แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย
“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ
“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น
“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่ง
หากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้
“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจ
เขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแก
ตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย
“หากท่านหาทางออกไม่ได้ ข้าจะหาทางออกเอง”
“ได้ หากข้ามิอาจทำได้ต้องรบกวนเจ้าเล่า” เขามองนางอยากหยอกล้อ
หลินเยว่ เมื่อถูกสายตาหยอกล้อของเขามองมาทางนาง นางก็รู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย ชีวิตก่อนนางมัวแต่ทำงาน จะไปสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตอนไหนได้เล่า
“เหอะ ท่านไม่ออกไปแล้วรึ” นางเปลี่ยนเรื่องทันที
“ย่อมต้องออกไป ข้าจะตรวจบาดแผลของเจ้าเสียก่อน” ตอนที่เดินกลับเรือนเขาเห็นว่านางเดินช้าลง ทั้งยังเดินไม่ค่อยถนัด จึงคิดว่านางต้องเจ็บเท้าอย่างแน่นอน
จางเลี่ยงรุ่ย ยกขาของหลินเยว่ขึ้นมาไว้บนตักของเขา เพราะเขาไม่ได้บอกกล่าวนางเสียก่อน จนเกือบทำให้นางกรีดร้องออกมา
“ท่าน ทำอันใด” หลินเยว่ปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน
“ข้าเห็นเจ้าเดินช้า ให้ข้าดูเสียหน่อย”
เมื่อถอดรองเท้าที่นางสวมไว้ออก จางเลี่ยงรุ่ยก็ตกใจไม่น้อย เมื่อฝ่าเท้าขาวของนางก็มีตุ่มน้ำพองขึ้นมา ทั้งยังบวมแดงไม่ต่างกับที่มือ
แต่ดูเหมือนจะมากกว่าเสียหน่อย เพราะนางต้องเดินกลับเรือนมาด้วย จึงทำให้ตุ่มน้ำแตกไปแล้วหลายแห่ง
“เจ็บมากหรือไม่” เขาลูบเท้าเล็กของนางอย่างไม่รังเกียจ
“ท่านทำอันใด มันสกปรก” นางจะดึงเท้าหนีแต่ก็ถูกยึดไว้เช่นเดิม
“อาเยว่ อยู่นิ่งๆ ให้ข้าดูเสียก่อน” เขาใช้เข็มสะกิดตุ่มน้ำออก
ครั้งนี้หลินเยว่นางทั้งเจ็บทั้งคัน จนคิดจะดึงเท้าหนีอยู่หลายหน แต่มือแกร่งของเขาก็ไม่ปล่อยให้เท้าของนางหลุดไปง่ายๆ
“ประเดี๋ยวข้าเข้าไปทำแผลในมิติเอง” นางดึงสาบเสื้อของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งเอ่ยขอร้อง น้ำหนักมือบุรุษถึงอย่างไรก็แรงมากกว่าน้ำหนักมือของนาง
“เช่นนั้นเจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะออกไปดุด้านนอก และจะกลับเข้าไปในมิติพร้อมเจ้า”
“อืม” นางพยักหน้ารับ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเข้าไปกินอาหารด้านในมิติด้วยกันอยู่แล้ว
พอเลี่ยงรุ่ยออกไปด้านนอก หลินเยว่นางจึงได้นอนพัก เพราะวันนี้เพียงแค่ซักผ้าก็สูบเรี่ยวแรงทั้งหมดของนางไปแล้ว
หลินเยว่ ไม่รู้ว่านางเผลอหลับไปนานเพียงใด นางมาสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ที่หน้าห้องของนาง
นางลุกขึ้นพิงหัวเตียง แต่ยังมิได้ลงจากเตียง ประตูห้องของนางก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
นางรีบหันไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นเป็นจางเลี่ยงรุ่ยเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่เคร่งเตรียม เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนไม่น้อย
“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาสำรวจเนื้อตัวของหลินเยว่ เห็นว่านางไม่เป็นอันใดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลินเยว่ยังไม่เข้ากับสิ่งที่เขาทำ ทั้งยังมีจางเฉิงนอนหมอบอยู่ที่พื้นหน้าห้องของนางด้วย
“เกิดอันใดขึ้น” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
จางเลี่ยงรุ่ยยังไม่ทันที่จะบอกหลินเยว่เลยว่าเกิดอันใดขึ้น นางฮั่วซื่อกับนางหงซื่อที่ได้ยินเสียงดังที่ห้องของเลี่ยงรุ่ยจึงได้พากันเดินมาดู
“สวรรค์ อาเฉิง เจ้าเป็นอันใด” นางหงซื่อกรีดร้องออกมา ก่อนจะวิ่งเข้ามาดูบุตรชายของนาง
นางฮั่วซื่อแทบจะเป็นลม เมื่อนางหงซื่อพลิกร่างของบุตรชายนางขึ้นมา เลือดไหลออกจากจมูกและปากของจางเฉิงอย่างน่าหวาดกลัว แม้แต่หลินเยว่ที่มองจากในห้องนางยังอดที่จะตกใจไม่ได้
“ไอ้ตัวซวย เจ้าทำอันใดกับอาเฉิง เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้” นางหงซื่อกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“อาสะใภ้ ท่านถามบุตรชายของท่านดีหรือไม่” จางเลี่ยงมองจ้องนางอย่างดุดัน
นางหงซื่อเคยเห็นแววตาเช่นนี้ของเขาเสียที่ไหน นางอดจะหวาดกลัวไม่ได้ ที่จางเฉิงเป็นเช่นนี้ คงเป็นฝีมือของจางเลี่ยงรุ่ยอย่างแน่นอน
“นางฮั่วซื่อที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว นางก็เดินหาไม้ เพื่อจะทุบตีจางเลี่ยงรุ่ยทันที
“ท่านย่า หากท่านตีข้า ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำไปแจ้งสำนักศึกษา” ครั้งนี้ เขาไม่ยอมให้นางฮั่วซื่อทุบตีเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาอีกแล้ว
มือที่ยกไม้ขึ้นสูงของนางฮั่วซื่อหยุดชะงักทันที นางรู้ว่าจางเฉิงคงทำบางสิ่งกับจางเลี่ยงรุ่ยอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำอันใด ถึงทำให้คนที่ยอมถูกรังแกเช่นเลี่ยงรุ่ย ครั้งนี้เขากลับไปยอมเช่นเดิม
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่” หลินเยว่คว้ามือของเลี่ยงรุ่ยไปจับ
นางถึงได้รู้ว่าตัวของเขาสั่นอยู่ไม่น้อย ไม่รู้เป็นเพราะความโกรธหรือกลัวกันแน่
“เจ้าจะพูดได้หรือยังว่าเกิดเรื่องอันใด” ครั้งนี้เป็นนางฮั่วซื่อที่ตะคอกถามออกมา
“หลานชายของท่านจะแอบเข้าไปในห้องของข้า ด้านในห้องยังมีอาเยว่นอนพักอยู่ เพียงเท่านี้พวกท่านคงรู้ว่าเขาคิดจะทำอันใด” แววตาของเลี่ยงรุ่ยแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว จนนางฮั่วซื่อยังต้องถอยหลังออกห่าง
“ไม่มีทาง อาเฉิงไม่มีทางคิดทำเรื่องเช่นนี้” นางหงซื่อกรีดร้องออกมา
บุตรชายของนางไม่มีทางใฝ่ต่ำเข้าหาพี่สะใภ้อย่างแน่นอน นางไม่มีทางเชื่อ ถึงแม้หลินเยว่นางจะมีใบหน้าที่งดงามก็ตาม
แต่เมื่อมองไปทางหลินเยว่ที่เพิ่งลุกขึ้นจากที่นอน สาบเสื้อของนางยังไม่ได้ถูกจัดให้เรียบร้อยจึงพอจะดูรู้ว่าหน้าอกของนางใหญ่โตมากเพียงใด ดวงตาของนางหงซื่อก็จ้องมองไปทางหลินเยว่อย่างมุ่งร้าย
“มิใช่ว่าเมียของเจ้าให้ท่าอาเฉิงหรอกรึ”
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้