เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
หลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้
“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้
“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไร
แต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน
“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”
“อืม ไปเถิด”
หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนาง
เมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร
“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่หันมามองคนที่เอ่ยถามนางด้วยใบหน้าใสซื่อ ผู้ใดที่เห็นใบหน้าของนางตอนนี้ก็ต้องรู้ว่านางทำไม่เป็น
เพราะหลินเยว่กำลังใช้เท้าขยี้ผ้าที่ละตัวอยู่ นางไม่ได้ใช้ไม้ซักผ้าที่นำมาด้วยทุบผ้าเช่นคนอื่น
“ข้าทำไม่ถูกรึ” นางเอ่ยถามออกไป
“เอ่อ เจ้า เจ้าต้องใช้ไม้ซักผ้าทุบเช่นนี้” นางทุบผ้าให้หลินเยว่ได้ดู
“ไม่ไหว เจ้าเห็นกองผ้าของข้าหรือไม่ หากทำตามที่เจ้าว่าเมื่อใดจะเสร็จ อีกอย่างมือของข้าคงต้องหักก่อน” สตรีที่ได้ยินต่างก็ต้องอึ้งกับคำพูดของนาง จะมีจริงหรือสตรีที่ซักผ้าจนมือหัก
“เจ้าไม่กลัวย่าสามีเจ้าจะทุบตีเจ้ารึ” ชื่อเสียงของนางฮั่วซื่อในเรื่องนี้มีไม่น้อยชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนแต่รู้กันดี
“นางทุบตีข้าแล้ว” หลินเยว่แสร้งทำใบหน้าเศร้า พร้อมทั้งเลิกแขนเสื้อให้ดู รอยช้ำที่ถูกทุบตีปรากฏออกมาให้เห็นจนผู้ที่เห็นต่างสูดปากเหมือนว่าตนเองเจ็บเสียเอง
“เอาเถิด หากจะโดนอีกก็คงต้องยอม” นางเริ่มซักผ้าด้วยเท้าอีกครั้ง โดนไม่สนสายตาของคนที่มองมา
แต่กว่าจะเสร็จ เท้าทั้งสองข้างก็นางก็แทบจะไร้ความรู้สึก หลินเยว่ต้องนั่งพักอยู่หลายรอบ จนชาวบ้านที่มาซักผ้าต่างทยอยเดินทางกลับเรือนกันไปบ้างแล้ว นางก็ยังซักไปไม่ถึงครึ่ง
พอเท้าไม่ไหว นางก็เปลี่ยนมาใช้มือทุบผ้า จนมือทั้งสองข้างของนางเริ่มบวมแดง ร่างนี้เมื่อก่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนู แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนัก แต่นางก็ไม่เคยต้องลงมือทำงานเรือนด้วยตนเองเช่นตอนนี้
จางเลี่ยงรุ่ยกลับมาก็เห็นหลินเยว่นางเพียงนำผ้าลงไปจุ่มในน้ำ และโยนใส่ลงไปในตะกร้าที่ซักแล้ว เขาอดจะขบขันกับการกระทำของนางไม่ได้
“ท่านมาแล้ว รอข้าประเดี๋ยว ข้าใกล้เสร็จแล้ว” นางเอ่ยเสียงยานคางออกมา
หลินเยว่เร่งมือจุ่มผ้าลงในน้ำให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้รีบกลับเรือนไปพักเสียที
“มาข้าทำต่อเอง” เขาดึงมือของนางให้หยุดทำ เมื่อจับดูก็พบว่ามือของนางเย็นไม่น้อย ทั้งยังมีตุ่มน้ำเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง
“อาเยว่ ข้าขอโทษ” เขามองนางอย่างปวดใจ
“ช่างเถิด หากจะโทษก็โทษเทพชะตาเถิดที่ทำให้ข้าต้องมีสภาพเช่นนี้” นางอดจะพาลไปถึงเทพชะตาไม่ได้
เทพชะตาที่นั่งดื่มชาอยู่บนสวรรค์ถึงกับต้องจามอยู่หลายหน เพราะคำบ่นของหลินเยว่
จางเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าเสื้อผ้ากลับไปที่เรือน โดยมีหลินเยว่นางเดินตามหลังมาช้าๆ เพราะนางไม่อาจเดินเร็วไปได้มากกว่านี้ ทั้งแขนขาของนางล้วนแต่เมื่อยล้าจนแทบไม่มีแรงเดิน
พอกลับมาถึงเรือนก็เห็นนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อนั่งมองทั้งคู่อย่างชอบใจอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้
“ตากผ้าเสร็จแล้วก็ไปทำอาหารด้วยเล่า” นางหงซื่อแทะเม็ดแตงแล้วเอ่ยเสียงหวานร้องสั่งหลินเยว่ออกมา
“ข้าไม่ทำ ข้าทำไม่ไหวแล้ว” นางจ้องหน้าพวกเขาอย่างไม่ยินยอม จะรังแกนางเกินไปแล้ว
“เพ้ย ไม่ทำก็ไม่ต้องกิน”
“ข้าไม่กินก็ได้ เสื้อผ้าพวกนี้ข้าก็ไม่ตาก” นางดึงตะกร้าออกจากหลังของเลี่ยงรุ่ยทันที เขาจำต้องวางตะกร้าลง
“เป็นสะใภ้แต่ไม่คิดจะทำอันใดเลยหรืออย่างไร หรือข้าแต่งเจ้าเข้ามาเพื่อให้เจ้ามาเป็นคุณหนูคอยให้ข้ารับใช้” นางฮั่วซื่อลุกขึ้นชี้หน้าหลินเยว่ จนนิ้วแทบจะจิ้มตานางอยู่แล้ว
“นางก็เป็นสะใภ้เหตุใดต้องให้ข้าทำเพียงผู้เดียว แล้วข้าแยกแต่งเข้ามาอย่างงั้นหรือ เช่นนั้นก็หย่าขาดกันเสียเลย” นางเตะไปที่ตะกร้าผ้าจนล้มลง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง
นางเหนื่อยจากการซักผ้ามาไม่น้อย ยังต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ ที่เรือนอีก จางเลี่ยงรุ่ยเขาทนได้ แต่นางทนไม่ได้แล้ว
จางเลี่ยงรุ่ยรีบตามนางกลับมาที่ห้อง ก็เห็นหลินเยว่นางเก็บของเข้าไปไว้ในมิติของนางเรียบร้อยแล้ว
“อาเยว่ เจ้าใจเย็นก่อนได้หรือไม่” หลินเยว่หันไปมองจางเลี่ยงรุ่ยอย่างไม่เชื่อหู นางโดนถึงเพียงนี้แต่อยากให้นางใจเย็น
“ท่านทนได้ แต่ไม่ใช่ข้า”
“สตรีที่ถูกหย่า รู้หรือไม่ว่าชีวิตลำบากมากเพียงใด” เขามองนางอย่างกังวล
“แล้วอย่างไร แต่ก็คงดีกว่าอยู่ที่เรือนเช่นนี้” นางนั่งลงที่เตียงอย่างอ่อนแรง
ทั้งมือและเท้าของนางบวมแดงไม่น้อย ตอนนี้นางก็ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ เขายังจะให้นางทนอีกหรือ
จางเลี่ยงรุ่ยรู้ว่านางคงมีโทสะไม่น้อย ทั้งยังเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เขาเดินเข้ามานั่งข้างนาง พร้อมทั้งดึงมือของนางขึ้นมาดู
“ปล่อย” หลินเยว่สะบัดมือออก แต่ก็ถูกเขายึดไว้เสียแน่น
“อย่าดื้อ ให้ข้าดูเสียหน่อย” จางเลี่ยงรุ่ยจับมือของนางให้แบออก
เมื่อเห็นตุ่มน้ำหลายแห่ง ทั้งมือสองข้างของนางก็บวมไม่น้อย เขาก็นึกเห็นใจนางขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นไปหาเข็มเพื่อมาเจาะตุ่มน้ำออกให้นาง
“ไม่ต้อง ข้าทำเอง” หลินเยว่จะแย่งเข็มที่อยู่ในมือของเขามาทำเอง
“เจ้าเลิกดื้อได้แล้ว อยู่นิ่งๆ ประเดี๋ยวจะเจ็บเพิ่ม” เขาค่อยๆ เจาะน้ำในมือออกให้นางอย่างเบามือที่สุด
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้