ไม่ได้การแล้ว...นางต้องทำอันใดสักอย่าง
เมื่อกลับถึงเรือนของตน ฟ่านซีอิ๋งก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปขออนุญาตมารดาเพื่อออกไปข้างนอก
“คุณหนูจะออกไปซื้อสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะไป...” หากตอบว่าไปมองหาบุรุษที่เข้าท่ามาให้พี่ใหญ่ ก็คงจะไม่ได้
ของขวัญ! ใช่แล้วอีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะมีอายุครบยี่สิบสี่หนาว นางแสร้งทำเป็นออกไปหาซื้อของขวัญให้เขาคงจะได้กระมัง อย่างน้อยก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้ออกจากจวนได้ราวสามสี่ครั้ง
แต่เพียงคิดถึงของขวัญ นางก็น้ำตาแทบไหลรินเมื่อคิดถึงเงินก้อนสีทองที่จับจ่ายไปในหอชายงามครั้งนั้น การไปเที่ยวเช่นนั้นช่างใช้ตำลึงมากมายทีเดียว
“ข้าจะออกไปซื้อของขวัญให้พี่ใหญ่”
“คุณหนูได้เลือกของขวัญที่จะมอบให้คุณชายใหญ่แล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ข้ายังคิดไม่ออก จึงคิดว่าจะมาเดินดูก่อน”
“พู่กันอย่างไรเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูเคยบอกว่าอยากได้พู่กันล้ำค่า...”
“ไม่เอา ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” นางไม่มีวันเดินเข้าร้านเหิงจื้อเป็นแน่
“เช่นนั้นของขวัญของคุณชายใหญ่จะเป็นสิ่งใดดีเจ้าคะ”
“เพราะข้ายังไม่รู้ จึงต้องมาเดินดูก่อนอย่างไร เผื่อจะเกิดความคิดดี ๆ” นางแสร้งทำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ซูฉีจะได้ไม่เอ่ยปากถามต่อ มิเช่นนั้นนางต้องหลุดท่าทางร้อนรนออกมาเป็นแน่
ส่วนของขวัญของพี่ใหญ่น่ะหรือนางคิดออกตั้งนานแล้ว ในเมื่อไม่มีตำลึงมากพอที่จะไปจ้างคนตีกระบี่ นางจึงคิดจะทำพู่ห้อยกระบี่ให้แทน
คุณหนูฟ่านเลือกลงจากรถม้าที่ย่านการค้า เพื่อไม่ให้หูตาของพี่ใหญ่ที่เร้นกายติดตามมาด้วยทราบถึงจุดประสงค์ที่นางทำ นางจึงจงใจจะทิ้งสาวใช้คนสนิทไว้ที่โรงงิ้ว
“ซูฉีเจ้าอยากดูงิ้วหรือไม่ ข้าได้ยินว่าวันนี้เขาจะแสดงเรื่องตำนานรักสาวทอผ้ากับชายเลี้ยงวัว”
“จริงหรือเจ้าคะ คุณหนูจะไปดูใช่หรือไม่”
“เจ้าก็ทราบว่าข้าไม่ชอบคนพลุ่งพล่าน ข้าจะไปหาที่นั่งรอเจ้า ส่วนเจ้าก็ไปดูกับพี่ชายอิน เมื่อดูจบแล้วก็มาเล่าให้ข้าฟัง”
“จะดีหรือเจ้าคะคุณหนู” เมื่อเห็นสาวใช้คนสนิทแสดงสีหน้าลังเลนางจึงรีบตัดบทแล้วเอ่ยวาจาสั่งพี่ชายอิน
“ย่อมดี ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน พี่ชายอินเจ้าคะ ท่านช่วยแยกไปคุ้มครองซูฉีสักคนนะเจ้าคะ”
“ขอรับคุณหนู” เสียงตอบรับดังมาตามสายลม
“ไป ๆ เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะได้รีบไปหาที่นั่งรอ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู” เมื่อสาวใช้คนสนิทเดินเข้าโรงงิ้วไปพร้อมกับผู้คุ้มกันหนึ่งคน นางก็แสร้งมองซ้ายขวาคล้ายกับหาที่นั่ง
“พวกท่านไม่ต้องออกมาเจ้าค่ะ เร้นกายเช่นนั้นดีแล้ว” นางเอ่ยวาจาสั่ง การเดินไปไหนมาไหนคนเดียวคล่องตัวกว่านัก
ฟ่านซีอิ๋งหาซื้อผ้าคลุมมาใส่คลุมหน้าเสร็จก็เดินเข้าออก ร้านเกือบทุกร้านในย่านการค้า เห็นจะมีแต่ร้านเหิงจื้อเท่านั้นที่นางเดินผ่านโดยไม่คิดชายตามอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนต้องตาตนเองเสียแล้ว
ในระหว่างที่เดินนางกวาดสายตามองรอบตัว เพื่อมองหาร้านหรือโรงเตี๊ยมที่มีบุรุษรูปงามแต่ท่าทางลำบากรวมตัวกันอยู่
‘ใช่แล้วหากเป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ไร้ตระกูลหนุนหลัง อาจจะใช้งานง่ายกว่า’ พอคิดได้เช่นนั้นนางจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมหนานเหิง โดยไม่รู้ว่าการเดินวนไปมาเพื่อมองหาบุรุษไปเปลี่ยนใจพี่ชายตนได้สลัดการติดตามของบุรุษสองคนออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
บุรุษคนแรกเห็นจะเป็นบุรุษรูปร่างกำยำ ใบหน้าแม้จะไม่งดงามมากนักแต่ทว่าหากสตรีใดได้มองก็ยากจะละสายตาเนื่องจากดวงตาที่ฉายแววเย็นชาอยู่เป็นนิจนั้นล้ำลึกยากจะหยั่งถึง
“ท่านบัณฑิต สามารถเข้ามาหยิบยืมตำราที่ต้องการได้นะเจ้าคะ” เสียงของคุณหนูจิตใจมีเมตตาผู้หนึ่งดังขึ้น
วันนี้คุณหนูผู้นี้ได้นำตำราหลายอย่างมาขอใช้พื้นที่ของร้านที่ร้างไร้คนเช่า เพื่อให้บัณฑิตที่มีฐานะยากจนได้มาอ่านโดยไม่เสียเงิน ทั้งยังสามารถหยิบยืมไปได้อีกด้วย แต่มีข้อแม้ว่าในอีกเจ็ดวันข้างหน้าจะต้องนำมาคืนที่นี่เช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้คุณหนูผู้งดงามจิตใจมีเมตตาผู้นี้จึงกลายเป็นดั่งเทพธิดาในสายตาบัณฑิตเหล่านี้ไปเสียแล้ว
“...” แต่ก็มีบัณฑิตเช่นเขาที่ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือนี้ จึงเมินเฉยและเดินผ่านไป คุณหนูน่าเอ็นดูผู้นั้นต่างหากที่เขากำลังให้ความสนใจ
“ท่านบัณฑิตเจ้าคะ อย่าได้เกรงใจ ท่านสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งอ่านที่นี่หรือหยิบยืมกลับไป”
“...” โจวคุนต๋ายังคงเพิกเฉยและทำท่าจะเดินผ่านไป
“ตำราของเรามีมากมาย ท่านบัณฑิตลองเข้าไปดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อาจจะมีตำราที่ท่านต้องการก็ได้” คราวนี้เป็นคุณหนูผู้นั้นดึงรั้งชายอาภรณ์ของเขาไว้
“ปล่อยมือ” เขาปรายตามองชายอาภรณ์ที่ถูกจับอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยวาจาสั่ง
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย” สตรีผู้นั้นยอมปล่อยมือแต่เปลี่ยนเป็นมายืนด้านหน้าของเขาแทน
“หลีกทาง!” ดวงตาของเขายังจับจ้องแม่นางน้อยน่าเอ็นดูที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ
“คุณชายเหตุใดท่านถึงเอ่ยวาจาโหดร้ายเช่นนั้น ข้าเพียงแต่หวังดีอยากให้ท่านได้มีโอกาสอ่านตำราโดยไม่ต้องเสียเงิน”
“คุณหนู...บัณฑิตท่านนี้ไม่สนใจความเมตตาที่ท่านหยิบยื่นให้ก็แล้วไปเถิดเจ้าค่ะ” เสียงของสาวใช้ที่ไม่เบาเลยทำให้บัณฑิตที่นั่งอยู่ในร้านแห่งนั้นหันมาให้ความสนใจ
“เป็นเจ้าอีกแล้วหรือคุนต๋า เจ้าทำอันใด เหตุใดคุณหนูซิวถึงได้โศกเศร้าเช่นนี้” เป็นหานจงเซ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ที่อีกฝ่ายมาทำให้เทพธิดาของตนโศกเศร้า
“หึ! โง่เง่า” โจวคุนต๋าเค้นเสียงในลำคอพลางปรายตามองบัณฑิตหน้าอ่อนก่อนจะหันกลับไปมองหาแม่นางน้อยน่าเอ็นดู แต่นางเดินหายไปจากสายตาเสียแล้ว เขาจึงตั้งใจจะเดินตามหานางต่อกลับถูกดึงแขนไว้คล้ายกำลังจะถูกหาเรื่อง
“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าเพียงหวังดีอยากให้ท่านบัณฑิตได้มีโอกาสอ่านตำราหายาก แต่ในเมื่อเขาไม่สนใจก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ท่าทางโศกเศร้าดั่งดอกสาลี่ต้องฝนคล้ายกับน้ำมันที่ราดใส่กองเพลิง
“เห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำนางร้องไห้” กล่าวจบหานจงเซ่อก็กำหมัดจะเข้าทำร้ายอีกฝ่ายหวังจะทำให้สตรีที่ตนหมายปองประทับใจ แต่กลับพลาดเนื่องจากอีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบทำให้เขาล้มลงหน้ากระแทกกับพื้น
“อย่ามายุ่งกับข้าเข้าใจหรือไม่” โจวคุนต๋าจ้องมองบุตรสาวราชครูผู้มีจิตเมตตาด้วยแววตาเย็นชาแฝงอันตราย
สตรีที่มีจิตใจเมตตาอันใดกันเสแสร้งทั้งนั้น อยากให้คนที่กล่าววาจาเยินยอซิวลู่หลินมาเห็นเสียจริง ว่านางเสแสร้งเพียงใด สตรีจิตใจดีงามหรือ หึ! ก็แค่คุณหนูเอาแต่ใจผู้หนึ่งที่พยายามสร้างชื่อเสียงดีงามเพื่อปีนป่ายที่สูง เกรงว่ากับบัณฑิตเหล่านี้ก็คงหว่านบุญคุณเอาไว้หวังใช้งานในภายหน้าสินะ
เมื่อบัณฑิตท่าทางน่ากลัวผู้นั้นเดินจากไป คุณชายใหญ่หลิวก็ปรากฏตัวก่อนจะเข้ามาถามน้องสาวด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
“ลู่หลินเจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดถึงร้องไห้เช่นนั้น”
“เมื่อครู่มีบัณฑิตผู้หนึ่งที่นอกจากจะไม่เห็นความหวังดีของคุณหนูแล้วยังเอ่ยวาจาร้ายกาจใส่คุณหนู คุณหนูจึงโศกเศร้าเสียใจเจ้าค่ะ”
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจคนที่ไม่เห็นความดีของเจ้าเลย”
“ซิวซือเย่กล่าวถูกต้องแล้วขอรับ” เป็นหานจงเซ่อที่ใบหน้ามีแผลถลอกกล่าวเสริม
บทสนทนาของคนด้านหลังทำให้มุมปากของโจวคุนต๋ายกยิ้มเย้ยหยัน
‘เนื้อแท้ช่างต่างจากเปลือกนอก’ หากไม่อยู่ในสภาพนี้เกรงว่าจะไม่ได้เห็นความเสแสร้งที่แสนจอมปลอมเหล่านี้
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว