สุดท้ายแล้วอวี้ซีเยว่ได้แต่เก็บความรู้สึกค้างคาเอาไว้ในใจ
ป่าเฟิงของวัดเฟิงกวางช่างงดงาม นอกจากจะมีคุณหนูเช่นนางและพี่สาวแล้วยังมีผู้ใจบุญเดินทางมาไหว้พระขอพรและทำบุญมากพอสมควร
“ลู่เสียน ซีเยว่” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดึงความสนใจของพวกนางให้หันไปมอง
“พี่ใหญ่” อวี้ลู่เสียนพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี
พอได้ยินที่พี่รองเอ่ย ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้างด้วยความยินดี พี่ใหญ่ผู้นี้ช่างหน้าคล้ายกับพี่ชายที่ตายไปแล้วในโลกก่อน
“พี่ใหญ่เป็นท่านจริงๆ ด้วย ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก” อวี้ซีเยว่วิ่งเข้าไปหาบุรุษผู้มีหน้าตาหล่อเหลาดั่งพระเอกซีรี่ย์จีน
“พี่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” อวี้ลู่หมิงกอดตอบน้องสาว
“ใช่แล้ว เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่” นางผละออกก่อนจะเอ่ยถามพี่ชาย
การได้เจอหน้าครอบครัวของตนเองในโลกที่แปลกประหลาดแห่งนี้มันดีเหลือเกินแม้จะเป็นแค่คนหน้าเหมือนแต่มันก็ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจ
“เพราะท่านแม่บอกว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ พี่จึงมารับ”
“พี่ใหญ่มาถึงตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ” อวี้ลู่เสียนเอ่ยถาม
“พี่เดินทางถึงจวนหลังจากที่พวกเจ้าออกมาได้ไม่นาน”
“ลู่หมิง” เสียงทุ้มของบุรุษอีกคนเรียกความสนใจของคนทั้งสามให้หันไปมอง
“พี่ลืมไป นี่สหายของพี่...” อวี้ลู่หมิงยังกล่าวไม่ทันจบ พี่สาวคนรองของนางก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“ท่านผู้มีพระคุณ วันนั้นเหตุการณ์วุ่นวายข้าจึงไม่มีโอกาสได้ขอบคุณ”
“แม่นางคือ...” บุรุษแปลกหน้าแต่รูปงามเอ่ยถาม
“ข้าคือพี่สาวของเด็กคนนี้ที่ท่านได้ให้การช่วยเหลือในวันนั้นเจ้าค่ะ” บทสนทนาของอวี้ลู่เสียนและคนที่เป็นสหายของพี่ชายทำให้หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีที่ยังไม่ได้ปักปิ่นยืนมองอย่างงงๆ
“ลู่เสียนเจ้ารู้จักสหายพี่ด้วยหรือ”
“วันนั้นคุณชายผู้นี้ได้ช่วยเหลือซีเยว่ที่ตกน้ำเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ซีเยว่ตกน้ำหรือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงที่ใดหรือเปล่า” อวี้ลู่หมิงจับตัวน้องเล็กหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจ
“พี่ชายเจ้าขา ข้าตกน้ำเจ้าค่ะ ไม่ได้หกล้ม ซึ่งไม่ได้เป็นอันใดเลย”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงตกน้ำตกท่าไปได้ เฟยฉีก่อนเจ้าลงไปช่วยน้องข้า เจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครทำนางตกน้ำ”
“น้องสาวเจ้า...” สหายของพี่ชายกล่าวได้เพียงไม่กี่คำ อวี้ซีเยว่ก็พุ่งตัวเข้าไปใกล้ ก่อนจะเขย่งเท้าแล้วยกมือปิดปากคนที่ตัวสูงกว่า โดยไม่เห็นสายตาตกตะลึงของพี่ชายและพี่สาวตน
“พี่ชายเจ้าขา ข้าต้องขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะที่ช่วยเหลือข้า และจะดีมากหากท่านช่วยคล้อยตามในสิ่งที่ข้ากล่าว” ในประโยคท้ายนางเอ่ยอย่างไร้เสียง
“ซีเยว่ เจ้าอย่าเสียมารยาท” อวี้ลู่เสียนที่ตั้งสติได้ก่อนรีบดึงน้องสาวให้ถอยออกห่างจากผู้มีพระคุณ
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากเป็นคนเล่าเรื่องที่ข้าตกน้ำให้พี่ชายฟังด้วยตัวเองเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางแสร้งถูมือไปมาแล้วมองพี่ชายด้วยแววตาน่าสงสาร
“อะ...อืม เล่าให้พี่ฟังสิ ว่าเหตุใดเจ้าจึงตกน้ำตกท่าไปได้” อวี้ลู่หมิงที่ตั้งสติได้แล้วเอ่ยถาม
“ข้าก็แค่วิ่งซนแล้วก้าวเท้าพลาดตกน้ำไปแค่นั้นเองเจ้าค่ะ” คำกล่าวของอวี้ซีเยว่ทำให้พี่รองกำมือแน่น
‘เจ้าช่างดีกับพี่จริงๆ” หากน้องเล็กบอกเรื่องราวทั้งหมดไปตามความจริง ตนคงสบายใจมากกว่านี้
“เจ้านี่นะ ปีหน้าก็จะปักปิ่นอยู่แล้ว ต้องสำรวมกิริยาบ้างรู้หรือไม่”
“ข้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือเจ้าคะ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะได้เลี้ยงดูข้าเช่นนี้ตลอดไป”
“เจ้าไม่หลงกลบุรุษผู้ใดจนต้องแต่งออกไป นับว่าดีมากแล้ว” พี่รองกล่าว
“เฟยฉีข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือน้องสาวข้า”
“มิเป็นไร เห็นคนเดือดร้อนข้าย่อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”
“พี่ลืมไปยังไม่ได้แนะนำสหายให้พวกเจ้ารู้จักเลย เฟยฉีนี่คือน้องสาวทั้งสองคนของข้า อวี้ลู่เสียนและอวี้ซีเยว่ ส่วนบุรุษผู้นี้คือหยางเฟยฉีสหายร่วมสำนักของพี่ ตระกูลเขาเพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน”
ใบหน้าของสตรีที่น่ารักราวกับตุ๊กตาซีดเผือดลงทันทีเมื่อได้ยินชื่อของสหายพี่ชาย นางหันไปมองพี่สาวด้วยสายตาหวาดระแวงก่อนจะลอบถอนหายใจแล้วแสดงความเคารพอีกฝ่ายตามพี่สาว
“คารวะคุณชายหยางเจ้าค่ะ”
“เรียกพี่เฟยฉีก็พอ”
“เจ้าค่ะพี่เฟยฉี”
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านไม่ได้กลับเมืองหลวงนานหลายปีท่านอาจจะไม่รู้ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงมีสตรีที่เปรียบเสมือนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ ดูใสซื่อ กิริยามารยาทดีพร้อม แต่นั่นเป็นแค่ภาพลวงตาที่เอาไว้หลอกบุรุษหน้าโง่ ฉลาดน้อยให้หลงกล” เมื่อเห็นรถม้าประจำตระกูลเฟินกำลังใกล้เข้ามา นางจึงรีบเอ่ยเตือนพี่ใหญ่ เขาจะได้ไม่หลงกลมารยาของสตรีเมืองหลวง
“มีเรื่องเช่นนั้นด้วย”
“เจ้าค่ะ หากท่านจะหาพี่สะใภ้ให้พวกข้า ท่านอย่าได้หลงกลสตรีดอกบัวขาวนะเจ้าคะ”
“เจ้าช่วยสอนวิธีดูสตรีดอกบัวขาวให้พี่ชายคนนี้ฟังได้หรือไม่” อวี้ลู่หมิงที่นึกสนุกจึงเอ่ยถามน้องสาวต่อ
“สตรีพวกนั้นชอบใส่อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เพื่อปกปิดตัวตนเจ้าค่ะ พวกนางจะมีกิริยามารยาทอ่อนหวาน มีเมตตาราวกับพระโพธิสัตว์ แต่แท้จริงแล้วมารยาของสตรีดอกบัวขาวมีมากหลายร้อยเล่มเกวียนยิ่งกว่าสตรีในหอนางโลมอีกเจ้าค่ะ ท่านพี่ต้องระวังตัวไว้อย่าได้ตกหลุมพรางเด็ดขาดเจ้าค่ะ” สีหน้าจริงจังเวลาเล่าเรื่องของน้องเล็กทำให้พี่ชายอดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดู ก่อนจะยกมือใหญ่ลูบศีรษะนาง
“เอาล่ะพี่จะระวังตัว”
ในระหว่างที่พี่น้องสองคนกำลังสนทนากันเสียงเบา มุมปากของบุรุษหน้านิ่งที่มีวรยุทธ์ยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
‘อืม...ข้าก็ต้องระวังสตรีดอกบัวขาวด้วย’
“พี่ใหญ่เพิ่งมาถึงวัดยังไม่ได้ไหว้พระขอพรเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อตัวฉิบหายกำลังเดินลงจากรถม้า
“ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ใหญ่พาสหายเข้าไปไหว้พระขอพรเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับพี่รองจะไปเดินเล่นทางนั้นรอ”
“เจ้าไม่เข้าไปกับพี่หรือ”
“ข้ากับพี่รองไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านรีบพาสหายไปไหว้พระเถิดเจ้าค่ะ”
“อืมๆ ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าไปเดินเล่นที่ไหนไกล”
“เจ้าค่ะ” อวี้ซีเยว่พยายามเร่งพี่ชายให้พาสหายไปไหว้พระก่อนจะลากพี่สาวคนรองให้เดินไปทางป่าเฟิงด้วยกัน
“ซีเยว่เหตุใดเจ้าถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนเช่นนี้”
“ข้าแค่อยากเดินชมป่าเฟิงกับพี่รองสองคน” นางปล่อยมือแล้วเดินนำอวี้ลู่เสียน
“แน่ใจหรือ”
“พี่รองก็ อย่ามารู้ทันข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็บอกพี่มาได้แล้วว่าเหตุใดถึงรีบเร่งให้พี่ใหญ่เข้าไปไหว้พระ”
“พี่รองชื่นชมความงามของป่าเฟิงกับข้าก่อน ประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง”
ที่แท้บุรุษผู้นี้ก็ดีดลูกคิดรางแก้วเอาไว้แล้ว ร้ายกาจ หยางเฟยฉีผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว มิคาดคิดว่านางมัวแต่ระแวงสตรีดอกบัวขาวเจ้ามารยา แต่กลับลืมระแวงบุรุษดอกบัวขาวผู้นี้ บุรุษดอกบัวขาวที่มักทำตัวเป็นโจรบุปผาผู้นี้ ทั้งร้ายกาจ มากเล่ห์ รู้ตัวอีกทีนางก็ถูกกินเต้าหู้จนหมดตัว ทั้งยังถูกล่อลวงจนหลีกก็ไม่ได้ เลี่ยงเขาก็คงไม่ยอม “ดีๆ เช่นนี้ค่อยน่ารับเป็นบุตรเขยหน่อย” อวี้ผิงกล่าวอย่างดีใจ ในเมื่อรักและเอาใจบุตรสาวเขามากถึงเพียงนี้ “ลู่หมิง เฟยฉี ท่านผู้ตรวจการโจว ลู่เสียน และซีเยว่ พวกเจ้าออกไปเดินเล่นพูดคุยกันข้างนอกเถิด เรื่องหลังจากนี้ ให้เป็นการสนทนาของผู้ใหญ่” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งห้าคนตอบรับก่อนจะพากันเดินออกจากห้องโถ
18 ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร “ข้า...” อวี้ซีเยว่เอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะหลุบตาลงมองพื้นราวกับกำลังลำบากใจ ท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้ผู้เป็นบิดาได้ใจ “หากเจ้าไม่ได้มีใจให้เฟยฉี ก็ไม่ต้องฝืน บิดามารดาเจ้าไม่ว่าอันใดหรอก พวกเราทุกคนยินดียอมรับการตัดสิน
“ไม่ต้องเป็นห่วง...ประเดี๋ยวนะ เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าใครจะแต่งเข้าจวนข้านะขอรับ” เจ้ากรมพิธีการเอ่ยย้ำ “ก็หยางเฟยฉีบุตรชายของพวกเรา เขาส่งจดหมายมาแจ้งว่าจวนอวี้มีกฎไว้ว่าหากอยากแต่งสตรีจวนอวี้เป็นฮูหยิน จะต้องแต่งเข้าเท่านั้น” หยางฮูหยินกล่าวซึ่งพวกตนก็พร้อมจะตามใจบุตรชายที่ไม่อยากสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา “เรื่องนั้นพวกเราแค่กล่าวล้อเล่นกัน มิได้จริงจังอันใดมากหรอกเจ้าค่ะหยางฮูหยิน” “แต่หากเขาอยากแต่งเข้าจวนอวี้พวกข้าก็ยินยอมเจ้าค่ะ” “กล่าวถึงเรื่องแต่งเข้าจวนอวี้ เฟยฉีเจ้าพึงใจบุตรสาวของน้าคนใดหรือ” แม้คนเอ่ยถามจะเป็นอวี้ฮูหยินแต่คนที่นิ่งฟังกลับเป็นผู้เป็นใหญ่ในจวนอย่างอวี้ผิง&n
คล้อยหลังที่บุรุษรูปงามเดินเข้าจวนไปแล้ว สามพี่น้องตระกูลอวี้และคุณชายหยางก็พากันเดินทางกลับจวน ค่ำคืนที่มืดมิดไร้แสงพระจันทร์เงาสองสายกระโดดตามกันไปทางสวนร้างนอกเมือง ก่อนที่ความมืดจะพรางตาจนไม่มีใครเห็นว่าทั้งสองคนหายเข้าไปที่จุดใด “คารวะองค์รัชทายาท” บุรุษชุดดำสองคนคุกเข่าลงตรงหน้าบุรุษที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว “ลุกขึ้นๆ ยามอยู่นอกวังเราเป็นแค่คุณชายหนิง อย่าได้มากพิธีจนเป็นที่สังเกต” “นี่คืออวี้ลู่หมิงสหายของข้า” “ขอบคุณเจ้าที่ยื่นมือช่วยเหลือเฟยฉี หากไม่มีพวกเจ้าข้าคงขยับตั
“เช่นนั้นพี่ซ่างกวนป๋อก็ไม่ได้เดินทางกลับกับเราใช่หรือไม่...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ บุรุษผู้ชอบซดไหน้ำส้มก็ใช้มือสองข้างที่ยังประคองใบหน้านางไว้ให้อยู่นิ่งแล้วทาบทับริมฝีปากลงบนปากนาง ลิ้นร้อนบุกรุกอย่างดุดันแฝงโทสะ แล้วปิดท้ายด้วยการดูดดึงริมฝีปากอย่างแรงเป็นการลงโทษ “อย่าได้เอ่ยชื่อบุรุษอื่นให้พี่ได้ยิน” โดยเฉพาะบุรุษที่นางเคยเอ่ยชมว่ารูปงาม “ข้าเพียงแค่ถามเพราะอยากรู้ว่าใครจะเดินทางกลับเมืองหลวงกับเราบ้าง ท่านซดน้ำส้มให้น้อยลงได้หรือไม่” มือเรียวพยายามแกะมือเขาที่ยังคงเกาะกุมดวงหน้าหวานของตนอยู่ “พี่รักเจ้า หวงแหนเจ้าถึงเพียงนี้ พี่ย่อมไม่อยากให้สตรีในดวงใจตนเอ่ยถึงบุรุษใด” “ก่อนท่านจะซดน้ำส้ม ท่านก็ควรจะดูที่เจตนาขอ
17 ในที่สุดพี่สาวข้าก็มีสามี และก็เป็นอย่างที่อวี้ลู่หมิงคิด เมื่อในเช้าวันต่อมาคนของสหายที่ซุ่มดูเหตุการณ์ในจวนเจ้าเมืองได้มารายงานว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาจวนเจ้าเมืองหนานโจวได้ถูกคนร้ายบุกเข้าจวนแล้วสังหารคนทั้งจวนไม่เว้นแม้แต่บุตรชายของเจ้าเมืองกับอนุภรรยาคนใหม่ที่อายุเพียงหกเดือน&n