LOGIN“แล้วพ่อกับแม่คุณล่ะคนไหน ทำธุรกิจอะไร?”
นี่สินะอาการอยากรู้เรื่องของคนอื่นแต่ไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องตัวเอง..ใครจะอยากบอกว่าคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดเข่านั่นคือแม่ ส่วนพ่อสวมเสื้อมีฮู้ดสีดำกับกางเกงผ้าขายาวลากแตะมาเดินห้างหรู “พ่อแม่เรา..” แง๊งงง!! “คุณคะอย่าแกะของก่อนจ่ายเงินซื้อสิคะ” ไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงร้องที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นทำให้ผู้ชายที่่ชื่อเหมือนพ่อหันไปสนใจมองแล้วยิ้มแหย.. ต้องรำคาญแน่ๆ จะคิดว่าเป็นครอบครัวที่ไม่มีมารยาทหรือเปล่า “อืม..สองบ้านนั้น คึกคักน่าดู” นายตัวสูงพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ..แลกพ่อแม่กันไหมล่ะ ฉันอยากอยู่สงบแบบพ่อแม่นาย วันคิดในใจพลางตอบเสียงเบา “ฉัน...มาคนเดียว” ...ทำไม ถึงไม่อยากบอกใครว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร ทำไมยิ่งโตก็ยิ่งไม่กล้าบอกคนอื่นว่าคนที่ยืนหน้าดุดูลูกนอนดิ้นร้องไห้จ้ากลางห้างนั่นคือพ่อแท้ๆ ที่ไม่ทำงานวันวันเอาแต่เล่นเกมออกมาดูลูกครั้งละห้านาทีสิบนาทีไม่มีอะไรที่สอนลูกสักอย่าง มองคนอื่นด้วยสายตาทิ่มแทงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแต่ลูกชายสิบขวบแค่มองหน้าก็ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าเถียง ทั้งที่กับเมียตัวเองเถียงกันแทบตายทุกวัน “โอ๊ะ~คนคนนั้นโบกมือให้ใครเหมือนจะหันมาทางเรา” พรึ่บ!! วันยกหนังสือขึ้นบังหน้า แม่แมนโบกมือมาให้ ปกติอายก็แค่ทำไม่สนใจแต่เริ่มรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ การเป็นลูกคนมีเงินมือไวนิสัยเสียอย่างแม่น่ะ ไม่อยากให้ทักตอนที่อยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ดูดีทั้งบ้าน มันน่าอายมาก! นายเด็กดียังชวนคุยไปเรื่อยราวกับไม่ค่อยได้คุยกับใคร แต่คำพูดเหล่านั้นไม่เข้าหัวคนที่เริ่มสนใจสายตาคนอื่นอย่างวัน วันแอบมองแม่ที่คงจะเรียกหาเงิน แม่ไม่มีเงินติดตัวตายายควบคุมการใช้เงินมาตั้งแต่มัธยมเพราะที่บ้านมีทุกอย่างของกินของใช้ของเล่น แต่แม่ก็ยังบริหารเงินไม่เป็น แม่ไม่เดินมาหาแต่โทรเข้ามาโทรศัพท์ในกระเป๋าของวันสั่นครืดแต่ไม่ถูกหยิบออกมารับ ไม่รู้ว่าโทรหาใครอีกทูก็เริ่มร้องจะเล่นของเล่นดูวุ่นวายไปหมด วันไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะนั่งอยู่กับคนอื่น กลัวว่าจะโดนมองแต่ครู่หนึ่งพ่อก็อุ้มน้องทรีมาจ่ายเงินให้ ไม่รู้ว่ากลับไปจะทะเลาะกันไหมเพราะพ่อหน้าดุเสมอ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนตรงข้ามเอานิ้วจิ้มแขนเอ่ยถามบางอย่างขึ้น “โอเคไหม?” “โอเคอะไร?” “เรามาคบกันนะ” “หา!” “ถ้านายไม่ชอบอะไรเราจะไม่ทำเพราะงั้นเรามาเป็นเพื่อนกันนะ” “…” ..บนรถขณะขับกลับบ้านพ่อขับแม่นั่งข้างหน้าลูกชายคนโตนั่งตรงกลางลูกคนกลางกับคนเล็กนอนหนุนตักพี่ชายซ้ายขวา “…วัน” “ลูก?” “ลูกวันเป็นอะไรอะตอนอยู่ในห้างก็ไม่ยอมเดินมาหา” แมนกัดปากแกล้งงอนลูกชานเหมือนที่ชอบทำหวังว่าลูกจะเล่นด้วยเหมือนเดิม “ถ้าไม่มีเงินจ่ายก็โทรหาคุณยายสิครับ” “กลัวแม่ด่านี่นา” “แล้วใครจ่ายให้” “พ่อของลูกไง” “คุณดีเนี่ยนะจะจ่ายให้ฟรีๆ” “ฟรีได้ไงละ แม่คุณน่ะใช้เงินไร้สาระที่สุดในบ้านเราแล้วต้องให้บทเรียนซะบ้าง” “หึ่ ทำเป็นเท่” “ว่าแต่ลูกเป็นอะไรดูเหม่อๆ นะอยากได้อะไร อ๊ะหนังสือแบรนด์เนม ลูกอยากได้อะไรเหรอ? ดีมึงมีเงินเท่าไหร่” “ถามทำไม?” คนขับรถประจำบ้านถามขึ้นมองกระจกหลังเห็นลูกคนกลางกับคนเล็กตาปรือบนตักพี่ชายจึงแอบยิ้มมุมปากน้อยๆ “ซื้อให้ลูกหน่อยสิ วันอยากได้อะไรบอกพ่อของลูกเลย ได้แน่นอน” แมนเขย่าแขนพ่อของลูกแรงๆ อยากตามใจลูกด้วยการเปย์แต่เงินไม่มี “มึงถามมหาเศรษฐีอยู่รู้ตัวไหมไอ้แมนลูกมีเงินจะร้อยล้านแล้วมั้ง กูมีไม่เท่าไหร่ส่วนมึงไม่มีสักบาทอียาจก ของตัวเองก็ไม่มียังจะทำหน้าใหญ่” “วันนี้ไปกินข้าวบ้านแม่มึงดีไหม~” “มึงจะไปขโมยอะไรของแม่กู” “กูเห็นแม่มึงซื้อเครื่องเพชรใหม่” “แล้วไง” “กูว่าเครื่องเพชรชุดเก่าของแม่มึงต้องได้หลายบาทแน่” “ไปบ้านแม่มึง” “แม่กูมีทองเยอะตอนนี้ราคาทองขึ้น” “วันโทรไปบอกย่ากับยายให้ล็อคห้องทุกห้องเลยลูก” “อืม” “ได้ไงอ่า แล้วแบบนี้จะหาเงินที่ไหนไปเข้าสังคม" “ทำงานดิ” “ไม่อยากทำ กูเรียนไม่จบมอหกนะไม่ชอบทำงานที่บ้านด้วยกูไม่เข้าใจกูโง่” “งั้นก็ใช้แรงงานแลกเงิน” “กูเป็นลูกคนรวยนะทำอะไรเป็นที่ไหน” “ทีขโมยของละชำนาญนัก อย่าเที่ยวไปทำนอกบ้านนะเดี๋ยวลูกจะอาย” “ไอ้ดีกูเป็นลูกคนรวยนะ ใครจะทำแบบนั้น” “มึงไง” “คุณดี คุณแมน” “ค้าบลูก/หืม?” ขณะที่เถียงกันไปมายืดยาวตามปกติลูกชายก็เรียกชื่อกลางวงสนทนา เป็นปกติที่ลูกชายขี้รำคาญจะเป็นกรรมการให้แต่ครั้งนี้ต่่างออกไป “ถ้าอยู่ข้างนอกไม่ต้องเรียกผมได้ไหม อย่าทักผม...ผมอาย” จู่ๆ ก็เดตแอร์ น้องวันลูกชายคนโตอยู่เฉยๆ ก็น่ากลัวอยู่แล้ว พูดประโยคเดียวเสียวกันทั้งรถ นี่สินะพลังของตัวแม่ที่แท้ทรู แมนและดีสะอึกกับเสียงเล็กเรียบแต่ทรงพลังคนพูดยังคงนั่งท่องโลกโซเชียลไถฟีดโดยไม่ได้มองหน้าพ่อแม่ที่หันมามองตากันด้วยแววตากระอักกระอ่วนแม้แต่คนไม่คิดอะไรอย่างแมนยังจุกลึกในอกพูดอะไรไม่ออก “...” “...” “เอ่อ นั่นสินะลูกโตแล้วพ่อกับแม่ลืมไปเลย ถ้าเสียงดังต้องอายเพื่อนแน่ๆ ..แมน ..ไอ้แมน” ดีเรียกแม่ของลูกที่นั่งตาลอยยิ่งกว่าหนูโดนวางยาเบื่อ "อย่าพึ่งมาคุยกับกู..กูแซดรู้สึกแก่มาก นี่เราอายุเท่าไหร่กันวะ” “28” “ทำไมกูรู้สึกเหมือนอายุ 82 วะ” คนเป็นแม่เสยผมขึ้นถามคำถามเลื่อนลอยราวกับไร้วิญญาณ สองสามีภรรยาไม่เคยเจออะไรสะเทือนใจเท่านี้มาก่อน ดีรู้ว่าลูกยังไร้เดียงสาไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ปกติก็ใช้คำพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้วแต่ครั้งนี้ทำคนอย่างแมนเงียบกริบ ความรู้สึกไม่ธรรมดากำลังกระตุ้นสัญชาติญาณคนเป็นพ่อแม่อย่างลึกซึ้งถึงก้นบึ้งหัวใจ “ค่อยไปคุยกันที่บ้าน” ดีหันมองลูกชายคนโตในกระจกมองหลังแล้วมองคนแม่ข้างหน้า..หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่นิสัยคนละเรื่องเลย"แมนทำหน้าดีๆ หน่อยลูกชายคนแรกของเรากำลังจะแต่งงานนะ"พ่อของลูกชายทั้งเจ็ดบีบแก้มคนหน้าบึ้งเบะปากมองชายหนุ่มร่างสูงในชุดเจ้าบ่าวลูบผมลูกชายด้วยท่าทางหมั่นไส้เต็มขั้น"แต่งได้ก็เลิกได้คิดว่าโรแมนติกมากมั้งถ่อมาไกลถึงทะเลลมก็แรงมีแต่กลิ่นเกลือใครมันเป็นคนเลือกสถาณที่เนี่ย สิ้นคิดชะมัด" แมนบ่นอุบสะบัดหน้าให้หลุดพ้นเงื้อมมือพ่อของลูก"พี่วันไงพี่วันชอบทะเล" ทูถือไอติมยื่นให้แม่กับพ่อพลางตอบคำถามตัวแม่ แมนหุบปากฉับย่นจมูกอย่างขัดใจแต่แอบเนียนงับไอศกรีมผัวเพราะอยากชิม"อ้าวไม่ใช่หมอนั่นเลือกเรอะ""เรียกลูกเขยให้มันเหมือนชาวบ้านหน่อย""เช๊อะ...ทะเลก็สวยดีดูพระอาทิตย์ตกดินนั่นสิ""เปลี่ยนสีเป็นกิ้งก่าเลยนะ" ดีว่าให้เมียตัวร้ายที่เดินไปสมทบกับปู่ย่าตายายเพื่อหาเหล้าฟรีดื่มแสงสุดท้ายของวันทอดตัวเหนือผิวน้ำ กลืนเข้ากับท้องฟ้าสีทองอ่อนจนแทบมองไม่ออกว่าทะเลเริ่มตรงที่ใดลมเย็นพัดผ่านกลิ่นเค็มจาง ๆ กับกลิ่นดอกลิลลี่ขาวที่ประดับเรียงรายตลอดทางเดิน ผืนผ้าสีงาช้างพลิ้วเบาอยู่เหนือพื้นทราย ทุกอย่างดูเรียบหรูมีรสนิยมบ่งบอกตัวตนความเป็นคนรวยของทั้งสองตระกูลได้เป็นอย่างดีเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะ
วันนี้ตัวแม่หมกมุ่นอย่างหนักกับคำว่ารักของลูกเขย เหมือนคนขี้อิจฉาผสมปนเปกับความไร้เดียงสาบวกกับความร้ายเดียงสาของแมนทำให้คนดีถามเมียขึ้น “มึงอายุเท่าไหร่นะไอ้แมน” “เอ่อ..น้องวันอายุเท่าไหร่น้า อ่าา..อื้มม?” เมียไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับตัวเลขได้ ไม่ว่าจะเลขอะไรยิ่งมีลูกเยอะก็จำวันเกิดสลับมั่วไปหมดแทบจะเป่าเค้กทุกเดือน “มึงแก่แล้ว” “เออแล้วไงตูดแก่ๆ จะมาเอาอะไรกับกู” “วุ่นวายไปหมดตั้งแต่เด็กยันแก่ กูไม่รู้ รักไหมไม่รู้แต่จะเอาถอดกางเกงเดี๋ยวนี้!” “เจ้าเซเว่นอายุเท่าไหร่นะ?” “ถามทำไมอี้กมึงเป็นโรคความจำเสื่อมเร๊อะ!” “ก็กูสงสัยไอ้เด็กนั่นมันพูดออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน มันรู้สึกยังไงตอนพูดออกมา มันพูดจริงไหมหรือโกหกเก่ง แต่น้องวันบอกว่ามันดี โอยปวดหัว” “ทีเรื่องตัวเองไม่เห็นมึงจะคิดอะไรท้อง..แพ้ท้อง..แม่ด่า..พ่อไม่คุยด้วยไม่เห็นมึงจะเป็นอะไร” “ลูกรักของข้า น้องวันของข้า มหาสมบัติของข้า” “มึงบ้าไปแล้วไอ้แมน” “มึงสิบ้ากามถอดกางเกงกู” “สาดน้ำใส่สักทีสองทีมึงก็กลับมาร่าเริงเหมือนคนบ้าได้แล้ว” “กูไม่มีแรงมึงตอกมาเลยกูรับบทคนโดนข่มขืนเอง” “เอาหมอนปิดหน้ามึงไว้ได้มั้ยไม่อยากฟังมึงบ่
ตึกดึกคืนนั้น เงาดำตะคุ่มๆ คืบคลานเข้ามายังหน้าห้องหนึ่งซึ่งปิดป้ายเตือนไว้ยาวเหยียด ห้องที่ชื่อ Daddy ฝรั่งจ๋ามาแต่ไกล บรรทัดต่อมาเตือนว่าให้เคาะห้องตามลำดับการเกิดพ่อจะได้รู้ว่าใครจะมาหาเรื่องอะไร คนที่รู้ว่าลูกแต่ละคนจะมีเรื่องคุยแบบไหนมาหาเพราะอะไรนี่มันช่างเป็นสุดยอดคุณพ่อเสียจริง แต่ร่างตรงหน้าประตูไม่ได้เคาะมันแต่อย่างใดกลับบิดเปิดเข้ามาแผ่วเบาคืบคลานขึ้นมาบนเตียงกว้างคลานคล่อมร่างกำยำไร้อาภรช่วงบนปกปิดอวดกล้ามเนื้อแน่นหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คุณพ่อเพียงหนึ่งเดียวในบ้านนอนหลับสนิทโดยไม่รู้เลยว่ามีภัยคุกคาามคืบคลานคล่อมร่างตนเองและจ้องเขม็งมายังวงหน้าหล่อเหลายามนิทรา สิ่งนั้นเปล่งเสียงท่ามกลางความมืดออกมาว่า! “ไอ้ดี” “..ว่า” ไม่ต้องลืมตาขึ้นมามองก็รู้ว่าใครที่เข้ามาห้องคนอื่นโดยพละการคลานขึ้นเตียงมาตัวขาวโพลน คนที่ไร้มารยาทที่สุดในบ้านและคาดหวังว่ามันจะดีไปกว่านี้ไม่ได้ อีเมียตัวดี “มึงรักกูมั้ย?” คำถามที่มาพร้อมความรู้สึกหยาบกร้านแสบสันไร้ความอ่อนโยนเหมือนกระดาษทรายเบอร์ 88 ทำเอาคนตัวโตขนลุกซู่จนต้องท้าวแขนผงกตัวขึ้นมาเปิดไฟหัวเตียงด้วยใบหน้านิ่งสนิทหรี่ตามองคนร่างควาย
ตอนแนะนำตัวกับครอบครัววันครั้งแรก ดีกันคิดว่าคงเป็นแค่ทักทายธรรมดาแต่ไม่… มันคือการเจอกองทัพทั้งเจ็ด…อย่างกับสโนว์ไวท์แน่ะเขายืนหน้าประตูบ้าน ยิ้มสุภาพเหมือนคนดูมีมารยาท ทันใดนั้น ฝูงน้อง ๆ ก็กรูเข้ามาเหมือนเจอดารา“สวัสดีพี่ดีกัน!”“หวัดดีพี่ดีกัน!”“หวัดดีจ้าพี่ดี~!”“เฮลโหลวพี่กันดี เอ้ย ดีกัน!”“ไงพี่กัน!”“โย่วพี่ดีกัน!”เสียงทักดังรัวเหมือนยิงปืนกล“สวัสดีน้องๆ”ใช่ครับแฟนผมมีน้องพ่อแม่เดียวกันมากถึงหกคนรวมแฟนผมเป็นเจ็ดคน…เขากวาดตามองแถวเด็กที่ยืนเป็นระบบระเบียบกว่าทหารเกณฑ์ลูกดกขนาดนี้นี่คือบ้านหรือเครื่องถ่ายเอกสาร?“ลูกดกมาก…” ดีกันกระแอมห่างกันปี สองปี สามปี สูงไล่เลี่ยกันหมด…หน้าตาดีทั้งบ้าน เพราะพ่อแม่หน้าตาดีมากด้วย“ใครให้อินดีกว่านี้มั้ย…ตั้งใจปั๊มลูกอย่างมีระบบมากเลยนี่นา~”น้องซิกยกมือทันที “พ่อบอกว่าอยากครบสิบ!!”ดีกันช็อกจนแทบหยุดหายใจวันตบบ่าเขาเบา ๆดีกันหันมองคนข้างตัวช้า ๆ“…วันอยากมีลูกกับฉันแบบนี้ไหม”วันชะงักเแต่น้องๆ หัวเราะกร๊าก"อยู่บ้านกันหมดเลยเหรอ" ดีกันกวาดตามองรอบบ้านใหญ่ที่เต็มไปด้วยรองเท้ากองหน้าประตู เหมือนทุกคนในจังหวัดนัดกันมาที่นี่"ช่าย นี่
(วัน) หลายปีผ่านไปครอบครัวของผมใหญ่ขึ้นเพราะน้องๆ โตขึ้นเรียนชั้นสูงขึ้นแยกย้ายกันเรียนในสายที่ชอบแต่ไม่ไกลบ้านนัก ผมอยู่คอนโดลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลำพังเสียทีเดียว ก็คุณแมนไปอ้อนคุณยายให้ซื้ออีกห้องชั้นล่างสุดน่ะสิไม่รู้มีแผนอะไรชอบไปตีสนิทกับยามและแม่บ้าน ก็คงเล่นเป็นสายลับเหมือนเดิมเกิดเป็นลูกคนอย่างพ่อกับแม่ไม่ง่ายเลยนะเหมือนเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน หลายครั้งก็อยากจะดุด่าให้สำนึกจริงจังสักทีว่าทำไมไม่ใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ แต่พอโตขึ้นก็นึกขอบคุณที่เขาไม่ตามกระแสยังคงความเป็นตัวของตัวเองแบบมนุษย์ที่มีความแตกต่างได้แทบจะร้อยเปอร์เซ็นที่รู้สึกแบบนั้นเพราะส่วนหนึ่งเห็นครอบครัวคนรักอย่างดีกันเคร่งครัดกับการใช้ชีวิตมากไปหน่อย ยามอยู่ห่างกันคนตัวโตทำท่าจะเป็นจะตายเพราะงานที่บ้านชวนให้อึดอัด พอกลับมาเจอก็อ้อนอยากกอดตลอดเวลาเหมือนเด็กๆ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้านให้ดีกันคอยพักพิงไปเสียแล้ว“เหนื่อยจังไม่อยากทำงานแล้ว”คนตัวสูงรูดเนคไทออกจากลำคอแกร่ง นักบาสคนเก่งกลายร่างเป็นนนักธุรกิจหนุ่มขึ้นทุกวัน ใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัยเพื่อนคนอื่นมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศเริ่มธุรกิจอย่างที่อยากทำ
เสียงวันสวนกลับทันที พ่อแม่เงียบไปสามวินาทีก่อนระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน“อู้วว เสียดสีเหลือเกิ๊น” แมนยกมือกุมอกแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวดพลางเอนพิงโซฟา “ไปนอนด้วยได้มั้ย เดี๋ยวเหงา”“ไม่เอาอ้ะ” วันพูดเสียงเนือยตัดบททันควัน “ให้อยู่กับคุณ เอาน้องห้าคนไปอยู่ด้วยดีกว่า”“อะไรอ้ะ~” แม่ทำเสียงสูงทันที ส่วนเจ้าแฝดเริ่มหัวเราะคิกคัก“ผมไปอาบน้ำนอนละ อย่าเสียงดังนะ เดี๋ยวน้องเลียนแบบ” วันพูดก่อนเดินขึ้นห้องไป“อะไรอ้าาาา~”เสียงแม่แมนลากยาวตามหลัง ส่วนพ่อดีก็หัวเราะหึในลำคอเบา ๆ เหมือนจะบอกว่าบ้านนี้…เงียบได้สักวันคงปาฏิหาริย์แล้วล่ะ“มึงดูลูกสิ”แมนทำหน้ายู่ชี้นิ้วไปทางห้องลูกชายคนโตแตสามีเพียงยิ้มให้พลางเทน้ำส้มลงแก้ววางลงตรงหน้าคนท้อง “ดูทำไม ลูกจะเรียนจบมอหกแล้ว โตมาอย่างมีคุณภาพ อาจจะกดดันตัวเองมากไปหน่อย แต่ก็ผ่านมาได้โดยไม่ทะเลาะกัน”“ใครจะกล้าทะเลาะด้วยวะ ดุจะตาย” แม่แมนหัวเราะในลำคอ นึกถึงสายตาคม ๆ ของลูกชายที่เหมือนแม่ตัวเองไม่มีผิดดีหัวเราะเบา ๆ “ดีจริง ๆ มีลูกคนแรกมากำราบความดื้อด้านของตัวเองอีกที”“นี่กูคิดถูกไหมเนี่ย ที่ปล่อยให้มีลูกมากขนาดนี้” แมนพูดพร้อมยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบเหล







