LOGINร่างเพรียวระหงที่กำลังครุ่นคิดหนัก หลังจากที่ใช้ความคิดอยู่สักพัก หญิงสาวก็รีบก้าวเดินไปยังทิศที่อีกฝ่ายเพิ่งจะจากไป
“ยังไงวันนี้ก็ต้องได้คุยกัน!” ขวัญนรีเอ่ยออกมาเบา ๆ
สายตาคู่สวยหันไปเห็นร่างสูงของหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังจะเข้าห้องพอดี เธอจึงรีบเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นจนเข้ามาใกล้ตัวของเรน…
“เอ่อ… คุยกันสักแป๊บได้ไหมคะ?”
“ได้สิ แล้วเธอจะคุยอะไรล่ะ…” ใบหน้าหล่อหันความสนใจมาที่ร่างบางตรงหน้าก่อนจะจ้องมองใบหน้าสวยของคนตัวเล็ก
“…ขวัญว่าจะเลี้ยงข้าวพี่เป็นการตอบแทนค่ะ”
เสียงใสเอ่ยบอกหลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก
“…ไม่เป็นไรหรอก ฉันควรต้องทำอยู่แล้ว” เรนว่าออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ขวัญนรีจึงไม่อยากจะคัดค้านหรือเอ่ยท้วงอะไร
“อ้อ… โอเคค่ะ ว่าแต่…”
“หืม… มีอะไรเหรอ…” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวดูเหมือนมีอะไรจะพูดแต่เจ้าหล่อนก็ไม่ยอมเอ่ยมันออกมา
“ช่วงนี้พี่เรนไม่ค่อยว่างเหรอคะ ขวัญไม่ค่อยเจอพี่เรนเลย” สาวสวยเอ่ยถามขึ้น เมื่อได้ยินคำตอบกลับเชิงอนุญาตจากร่างสูงโปร่ง
“อืม ก็คงจะประมาณนั้นแหละนะ”
“อ้อ... เข้าใจแล้วค่ะ”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นปกคลุมไปชั่วขณะ…
สาวน้อยช่างพูดจึงเอ่ยเพื่อทำลายบรรยากาศ…
“เมื่อคืน… ขวัญฝันแปลก ๆ ด้วยค่ะ”
“ยังไงเหรอ” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยถามนิ่ง ๆ ตามสไตล์
“ขวัญฝันเห็นพี่… กำลังเล่นกับแมว เราก็เลยเดินเข้าไปทักทายตามปกติ แต่… คุยกันได้ไม่เท่าไร… หัวพี่ก็มีเลือดออกมา” ขวัญตัดสินใจเล่าไปตามตรง เพราะตัวเธอค่อนข้างเป็นกังวลและเป็นห่วงชายหนุ่มห้องตรงข้ามอย่างเขา
“…”
“ช่วงนี้พี่เรนระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ”
ดวงตากลมโตจ้องมองมาด้วยความจริงจัง ไม่มีแววแห่งการหยอกล้อ เรนถึงกับงุนงงอยู่ไม่น้อย จนต้องเอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมเหรอ?”
“ขวัญกลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุน่ะค่ะ”
ใบหน้าสวยน่ารักเต็มไปด้วยความกังวลจนฝ่ายคนมองดูรับรู้ได้ เรนยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อสาวน้อยรุ่นน้องดูจะเป็นห่วงตน
“เธอคิดมากเกินไปแล้วขวัญนรี” ฉัตรธรเอ่ยตอบหวังจะคลายความเครียดในตัวของอีกฝ่าย สาวเจ้าจึงหันไปมองสบสายตา
“ก็… ถ้าได้เห็นแบบในความฝัน ต้องคิดมากอยู่แล้วสิ” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เพราะฝันนั้นยังเป็นภาพติดตา
“เธอวางใจเถอะ ฉันไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก”
ประโยคที่ออกมาจากริมฝีปากหยักอย่างมั่นใจ ทำเอาขวัญสงสัยไม่น้อย จนเธอต้องเอ่ยถาม
“…ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ?”
“เปล่า… ไม่มีอะไร…” เรนเอ่ยตอบปัด ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“พี่ต้องระมัดระวังนะคะ”
“ได้สิ ฉันจะพยายามนะ”
ดวงตาคู่คมมีเสน่ห์เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่ายังคงคิดมากจึงเอ่ยปากรับคำ หวังให้ร่างเพรียวได้คลายความกังวลลงไปบ้าง
“ได้ฟังแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”
ใบหน้าน่ารักค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อได้รับคำมั่นยืนยัน
“เธอ… กังวลเกี่ยวกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิคะ!”
ประโยคหนักแน่นที่คนตัวขาวเอ่ยตอบทำเอาชายหนุ่มถึงกับอุ่นวาบไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้มีใครมาห่วงใยเขาแบบนี้ ริมฝีปากหยักจึงระบายยิ้มกว้างออกมา
“โอเค ฉันยอมเธอแล้ว”
“ดะ…ดีมากค่ะ!”
ขวัญนรีถึงกับเสียอาการใจเต้นเมื่อเห็นรอยยิ้มแสนดึงดูดและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จากหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“แล้วเธอกลัวผีไหม?”
ทันทีที่ได้ยิน… ดวงตาสีน้ำตาลสวยถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าหัวข้อสนทนาต่อไป… จะเป็นเรื่องแบบนี้
“อะไรนะคะ!?”
“ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ” เรนเอ่ยถามขึ้นตรง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะแซะคนตัวเล็กแต่อย่างใด เขาเพียงแค่สงสัยและแคลงใจ
“…กลัวสิคะ!”
“หึหึ ฉันเชื่อนะ อาการเธอมันออกขนาดนี้”
ร่างสูงโปร่งถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบ
“อย่าล้อสิคะ…”
ใบหน้าใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนหนุ่มรุ่นพี่แกล้ง
“ขอนิดหน่อยน่า” ชายหนุ่มว่าออกมายิ้ม ๆ
“ว่าแต่… หอนี้มีกุ๊กกุ๊กกู๋เหรอคะ?”
เพราะยังมีความข้องใจ เจ้าหล่อนจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกมา แต่ทว่า… แทนที่จะได้คำตอบ กลับได้เป็นเสียงหัวเราะแทน
“ฮ่าฮ่า กุ๊กกุ๊กกู๋งั้นเหรอ… อะไรล่ะนั่น”
ใบหน้าหล่อใสประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างบ่งบอกชี้ชัดให้เห็นว่าเขากำลังสนุกหรือขบขันมากแค่ไหนเพราะคำว่า ‘กุ๊กกุ๊กกู๋’
“ก็… คำเรียกของผอสระอีไงคะพี่เรน!”
“งั้นก็คงมี…ที่ไหนก็มีผีทั้งนั้นแหละ หอนี้ก็เหมือนกัน”
“ยะ…อย่าพูดสิคะ ฟังแล้วขนลุก…”
ขวัญนรีเอ่ยพลางมองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ทำไมล่ะ ถ้าเธอรู้ว่าที่นี่มี… เธอจะย้ายออกเหรอ?” เรนถามอย่างอยากจะลองเชิง ดวงตาของเขายังคงจ้องมองคนตัวเล็ก
“ไอ้กลัวมันก็กลัวอยู่หรอกนะคะ แต่ถ้าย้ายออกก็ไม่ได้ค่ามัดจำที่จ่ายไปน่ะสิ เห็นแบบนี้… ขวัญก็ค่อนข้างประหยัดนะคะ” สาวเจ้าว่าออกมา ฉัตรธรจึงพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างเห็นด้วย
“อืม… เธอหมายถึง… รู้คุณค่าของเงิน”
“ใช่ค่ะ กว่าจะได้มาแต่ละบาท ยากลำบากจะตาย” เสียงใสว่าออกมาอย่างจริงจัง เพราะการหาเงินและสร้างรายได้นั้นไม่ง่ายเลยสักนิด ใบหน้าหล่อใสจึงพยักหน้ารับเบา ๆ อีกครั้ง
“ก็จริงอย่างที่เธอว่าแหละ”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วสิคะพี่”
“แต่ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องที่ว่ามีน่ะ”
“เอ่อ…” เด็กสาวถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ฮ่า ๆ ล้อเล่น… คงไม่มีหรอกมั้ง ฉันอยู่มานานยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง ไม่ต้องทำท่าหวาดกลัว….ตัวสั่นขนาดนั้นก็ได้นะ”
เมื่อรู้ตัวว่าโดนคนพี่แกล้ง ร่างบางจึงรีบเอ่ยสวนกลับ
“โอ้โฮ! หลอกและหยอกเก่งกว่าคุณผอสระอี ก็พี่เรนนี่แหละ”
“หึหึ ดูพูดเข้าสิ” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเอ็นดูอีกฝ่าย
“แล้วถ้าฉันเป็นผีจริง ๆ ล่ะ?”
“ก็คงเป็นคุณผีที่หล่อ หน้าตาดี ใจดี และอบอุ่นที่สุดในโลก!” ขวัญนรีเอ่ยตอบในทันที ทำเอาฉัตรธรยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก
“ฮ่า ๆ เข้าใจแล้วล่ะ”
“ขวัญพูดจริง ๆ นะคะ”
ใบหน้าหล่อพยักหน้ารับและยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนลูกบิด
“ฉันขอตัวก่อนนะ ต้องไปทำอย่างอื่นต่อน่ะ…”
“โอเคค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะคะ”
สิ้นสุดบทสนทนา ร่างสูงสมส่วนก็ได้เดินหายเข้าห้องไปและเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างบางหันหลังให้พอดี ฉับพลัน… เจ้าหล่อนที่นึกได้ว่ามีเรื่องจะถามต่อจึงรีบหันกลับไปหาอีกรอบก่อนจะพบว่าตัวของเรนได้หายไปแล้ว ดวงตากลมโตมองดูที่บานประตูก็เห็นแม่กุญแจที่ยังคงล็อกเอาไว้เหมือนก่อนหน้า แม้จะแอบสงสัยและค้างคาใจแต่ขวัญนรีก็เดินกลับเข้าห้องไป
และวันถัดมา…
ร่างเพรียวตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาเพื่อดูเวลา ขาเรียวก้าวลงจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดชำระล้างร่างกายก่อนจะเริ่มแต่งชุด ทานข้าว และเตรียมตัวไปยังมหาวิทยาลัย
ผ่านไปสักพัก…
เมื่อตรวจความเรียบร้อยต่าง ๆ เสร็จ ขวัญนรีก็ลงมาที่ชั้นล่างของหอ ซึ่งมีคุณนายปฐมาวัลย์ผู้เป็นเจ้าของสถานที่นั้นยืนอยู่
“อ้าว! มาแล้วเหรอจ๊ะหนูขวัญ?”
“สวัสดีค่ะ ป้าวัลย์มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงใสเอ่ยทักทายอย่างเคารพและสุภาพนอบน้อมก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ก็เรื่องที่หนูโทรบอกป้าเมื่อวานน่ะสิ”
สาวน้อยทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะเข้าใจในที่สุด…
“อ้อ… เรื่องก๊อกน้ำพังนี่เอง…”
“เดี๋ยวระหว่างที่หนูไปเรียน ป้าจะให้ช่างไปซ่อมนะ”
ใบหน้าสวยหวานแสดงออกถึงความแปลกใจเมื่อได้ฟังที่หญิงวัยกลางคนเอ่ยบอก เพราะหนุ่มรุ่นพี่ซ่อมให้จนเสร็จเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เรนซ่อมให้หนูแล้วนี่นา”
“…”
“หนูขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
เอ่ยจบ ร่างเล็กบอบบางก็ได้เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแต่คุณนายวัลย์เจ้าของหอพักให้เช่าที่ยังคงยืนนิ่ง ๆ งุนงงและตะลึงอึ้งอยู่
หลังจากที่มาถึงมหาวิทยาลัยและดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ต่อไปจนเวลานั้นล่วงเลยเข้าสู่ช่วงพักกลางวัน สองสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มจึงได้พากันนั่งทานอาหารที่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ ต่างฝ่างต่างก็หยิบเอากล่องข้าวขึ้นมาวางไว้ก่อนจะมองกันไปมาเพื่อสำรวจดูว่าแต่ละคนเตรียมเมนูอะไรสำหรับมื้อเที่ยงนี้
“ขวัญห่ออะไรมาเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองไปที่กล่องอาหารของคนตัวเล็ก
“ข้าวผัดสารพัดผักและเนื้อสัตว์น่ะ” ขวัญตอบและเปิดฝาออก เผยให้เห็นเมนูข้าวผัดรวมมิตรที่มีหน้าตาสวยงามดูน่าทาน
“โห่… น่ากินจังเลยอะ” ตรีเอ่ยบอกอย่างตื่นเต้น นิรณาที่นั่งเงียบอยู่นานสองนานจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้าขึ้นมามองดูตาม
“นายจะลองชิมไหมล่ะ?”
“ขอลองคำหนึ่งแล้วกัน”
มือหนาตักอาหารก่อนจะนำไปจ่อที่ปากตนและเริ่มลิ้มรสชาติ ทำเอาคนทำตัวเธอถึงกับแอบประหม่าและตื่นเต้นลุ้นคำตอบ
“โห่… อร่อยมาก รสชาติกำลังดีเลย” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างชื่นชมทำเอาคนฟังถึงกับตาลุกวาว รู้สึกหัวใจพองนุ่มฟูอยู่ภายในอก
“จะ…จริงเหรอ?”
“ใช่สิ ตรีพูดจริง ๆ ครับ”
สาวน้อยพยักหน้ารับคำเบา ๆ
“โอเค กินกัน เดี๋ยวต้องไปเรียนต่อแล้ว”
สิ้นสุดคำพูดของคนตัวเล็กทั้งสามก็เริ่มลงมือทานอาหารของตนเองจนอิ่มหนำสำราญ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับช่วงบ่าย
ผ่านไปหลายชั่วโมง…
“เฮ้อ… จบลงสักทีนะ อยากกลับไปนอนจะแย่” เสียงใสเอ่ยคร่ำครวญออกมาเมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวจะได้เป็นอิสระแล้ว
“โอ้โฮ… รู้ตัวอีกทีก็ดึกแล้วแฮะ” ตรีว่าออกมาหลังจากที่มองดูเวลา ท้องฟ้าในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำเข้มมืดสนิทไร้แสงจันทร์
“กลับกันเถอะ” นิราเอ่ยบอกสั้น ๆ ตามสไตล์ของเธอ
“ขวัญกลับยังไงเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น ใบหน้าหล่อคมเข้มจ้องมองมาที่คนตัวเล็กผิวขาวอย่างไม่ละสายตา
“เราเดินกลับน่ะ ไม่ไกลมากหรอก” สาวเจ้าเอ่ยตอบ ก่อนจะสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ บริเวณที่เงียบเหงา ไม่ค่อยมีผู้คน
“งั้นเดี๋ยวตรีไปส่งนะ กลับคนเดียวค่ำมืดแบบนี้มันอันตราย” ร่างสูงโปร่งเอ่ยพลางอาสาจะเดินไปด้วย ประโยคที่ฟังเหมือนเป็นห่วงเป็นใยทำเอาฝ่ายคนฟังถึงกับปฏิเสธไม่ลง
“โอเค เอาแบบนั้นก็ได้ ขอบคุณนายมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไรเลย ด้วยความยินดีครับผม”
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะ” เสียงเล็กของนิรณาเอ่ยบอกทั้งสองคนพร้อมกับหันหลังเดินจากไป ขวัญนรีจึงตะโกนตามมา
“กลับดี ๆ นะ นิรา!”
เมื่อสาวสวยเซ็กซี่ได้เดินจากไป ก็เหลือหนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ตรีวิทย์จึงเอ่ยพูดเพื่อทำลายความเงียบงัน
“เราก็ไปกันเถอะขวัญ”
ใบหน้าหวานพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเดินนำทางโดยมีหนุ่มหล่อที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนชายคนสนิทคอยเดินตาม
มาส่งหลังจากที่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่กินด้วยกันมาหลายเดือน ในที่สุดขวัญนรีก็กำลังตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่เก้าไปเสียแล้ว และคนที่ดูจะภูมิอกภูมิใจแลดูมีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นว่าที่คุณพ่ออย่างฉัตรธรนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ร่างสูงกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องคลอดอย่างใจจดใจจ่อ มือหนาชื้นเหงื่อกำเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าหลัง จากที่หญิงสาวผู้เป็นที่รักและสิ่งมีชีวิตตัวน้อยภายในครรภ์ได้เข้าสู่กระบวนการสำคัญของแม่และเด็ก “ขอให้ปลอดภัย” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำเบา ๆ ขายาวลุกขึ้นก่อนจะก้าวเดินไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ทำเอาผู้เป็นแม่อย่างคุณนายปฐมาวัลย์ถึงกับเริ่มจะวิงเวียนศีรษะจากการกระทำของลูกชาย “ใจเย็นหน่อยจ้ะ คุณพ่อ” เสียงนุ่มละมุนหูเอ่ยเตือนสติอีกฝ่าย เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ เรนจึงค่อย ๆ สงบลง ทว่าภายในใจเขานั้นกำลังกระวนกระวายเพราะเป็นห่วงคนที่ยังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้น “ผม… เป็นห่วงเมียและลูก” น้ำเสียงที่ฉายชัดถึงแววกังวลเอ่ยบอก หญิงสูงวัยทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
หลังจากที่เข้าห้องหอมาเป็นที่เรียบร้อย สามีหนุ่มหล่อก็จูงมือเจ้าสาวคนสวยมานั่งที่เตียงสีแดงสดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบรูปหัวใจเอาไว้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี “ที่รักครับ พี่ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” “ได้ค่ะ เราแกะของขวัญรอได้ไหม?” “ได้สิ เดี๋ยวพี่มาดูด้วยอีกทีนะหนู” เจ้าหล่อนพยักหน้ารับเบา ๆ ชายหนุ่มจึงมุ่งเดินเข้าห้องน้ำไป มือเรียวขาวเอื้อมไปหยิบของขวัญแต่งงานที่ได้จากแขกเหรื่อขึ้นมาแกะดูทีละกล่องด้วยความตื่นเต้นและรอลุ้น “อืม อันนี้ของพี่เขมสินะ” เธอเอ่ยพึมพำและเริ่มเปิดดูของที่อยู่ข้างใน และสิ่งที่ได้เห็นทำเอาขวัญนรีถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย เพราะภายในมีเสื้อผ้าเด็กทารกและของอื่น ๆ อีกหลายอย่างสำหรับลูกน้อย “พี่เขมนะพี่เขม หนูก็เขินเป็นนะ” เสียงใสเอ่ยบ่นพี่สาวอย่างไม่จริงจังมากนะ ก่อนจะหันความสนใจไปที่กล่องสี่เหลี่ยมอันถัดไปที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ “อันนี้จากนิราและตรีนี่นา เปิดเลยดีกว่า” สาวเจ้าไม่รอช้า เธอจัด
วันที่ 1 เดือนเมษายน พุทธศักราช 256x ฤกษ์งามยามดีที่ครอบครัวทั้งสองบ้านนั้น จะได้ปรองดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นวันที่คู่รักทั้งหลายต่างก็ใฝ่ฝันให้เกิด ขึ้นในชีวิตของพวกเขาในสักครั้ง วันที่จะเป็นเหมือนการประกาศถึงความรักและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวสามี-ภรรยา ซึ่งฉัตรธรกับขวัญนรีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงคบหาดูใจกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และวันนี้ก็มาถึง วันที่ทั้งสองจะได้เปิดเผยความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานรักรับรู้ เมื่อบรรดาแขกเหรื่อมากันครบแล้ว พิธีแต่งงานจึงเริ่มต้นขึ้นโดยมีผู้เป็นมารดาของหนุ่มสาวทั้งสองฝั่งได้เดินไปจุดเทียนที่แท่นบูชาเพื่อเริ่มพิธีสำคัญนี้ หลังจากจุดเทียนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วงดนตรีค่อย ๆ บรรเลงเพลงเพื่อต้อนรับการมาของเจ้าสาว เสียงเพลงเคล้าดนตรีที่นุ่มละมุนหูดังคลอไปทั่วทั้งบริเวณ ประกอบไปด้วยเสียงจากเปียโน ไวโอลิน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่เสียงไม่ดังโฉ่งฉ่างนัก ร่างเพรียวระหงที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวลวดลายลูกไม้ห
ห้าสิบปีผ่านไป… จากที่เคยเป็นสาวสวยร่างกายก็เปลี่ยนไปตามอายุและวัย ผมที่เคยสีน้ำตาลสวยบัดนี้ได้แปรผันไปเป็นสีขาวหงอก ผิวหนังที่เคยเต่งตึงก็เริ่มเหี่ยวย่นมากขึ้น ดวงตาคู่สวยเริ่มฝ้าฟางจ้องมองไปยังเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่นอนนิ่งอยู่บนตัก ขวัญนรีได้ผ่านช่วงเวลาอันยาวนานและมีชีวิตต่อมาอย่างสงบสุข เธอไม่ได้พบรักหรือว่าแต่งงาน เพียงแต่หลังจากเรียนจบเธอก็ทำอาชีพสุจริตและรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรมกระทั่งที่อีกฝ่ายได้คลอดลูกน้อยออกมาจนได้ สิบสองขวบเสียแล้ว “คุณยายคะ ช่วยเล่าเรื่องรักแรกหรือความรักของคุณยายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ หนูไม่เคยเห็นผู้ชายที่ยายรักเลยค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย พลางจ้องมองไปยังมืออันอบอุ่นที่คอยลูบศีรษะอยู่ “อืม อันที่จริงก็มีอยู่คนหนึ่งนะหลาน” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกพลางนึกไปถึงใบหน้าหล่อใสของชายผู้เป็นที่รักและเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป แม้จะเลือนรางไม่เท่าเมื่อก่อน แต่ขวัญนรียังคงจดจำฉัตรธรได้ “โอ้โฮ รักที่มั่
ฉัตรธรเปิดประตูให้คนตัวเล็กได้เข้าไปภายใน ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนอกสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ขวัญนรีได้ก้าวเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย “ดอกกุหลาบนั่นมันอะไรกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาเมื่อสังเกตเห็นดอกไม้ในมือเรียวขาวของคนตัวเล็กที่ยังตื่นเต้นกับการสำรวจห้องของเขาอยู่ “อ้อ เกือบลืมไปเลยแน่ะ” “หือ? ลืมอะไรครับ” “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะคะ คุณผีที่รัก” เธอว่าออกมายิ้ม ๆ พร้อมกับยื่นกุหลาบขาวแทนใจส่งมาให้ ชายหนุ่มจึงรับเอาไว้ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ เบา ๆ “ขอบคุณนะครับ” “ด้วยความรักค่ะ” “ต้องด้วยความยินดีสิ” “คิกคิก ก็มันจริงนี่นา” ทั้งสองมองสบประสานกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะก้มลงต่ำและโฟกัสไปที่พื้นแทน “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” “พี่อยู่ได้ถึงพรุ่งนี้นะหนู” ประโยคที่ออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงค้าง ขวัญรู้ดีว่าในสักวันหนึ่งเร
และแล้วก็มาถึง… วันที่เหล่าคนโสดนั้นแสนจะเกลียดและขยาด นั่นก็คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์นั่นเอง สองสาวเพื่อนรักที่กำลังนั่งอยู่ที่จุดชมวิวของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ในขณะที่กำลังรอตรีวิทย์เดินทางมาอยู่นั้น “เธอจะชวนฉันมาทำไม?” นิราเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตัวเล็ก ขวัญจึงยิ้มบาง ๆ ออกมา และเหตุผลที่ทั้งคู่กำลังอยู่ที่นี่ก็คือ เพื่อนชายเพียงคนเดียวในกลุ่มอย่างตรี ได้เอ่ยชวนเธอมาเที่ยว แต่ด้วยความที่รู้ดีว่านิรณาเองก็แอบมีใจให้อีกฝ่ายเลยชักชวนมาด้วยกัน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะกลัวว่าขวัญจะปฏิเสธ “ก็… เรารู้นะว่าเธอชอบตรี” “ใช่แล้ว แต่ฉันก็นกนั่นแหละ” ใบหน้าสวยของเจ้าหล่อนเริ่มเศร้าสร้อยเมื่อหวนนึกไปถึงคนที่ตนเองแอบชอบ แค่คิดก็ทำเอาเจ็บจนจุก เพราะตรีวิทย์ไม่เคยเหลียวแลนิรณามากกว่าเพื่อนเลย “อย่าเพิ่งท้อสิ ลองดูก่อนนะ” ขวัญเอ่ยอย่างให้กำลังใจพร้อมกับบีบมือเพื่อนสาวเบา ๆ นิราจึงยิ้มรับอย่างขมขื่น และเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มมาถึ







