หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”
“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม
“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่
“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี
“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม
“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม
“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกัน
ต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึ
จางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจความหมายที่นางสื่อออกมา เขาได้แต่เม้มปากแน่นและมองนางอย่างเข้าใจ ความเป็นอยู่ของนางและเขาคงแตกต่างกันอย่างมาก นางคงไม่อยากเสียเวลาทั้งชีวิตอยู่กับเขาที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเลย
ทั้งสองออกจากมิติก็ได้ยินเสียงนางฮั่วซื่อด่าทอจางเลี่ยงรุ่ยและนางอยู่ ที่ไม่ยอมออกมาจากห้อง เพื่อทำอาหารและหาอาหารให้สัตว์เลี้ยงในเรือน
“เหอะ หากไม่ทำงานก็ไม่ต้องกินข้าว” นางฮั่วซื่อตะโกนด่าทอหลินเยว่ต่ออีกหลายประโยค นางก็ไม่คิดที่จะออกไปจริงๆ
ต่างจากเลี่ยงรุ่ยที่ตอนนี้เขาเดินออกไปจัดการเรื่องอาหารของสัตว์เลี้ยงในเรือน แต่เมื่อทำทีจะขึ้นไปกินอาหารเช่นทุกวัน เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัยว่าตัวเขากินแล้ว ก็ต้องถูกไล่ออกมา
“ยังมีหน้ามากินอาหารอีกรึ เมียเจ้ามิคิดจะช่วยเหลืองานในเรือน ก็ไม่ต้องกินอันใดทั้งนั้น” นางฮั่วซื่อเอ่ยไล่เขา เลี่ยงรุ่ยจำต้องเดินกลับเข้าห้องไปแทน
แต่เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าหลินเยว่นางไม่อยู่ภายในห้องเสียแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งครุ่นคิดไม่ตกเรื่องที่นางเอ่ยจะแยกทางกับเขา
ตอนนี้หลินเยว่นางนอนแช่น้ำอย่างสบายใจอยู่ในบ้านในมิติของนาง ก่อนที่จะออกไปด้านนอก เพราะกลัวว่าหายไปนานคนอื่นจะสงสัยเอาได้
จางเลี่ยงรุ่ยหันไปมองหลินเยว่ที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ แต่เขาก็บอกไม่ถูกว่ากลิ่นดอกอันใด ออกมาจากกลิ่นของนาง นางคงเขาไปอาบน้ำมาอย่างแน่นอน
“โดนต่อว่ามายังงั้นรึ” นางอดจะหยอกล้อเขาไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของเขา
“อืม อาเยว่ ให้เวลาข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะหาหนทางเพื่อแยกเรือนออกไป” เขาเดินเข้ามาหานาง
“ข้ารอได้ เพียงแค่ท่านมีความคิดเช่นนี้ ข้าก็ดีใจแล้ว” นางยิ้มให้เขา
อย่างน้อยเลี่ยงรุ่ยก็คิดได้เสียทีว่าการอยู่เช่นนี้รังแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปมากกว่าเดิม
ถึงอย่างไรนางที่ไม่อาจทนการโดนรังแกได้ ก็คงต้องมีปากเสียงกับท่านย่าของเขาทุกวัน อย่าว่าแต่เขาเบื่อเลยนางก็คงเบื่อไม่น้อย เสียสุขภาพจิตหมด
“ต่อไปท่านอยากทำอันใด” นางนั่งลงข้างเขาแล้วเอ่ยถามออกมา
“ไม่รู้ ข้าอ่านเขียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้เช่นกัน หากจะเลี้ยงดูนางต่อไปคงได้ขึ้นเขาล่าสัตว์เช่นเดิม หรือไม่คงต้องไปใช้แรงงานในเมือง
“ท่านอยากเรียนหรือไม่”
เมื่อเห็นดวงตาของเลี่ยงรุ่ยวูบไหว นางก็พอจะรู้ว่าเขาก็อยากจะหาความรู้อยู่ไม่น้อย
“หากท่านอยากเรียนข้าจะสนับสนุนท่าน เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ข้ามีทางออกสำหรับเรื่องนี้ เพียงแต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้ หากหาเงินมาได้ คงต้องให้ท่านย่าของท่านเสียหมด และนางก็คงไม่ให้ท่านร่ำเรียน”
เลี่ยงรุ่ยเห็นด้วยกับที่หลินเยว่นางพูด นางเพียงเข้ามาอยู่ในเรือนของเขาได้สองวัน นางก็สามารถมองเห็นเรื่องต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้
“ไว้เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกที” เขาเอ่ยขึ้น ทั้งสองออกจากห้องอีกครั้ง
เพราะว่าจางเลี่ยงรุ่ยต้องไปขึ้นเขา เพื่อดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้ หลินเยว่จึงคิดจะตามเขาไปเที่ยวเล่นบนเขา แต่แล้วนางก็ถูกขัดขวางไว้อีกเช่นเคย
นางฮั่วซื่อและนางหงซื่อนำผ้ามาโยนที่หน้าห้องของหลินเยว่ เมื่อทั้งสองเปิดประตูออกไปพบก็ต้องตกตะลึงกับผ้ากองใหญ่ตรงหน้า
“ไปซักผ้าที่แม่น้ำเสีย ทำตัวให้มีประโยชน์เช่นสะใภ้เรือนอื่นบ้าง มิใช่ทำตัวไร้ค่าไปวันๆ” นางฮั่วซื่อจีบปากจีบคอตำหนินาง
“ให้ข้าซักเพียงผู้เดียวหรือเจ้าคะ” นางร้องถามออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“หรือเจ้าจะให้ข้าไปซักเล่า” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวร้องถามออกมา
“ผ้าท่าน ท่านก็ต้องไปซักเองสิ หรือข้าพูดผิดไป” นางถามอย่างไม่เข้าใจ
“สวรรค์ หลานสะใภ้ที่ข้าเสียเงินแต่งเข้ามาเพียงสองวันก็ไม่คิดจะทำงานแล้ว” นางฮั่วซื่อลงไปนั่งกับพื้นแล้วทุบขาของตนเองพร้อมกับร้องไปด้วย
หลินเยว่กระโดดถอยหลังอย่างตกใจ นางจะเคยพบเจอเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
“ท่านแม่ หากชาวบ้านรู้เข้าว่าหลานสะใภ้ของท่านขี้เกียจเช่นนี้ พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเจ้าค่ะ” นางหงซื่อรีบเสริมขึ้นมาทันที นางเน้นย้ำคำว่าขี้เกียจให้หลินเยว่ฟังอีกด้วย
“ข้าจะไปซักเอง ท่านย่าท่านลุกขึ้นเถิดขอรับ” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขามองการกระทำของท่านย่าอย่างเรียบเฉย ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้หากไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา
“ได้อย่างไร เจ้ามีงานอื่นต้องทำ เรื่องงานเรือนปล่อยให้เมียของเจ้าทำ” นางฮั่วซื่อรีบกระโดดลุกขึ้นมาชี้หน้าเลี่ยงรุ่ยทันที
“เอาเถิด ข้าจะไปซักเอง” หลินเยว่นำผ้าทั้งหมดใส่ลงในตะกร้า แต่เมื่อนางจะลองแบกขึ้นหลังก็พบว่ามันหนักอยู่ไม่น้อย เลี่ยงรุ่ยจึงต้องเดินเข้ามาแบกไปให้นาง
นางฮั่วซื่อและนางหงซื่อ เมื่อกลั่นแกล้งทั้งสองจนพอใจแล้ว ต่างก็เดินกลับเรือนไปอย่างสะใจ
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้