“แต่ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่คุณหนูซิวทำไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เป็นสตรีไปอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมายเช่นนั้นมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม”
“ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด”
“พอได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็เพิ่งนึกออกว่าก่อนหน้าที่จะมาที่ร้านแห่งนี้ ได้ยินบุรุษสองคนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่บัณฑิตเตรียมสอบแต่เป็นคุณชายผู้หนึ่งกล่าวชักชวนกันไปอ่านตำราโดยไม่เสียเงิน หวังจะได้ใกล้ชิดและเกี้ยวพาคุณหนูซิว”
“อืม ไม่เหมาะสมจริง ๆ นั่นแหละ”
คำกล่าวของชาวบ้านวัยกลางคนกลุ่มนั้นทำให้ฟ่านซีอิ๋งที่ลอบฟังอยู่พยักหน้าพลางลอบเคี้ยวฟันอย่างรู้สึกหงุดหงิดเมื่อบุรุษที่นางตั้งใจมาหมายตา ถูกคุณหนูซิวแย่งตัวไปจนหมด
‘ดูแล้ววันนี้คงไม่ได้เรื่อง กลับจวนก่อนก็แล้วกัน” นางดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่างก่อนจะทอดถอนใจแล้ววางก้อนตำลึงสีเงินลงบนโต๊ะก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมไป
“รบกวนพวกท่านส่งคนไปแจ้งซูฉีให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ว่าข้าเดินทางกลับจวนแล้ว”
“ขอรับคุณหนู” เมื่อผู้คุ้มกันแซ่อินรับคำ นางก็เดินกลับไปยังจุดที่สั่งให้คนขับรถม้าจอดรอเพื่อกลับจวนฟ่าน
‘เอาไว้ค่อยหาโอกาสมาใหม่’ นางไม่ยอมแพ้เรื่องของพี่ชายหรอก ในเมื่อมันมีคำว่า ‘ประหาร’ ทั้งตระกูลเป็นเดิมพัน
วันนี้อากาศช่างแปลกประหลาดยิ่งนักที่จู่ ๆ ก็ร้อนขึ้นมาเสียได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้กำลังเข้าสู่หน้าหนาว นางที่นอนไม่หลับจึงออกมานั่งที่ตั่งบริเวณชานเรือนด้านข้างเพื่อรับลม
กร๊อบ! เสียงกิ่งไม้หักเพราะโดนเหยียบทำให้นางสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป
“นั่นใครน่ะ!”
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ เป็นพี่เอง”
“พี่ซืออี้ เหตุใดถึงเป็นท่าน”
“ขออภัยวันนี้อากาศร้อนนัก พี่จึงออกมาเดินรับลม มิคิดว่ายามค่ำคืนเส้นทางในจวนฟ่านจะทำให้พี่หลงมาที่เรือนเจ้าได้”
“พบเจอกันครานี้ อาภรณ์ท่านก็ยังหลุดลุ่ยเช่นเดิมนะเจ้าคะ”
“ขออภัยวันนี้มันร้อนเสียจริง” กล่าวจบก็จับอาภรณ์ที่แหวกออกกว้างกระพือเล็กน้อยเพื่อทำให้เย็นลง แต่ภาพแผงกายกำยำที่ปรากฏให้เห็นยามที่เขาขยับมือกลับทำให้ดวงหน้าหวานเห่อร้อนขึ้น
‘พี่ชาย! ท่านกำลังล่อลวงข้าใช่หรือไม่’ เหตุใดถึงทำท่าทางเช่นนั้น สายตาของนางยิ่งไม่รักดีอยู่ด้วย คราก่อนเพราะรอบกายมืดมิดนางจึงไม่ได้เห็นชัดเต็มสองตาเท่าวันนี้
“พี่ซืออี้เอาพัดหรือไม่ ข้าจะไปหยิบให้” นางกล่าวก่อนจะรีบลุกจากตั่งด้วยท่าทีร้อนรน
“ไม่ต้อง” คังซืออี้ดึงรั้งข้อมือกลมกลึงเอาไว้เป็นเหตุให้นางไม่ทันตั้งตัวจนเซคล้ายจะล้มลง เขาจึงรีบวาดแขนเพื่อประคองนาง
“ขออภัยเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างละล่ำละลัก
“มิเป็นไร ว่าแต่อกพี่แน่นดีหรือไม่” เขาเอ่ยถาม มุมปากยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
“แน่นสู้มือดีเจ้าค่ะ เอ่อ...ขออภัยเจ้าค่ะ” ฟ่านซีอิ๋งรีบดึงมือออกพลางทำหน้าเลิ่กลั่ก
‘ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ เป็นอาภรณ์ท่านแหวกกว้างเกินไปต่างหาก’ เมื่อครู่ตอนที่เสียหลักมือของนางวางทาบลงบนอกเปลือยเปล่าของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะวางมือลงบนแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามนางจึงเผลอกดและบีบเล็กน้อยตามประสาสตรีผู้อยากรู้อยากเห็น
“หากเจ้าชอบพี่จะมาให้เจ้าจับเช่นนี้บ่อย ๆ ดีหรือไม่” แววตาพราวระยับแฝงล้อเลียนของเขาทำให้นางรู้สึกอับอายยิ่งนัก
ตู้ม! เสียงบางอย่างดังขึ้นในหัวนางก่อนที่ดวงหน้าหวานจะแดงก่ำลามไปถึงใบหูและลำคอ
“พี่ซืออี้ได้โปรดอย่าล้อเลียนข้าเจ้าค่ะ” นางก้มหน้าหลบสายตาของเขา
“เอาล่ะ พี่ไม่หยอกเย้าเจ้าแล้ว รีบเข้าเรือนเถิด ดึกดื่นยุงหรือแมลงมากนัก ประเดี๋ยวจะถูกกัดเอา”
“เช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็รีบวิ่งเข้าเรือนตนเองอย่างไม่รักษากิริยา
“ฝันดีนะซีอิ๋ง” ชินอ๋องซื่อจื่อหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเรือนรับรองของตน
แม้อากาศจะร้อนแต่คืนนี้เขาคงจะนอนหลับฝันดี เพราะได้มาล่อลวงน้องสาวสหาย ช่างเป็นการลงมือที่คุ้มค่าเสียจริง
ด้านคุณหนูฟ่านที่หนีความอับอายเข้ามาในห้องของตนด้วยหัวใจที่เต้นระรัวกว่าจะพยายามควบคุมสติของตนได้ นางก็ใช้เวลาพักใหญ่
“ชินอ๋องซื่อจื่อผู้นี้ช่างอันตรายเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่คุณหนูในเมืองหลวงจะพากันหลงใหลและปรารถนาจะเป็นพระชายาของเขา” เสน่ห์ของเขามันยากจะต้านทานนี่เอง ขนาดนางยังเผลอไปจับและบีบแผงอกของเขาเลย
“แต่เอ๊ะ! เขาบอกว่าเขาหลงทาง แล้วเช่นนี้จะกลับเรือนถูกหรือไม่” นางกำลังผุดลุกขึ้นยืนตั้งใจจะไปช่วยเหลือเขา แต่เมื่อคิดถึงความอับอายก่อนหน้านี้ นางก็เปลี่ยนใจนั่งลงบนเตียงเช่นเดิม
“ช่างเถิด ประเดี๋ยวก็คงมีบ่าวไพร่หรือผู้คุ้มกันที่มาเดินตรวจพบเข้าแล้วพากลับเรือนรับรองเอง” นางถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงนอน
‘แต่เมื่อครู่มันน่าอับอายมากจริง ๆ หากพบหน้ากันครั้งต่อไปนางจะต้องทำหน้าเช่นไรกัน’ มือเรียวดึงผ้าห่มมาปิดหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงเรื่องราวน่าอับอาย
ภาพของคุณหนูฟ่านและท่านอ๋องน้อยเมื่อครู่ทำให้บรรดาองครักษ์เงาได้แต่ทอดถอนใจพลางนึกขบขันกับแผนการล่อลวงสตรีของผู้เป็นนาย
‘ข้าว่าคุณหนูฟ่านคงหนีไม่พ้นตำแหน่งพระชายาชินอ๋องซื่อจื่อแล้ว’ หลงทางที่ใดกัน ท่านอ๋องน้อยจงใจสวมอาภรณ์บางเบามาล่อลวงคุณหนูฟ่านยามค่ำคืน
‘พวกเจ้าหุบปาก! หากอยากสนทนากันให้ออกไปสนทนากันไกล ๆ’ เป็นพี่ใหญ่อย่างจือไห่กล่าว มานินทาเจ้านายใกล้เรือนคุณหนูฟ่านเช่นนี้ เกิดคุณชายฟ่านมาได้ยินเข้า ท่านอ๋องน้อยจะลำบากเอา
เมื่อโดนพี่ใหญ่ไล่ องครักษ์เงาแซ่จือก็รีบเร้นกายหายไป ทิ้งให้จือไห่ทอดถอนใจกับสารพัดแผนล่อลวงสตรีของท่านอ๋องน้อย
เช้าวันต่อมานางก็มารับสำรับพร้อมหน้าบิดามารดา พี่ชายและสหายของพี่ชาย เมื่อเห็นท่าทางปกติไม่มีสายตาล้อเลียนของเขานางจึงเบาใจและลดความกังวลลง
“เป็นอันใดไป เหตุใดถึงถอนหายใจเสียงดังเช่นนั้น หรืออยากกินปลาแต่ขี้เกียจเลาะก้าง บอกพี่ได้ พี่จะทำให้” คังซืออี้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของนางเอ่ยถามเสียงเบา เพื่อไม่ให้รบกวนท่านพ่อที่กำลังสนทนากับพี่ใหญ่อยู่
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ
“นี่ปลาของเจ้า” เขาคีบปลาที่เลาะก้างเรียบร้อยวางในชามข้าวของนาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางก้มหน้าเล็กน้อยคล้ายยังเขินอายเรื่องที่ตนเองทำลงไปเมื่อคืน
“ซืออี้ เจ้าแย่งหน้าที่ข้า” หน้าที่ช่วยคีบอาหารให้น้องสาวที่แขนสั้นกว่า เป็นของพี่ชายเช่นเขามาตั้งแต่เด็ก
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว