่วนคุณหนูซิวที่กำลังเล่นงิ้วเป็นสตรีจิตใจดี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามตามที่บิดามารดาสั่งสอนนั้น กำลังพยายามเก็บสีหน้าเบื่อหน่ายยามฟังบัณฑิตอ่อนแอกล่าวถึงตำราที่เขาชื่นชอบ
เพราะหวังจะได้ใกล้ชิดบุรุษที่ตนพึงใจนางจึงใช้ข้ออ้างเรื่องที่เขาเคยช่วยเหลือนางหวังเข้าใกล้เขา แต่กลับไม่เป็นดังหวังเมื่อเขาเรียกทองจากนางถึงสองหีบเพื่อเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือนางซึ่งเขาส่งคนไปรับมันจริง ๆ ทำให้นางต้องถูกบิดาสั่งงดเบี้ยหวัดนานถึงสองปี เป็นการลงโทษที่ทำจวนซิวต้องเสียทองคำไปโดยไร้ประโยชน์ถึงสองหีบ
ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารไปอีกกำมือ[1]
แม้จะถูกสั่งงดเบี้ยหวัดแต่ทว่าการสร้างเสียงเล่าลือให้ตนเองเป็นสตรีจิตใจดีมีเมตตาก็ยังต้องทำต่อไป เพราะแม้ไท่จื่อคังเฟยหลงจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงนานนับปีแล้ว แต่ทว่านี่กลับเป็นโอกาสดีที่นางจะเร่งมือทำให้ตนเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อแทน
พระชายาไท่จื่ออันใด นางไม่ได้อยากเป็น คนที่อยากเป็นคือบิดาของนางโน่นที่ทะเยอทะยานอยากเป็นพ่อตาของฮ่องเต้องค์ถัดไป ด้วยเหตุนั้นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่นางต้องออกไปตั้งโรงทานตามที่ต่าง ๆ จนกว่าชื่อเสียงดีงามจะลอยไปเข้าหูไท่จื่อ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่เมืองหลวงการกระทำของนางก็คล้ายว่าจะสูญเปล่า บิดาจึงไม่ให้การสนับสนุนอีก แต่กลับเป็นนางที่อยากทำต่อเพราะมันทำให้นางมีข้ออ้างออกมายืนตามข้างทางอย่างชอบธรรมเพื่อจะได้มีโอกาสได้พบเจอบุรุษในดวงใจของตน
โชคดีที่ว่าแม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนเงินจากบิดาแล้ว แต่นางก็ยังมีตำราที่เคยช่วยซื้อมาจากร้านขายตำราซึ่งกำลังจะปิดร้านย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยไม่มีเงินจ่ายหนี้และตอนนั้นที่นางช่วยซื้อก็เพราะมีคนกำลังมุงดูท่านลุงผู้นั้นด้วยความสงสาร นางจึงยอมจ่ายเงินซื้อตำราทั้งหมด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเสียงเล่าลือถึงความงดงามและมีเมตตาของนาง
เมื่อคิดออกว่าจะสร้างภาพลักษณ์ดีงามของตนเช่นไร นางก็ใช้ท่าทางน่าเอ็นดูของตนไปขอยืมพื้นที่ร้านที่ไม่มีคนเช่าเพื่อเปิดให้บัณฑิตเข้ามาอ่านตำราโดยไม่เสียเงิน ซึ่งเจ้าของพื้นที่ก็ตอบรับแต่มีข้อแม้ว่านางจะต้องสรรเสริญเยินยอความจิตใจดีของตนด้วย
ส่วนเหตุใดเป้าหมายของนางถึงเป็นบัณฑิตน่ะหรือ?
ก็เพราะคนพวกนี้อาจจะกลายเป็นขุนนางใหญ่โตให้นางได้ใช้ประโยชน์ในภายหน้าน่ะสิ
“ขอบคุณคุณหนูซิวขอรับที่ช่วยทำแผลให้ข้าน้อย” เป็นเสียงของบุรุษตรงหน้าที่ดึงความคิดของนางกลับมา
“ท่านบัณฑิตอย่าได้แทนตนเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ อีกไม่นานหากพวกท่านได้เป็นขุนนางใหญ่โต กลับเป็นข้าเสียอีกที่เป็นผู้น้อย”
“คุณหนูซิวอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ หากวันหน้าพวกข้าได้เป็นขุนนาง ข้าย่อมรู้สึกสำนึกในบุญคุณที่ท่านคอยให้ความช่วยเหลือพวกข้า”
“ข้าเห็นด้วย ๆ” บัณฑิตอีกหลายคนที่เพิ่งมาหาอ่านตำราโดยไม่เสียเงินกล่าว
“เช่นนั้นหากวันหน้าพวกท่านได้เป็นขุนนางข้าซิวลู่หลินคงต้องฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ” นางย่อตัวแสดงความเคารพต่อบัณฑิตทั้งหลายอย่างนอบน้อมแต่ใบหน้าที่ก้มต่ำกลับซ่อนรอยยิ้มเอาไว้อย่างมิดชิด
‘เห็นหรือไม่ว่าวันหน้า ไม่ว่าข้าจะได้เป็นพระชายาของใคร ข้าย่อมเป็นสตรีในเรือนหลังที่สามารถสนับสนุนสวามีได้’
ด้านคุณหนูฟ่านที่พาตนเองเข้าไปนั่งในโรงเตี๊ยมหนานเหิง หวังจะได้พบบุรุษรูปงามท่าทางลำบากหรือบัณฑิตตกยากสักคน นางจะได้เข้าไปตีสนิทแล้วผูกมิตรเป็นสหาย ยามพาเข้าใกล้พี่ใหญ่ เขาจะได้ไม่รู้ตัว
โต๊ะที่นางเลือกนั่งเป็นโต๊ะในมุมอับสายตาเช่นเดิมเพื่อจะได้สะดวกต่อการกวาดสายตามองหาบุรุษให้พี่ใหญ่ อีกทั้งยังสามารถกวาดสายตามองลงไปยังด้านล่างได้อีกด้วย
“จวนราชครูนี่สั่งสอนบุตรหลานได้ดีเสียจริงว่าหรือไม่”
“เจ้าคงหมายถึงคุณหนูซิวที่ไปขอยืมพื้นที่เถ้าแก่เจียงเปิดให้บัณฑิตได้มาอ่านและยืมตำราโดยไม่เสียเงินใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง นางช่างมีวิธีการให้ที่แตกต่างกันออกไป”
“ข้าก็คิดอยู่ว่าบัณฑิตพวกนั้นหายไปที่ใด ยามปกติมักจะรวมตัวกันมาอ่านตำราในโรงเตี๊ยมแห่งนี้”
“ก็คงไปหาคุณหนูซิวกันหมด เพราะนอกจากที่นั่นจะมีตำราให้อ่านโดยไม่เสียเงิน ยังมีน้ำชาให้กินอีกด้วย”
“อืม...มิแปลกใจที่บัณฑิตพวกนั้นไปอยู่ที่นั่นกันหมด”
“แต่ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่คุณหนูซิวทำไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เป็นสตรีไปอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมายเช่นนั้นมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม”
[1] นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ที่ต้องการแล้วยังต้องสูญเสียอย่างอื่นไป
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว