นางฮั่วซื่อจึงร้องเรียกให้นางหงซื่อที่วิ่งออกมาอยู่ที่หน้าเรือน เข้าไปจัดการในห้องครัวแทน
“ไม่มีปากหรืออย่างไร ทำไม่เป็นเหตุใดถึงไม่พูด ห๊า” นางชี้นิ้วต่อว่าหลินเยว่เสียงดัง
“ท่านไม่ได้ถามข้าว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ ท่านถามเพียงแค่ว่าข้าทำอาหารได้หรือเปล่า” นางเถียงออกมาเสียงเบา
“โอวโยว เจ้า เจ้าโง่เสียจริง เพียงจุดเตาก็ทำไม่ได้ ยังจะมาเถียงข้าอีก” นางฮั่วซื่อคว้าไม้ที่อยู่ใกล้มือได้ก็วิ่งเข้ามาตีหลินเยว่ทันที
นางจะวิ่งหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้ถูกไม้หวดไปที่ลำตัวถึงสองที แต่พอจะหันไปแย่งไม้กลับมา เลี่ยงรุ่ยที่เห็นควันไฟจากเรือนของตนก็รีบร้อนกลับมาที่เรือน เพราะกลัวว่าหลินเยว่นางจะก่อเรื่อง
มาถึงก็เห็นว่านางกำลังถูกท่านย่าทุบตีอยู่จึงได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้ ทำให้ไม้ที่ฟาดลงมาอย่างแรงฟาดไปถูกหัวคิ้วของเขาจนเลือดไหลอาบออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
“เลี่ยงรุ่ย” หลินเยว่ร้องออกมาอย่างตกใจ นางรีบเข้าไปดูเขาทันที
นางฮั่วซื่อโยนไม้ในมือทิ้งอย่างรวดเร็ว นางไม่คิดว่าหลานชายจะเอาตัวเข้ามาขวาง แล้วไม่คิดว่าจะตีโดนหัวคิ้วของเขาจนเลือดออกมามากเพียงนี้
“ท่านเป็นย่าของเขาจริงหรือไม่ เหตุใดต้องทุบตีจนได้เลือดด้วย” หลินเยว่ลุกขึ้นต่อว่านางฮั่วซื่อทันที
“ผู้ใดใช้ให้เข้ามาขวางเล่า เหอะสมควรแล้ว” นางรีบเดินหนีไปที่เรือนหลักอย่างรวดเร็ว
แม้จะทุบตีจางเลี่ยงรุ่ยมาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาเลือดออกมากเพียงนี้ อย่างมากก็เพียงช้ำในสองสามวัน (มันต่างกันตรงไหน)
หลินเยว่ลากตัวจางเลี่ยงรุ่ยเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะพาเขาเข้าไปในมิติเพื่อทำแผล
“ยังไม่ต้องถาม เข้าไปทำแผลด้านในก่อน” นางยังคงลากตัวเขาเข้าไปในบ้านของนาง
เลี่ยงรุ่ยมองสำรวจบ้านอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นบ้านรูปแบบเช่นนี้ ทั้งข้าวของที่อยู่ด้านในก็ล้วนแปลกตาไม่น้อย
หลินเยว่ให้เขานั่งรออยู่ที่โถงห้องรับแขก ที่เป็นโซฟาตัวยาว นางเดินเข้าไปด้านในเพื่อหาอุปกรณ์ทำแผล
“นางนั่งดีๆ” นางเริ่มเช็ดแผล และใส่ยาให้เขา ยังดีที่ไม่ได้แตกเป็นรอยยาวจนต้องเย็บ เพราะนางคงไม่อาจจะเย็บให้เขาได้
เลี่ยงรุ่ยมองใบหน้างามที่ทำแผลให้เขาอย่างจริงจัง มือของนางสั่นอยู่ตลอดเวลา คงตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“เรียบร้อยแล้ว” นางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“จะมาขอบคุณอะไรข้า เป็นข้าที่ต้องขอบคุณท่าน หากท่านไม่เข้ามารับไม้แทนข้า คนที่หัวแตกคงเป็นข้าเอง” เมื่อนึกถึงใบหน้าของนางฮั่วซื่อหลินเยว่ก็อดที่จะโมโหไม่ได้
“เอาเถิด กินข้าวกันดีกว่า” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
จางเลี่ยงรุ่ยจึงได้เดินตามนางเข้าไปด้านใน เขาสนใจกับข้าวของที่นางใช้ไม่น้อย
“สิ่งนี่คืออันใด” เขาชี้ไปที่ไมโครเวฟ ที่นางกำลังอุ่นอาหารอยู่
“ที่อุ่นอาหาร ดูนี่ เพียงแค่นำใส่เข้าไป แล้วกดปุ่มตรงนี้” นางดึงเขาเข้าไปใกล้ เพื่อจะสอนให้เขาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า นางยังต้มน้ำจากกาน้ำร้อน เพื่อชงกาแฟอีกด้วย
“ที่ที่เจ้าอยู่ล้วนใช้ของเหล่านี้รึ” เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้ว ไว้ข้าจะสอนให้ท่านใช้ทุกอย่างที่อยู่ในนี้”
เพียงไม่นานอาหารก็ถูกยกไปวางบนโต๊ะทานข้าว หลินเยว่ชงกาแฟให้จางเลี่ยงหลงได้ลองดื่มด้วย
“ท่านลองชิมของข้าก่อนว่ากินได้หรือไม่” เพราะว่านางกินกาแฟดำ ไม่รู้ว่าจะกินยากเกินไปสำหรับเขาหรือไม่
กลิ่นหอมของกาแฟดึงดูดความยากอาหารให้เลี่ยงไม่น้อย เขายกกาแฟดำของนางขึ้นจิบเล็กน้อย แต่ก็ต้องทำสีหน้าประหลาดออกมา
“ฮ่า ฮ่า ท่านคงดื่มแบบข้าไม่ได้ รอสักครู่” นางนำแคปซูลกาแฟรสลาเต้ใส่เครื่องชง ก่อนจะนำมายื่นส่งให้เลี่ยงรุ่ยได้ลองดื่มอีกครั้ง
ครั้งนี้จางเลี่ยงรุ่ยพอใจไม่น้อย เมื่อกาแฟที่เขาดื่มมีรสชาติกลมกล่อม ดื่มง่ายกว่ากาแฟดำของหลินเยว่มากนัก
“ยังมีให้ลองอีกหลายรส ไว้ข้าจะทำให้ท่านลองทุกรสชาติก็แล้วกัน” นางยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหาร
แต่เมื่อเห็นโต๊ะกินข้าว เลี่ยงรุ่นก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อตรงกลางของโต๊ะมันสามารถหมุนได้ ไม่ว่าอาหารจะอยู่ไกลเพียงใดก็ไม่ต้องลุกขึ้นไปตัก เพียงแค่หมุนให้มาอยู่ตรงหน้าก็ได้แล้ว
“ยังมีของประหลาดอีกมาก ไว้ท่านจะต้องตกใจอีกไม่น้อย”
เมื่อทั้งสองกินเสร็จเรียบร้อย จางเลี่ยงรุ่ยจะเก็บไปล้างเช่นที่เขาทำทุกที ก็ถูกหลินเยว่นางร้องห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง ท่านดูนี่” นางถือจาน แก้วที่ใช้แล้ว ไปวางลงในเครื่องล้างจาน พอกดปุ่มล้างให้มันทำงาน เพียงครู่เดียวจานชามก็สะอาดจนน่าประหลาดใจ
“ช่างน่าอัศจรรย์นัก” เขาอดจะทึ่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าคนที่คิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้ ต้องเก่งกาจมากเพียงใด
“เห็นหรือไม่ อะไรก็ง่ายไปเสียหมด” นางยังพาเขาเดินไปดูห้องซักล้าง ที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแห้ง โดยไม่ต้องนำไปตากแดด ทั้งยังพาไปดูห้องน้ำที่นางแสนจะภูมิใจอีกด้วย
“หากท่านต้องการใช้ เพียงแค่นั่งขับถ่าย เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กดปุ่มนี้” นางชี้บอกปุ่มด้านข้างที่กดของเสียที่อยู่ด้านในทิ้งไป และปุ่มฉีดล้างอัตโนมัติ ให้เขาเข้าใจทุกขั้นตอน
“ท่านดูนี่” นางเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ พร้อมทั้งเปิดระบบน้ำวนและระบบฟองอากาศให้เขาได้ดูด้วย
ในหัวของจางเลี่ยงรุ่ยมีแต่คำถาม ว่าผู้ใดกันที่สามารถสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกมาได้ เขาไม่อยากเชื่อว่าที่ที่นางจากมาจะรุ่งเรืองมากถึงเพียงนี้
เมื่อเดินสำรวจบ้านของหลินเยว่อยู่นาน จางเลี่ยงรุ่ยก็เกิดความกังวลขึ้น
“ต้องออกไปได้แล้ว”
“เพราะอันใด” นางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางคิดว่าจะไปอาบน้ำเสียหน่อยแล้วค่อยกลับออกไป
"หากข้ายังไม่ไปจัดการให้อาหารหมู อาหารไก่ จะเกิดปัญหาขึ้นได้” เขาไม่อยากจะให้นางโดนตำหนิไปกับเขาด้วย
“วันนี้ไม่ต้องทำแล้ว ท่านเจ็บตัวมากเพียงนี้ยังต้องทำอีกรึ” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเขาถึงต้องยอมนางฮั่วซื่อมากเพียงนี้ด้วย
“อาเยว่ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องถูกตำหนิไปด้วย”
“เหอะ ผู้ใดสนกัน จะด่าข้าก็ด่าเถิด” นางเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอม
“มิได้ ข้าเป็นสามีเจ้า ไม่อยากจะให้ผู้ใดว่าเจ้าได้”
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้