คงมีเพียงจางเฉิงที่ยังชะเง้อคอมองเข้ามาด้านใน เพื่อให้ได้เห็นพี่สะใภ้อีกสักครั้ง แต่ก็ถูกจางเลี่ยงรุ่ยปิดประตูใส่หน้า จนเกือบจะกระแทกหน้าของเขาเข้า
“ท่านหยิบชุดให้ข้าหน่อย” หลินเยว่บอกเขา
“หึ เจ้าอยากจะเปิดเผยให้พวกเขาเห็นมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงให้ข้าเห็นไม่ได้” จางเลี่ยงรุ่ยไม่พอใจอย่างมากที่นางแสร้งทำผ้าห่มหลุดจนเผยให้เห็นไหล่ของนาง
“เพ้ย หากข้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อหรือไง ท่านหยิบให้ข้าเสียหน่อย”
แต่แทนที่จางเลี่ยงรุ่ยจะหยิบชุดให้นาง เขาเดินไปดับเทียน แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงข้างนางแทน
“ท่าน” หลินเยว่ตกตะลึงไม่น้อยที่เขาขึ้นมานอนเลยไม่ยอมหยิบเสื้อผ้าให้นาง
“หากอยากใส่ก็ลุกขึ้นไปหยิบเอง” เขาตะแคงหันหน้าหนีทันที
เพราะเตียงไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เมื่อขึ้นมานอนสองคนจึงดูเบียดอยู่ไม่น้อย
“ข้าหนาว” นางกระซิบบอกเขา เพื่อหวังว่าเขาจะไปหยิบชุดให้นาง
“อากาศร้อนเช่นนี้เจ้ายังหนาวอีกรึ”
“จาง เลี่ยง รุ่ย ท่านโกรธอะไรข้า ได้ ข้าไปหยิบเองก็ได้” นางทุบไปที่แขนของเขาหนึ่งที ก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวแล้วเดินไปหยิบชุดที่ปลายเตียง
แต่เพราะภายในห้องไร้แสงเทียน ผ้าห่มที่คลุมตัวก็หนาจนนางขยับตัวอย่างยากลำบาก ก่อนจะถึงปลายเตียงนางก็ล้มลงไปกองที่พื้นเสียแล้ว
“โอ๊ยยย” จางเลี่ยงรุ่ยรีบลุกขึ้นไปดูหลินเยว่ที่พื้นทันที
“เจ็บมากหรือไม่” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“หากท่านช่วยข้าตั้งแต่แรกจะเกิดเรื่องเช่นนี้หรือไม่เล่า” นางทุบเขาไปอีกหลายที
“ต่อไปเจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้นอีก สตรีมิอาจให้ผู้อื่นนอกจากสามีของนางเห็นเรือนร่างได้” แม้จะไร้แสงเทียนแต่สายตาและคำพูดที่จริงจังของจางเลี่ยงรุ่ย ก็ทำให้หลินเยว่รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเอ่ยตอบออกมาเสียงเบา
เลี่ยงรุ่ยช่วยประคองนางขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะ ไปหยิบชุดที่ปลายเตียงมาให้นางใส่ เขาหันหลังเข้ากำแพง เพื่อให้หลินเยว่สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“เสร็จแล้ว ท่านขึ้นมานอนเถิด”
หลินเยว่ขยับเข้าไปด้านใน เพื่อให้จางเลี่ยงรุ่ยขึ้นมานอนได้ แต่ถึงจะขยับไปชิดด้านในที่สุดแล้ว แต่ไหล่ของทั้งคู่ก็แทบจะเกยกันอยู่ดี เรื่องนี้สร้างความอึดอัดใจให้หลินเยว่อยู่ไม่น้อย
“นอนไม่สบายเช่นนั้นรึ” เขาเอ่ยถามออกมา เมื่อนางขยับตัวเป็นรอบที่สามแล้ว
“อืม แต่ไม่เป็นไร ท่านนอกเถิด ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” นางอยู่แต่เพียงในห้องเฉยๆ ต่างจากจางเลี่ยงรุ่ยที่ต้องออกไปดูแลแขก ทั้งยังต้องเก็บข้าวของที่แขกกินแล้วไปล้างอีกด้วย
“อืม” เพียงไม่นาน เสียงหายใจของจางเลี่ยงรุ่ยก็สม่ำเสมอ เขาคงหลับไปเสียแล้ว
มีเพียงหลินเยว่ที่นางยังนอนไม่หลับ เพราะหมอนที่หนุนแข็งเกินไป ไหนจะเตียงที่เล็ก นางจะขยับตัวก็ไม่กล้า สุดท้ายเมื่อนอนนิ่งๆ ไปนานๆ นางก็ผล็อยหลับตามเลี่ยงรุ่ยไป
พอได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนาง เลี่ยงรุ่ยก็ลืมตาขึ้น เขารู้ว่านางคงนอนไม่สบายตัว จึงได้จับศีรษะของนางมาหนุนที่แขนของเขาแทน
หลินเยว่ที่รู้สึกสบายตัวขึ้นมาทันที นางก็กอดก่ายจางเลี่ยงรุ่ยอย่างลืมตัว เขาก็ไม่คิดจะผลักตัวของนางออก เพราะเห็นใจนางอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาแต่งให้กับบุรุษเช่นเขา
จางเลี่ยงรุ่ยไม่ใช่ไม่คิดที่จะตัดขาดกับตระกูล ต่อให้เขามีความกล้ามากเพียงใด นางฮั่วซื่อก็ไม่คิดจะปล่อยแรงงานชั้นดีเช่นเขาไปอย่างแน่นอน
ฟ้ายังไม่สว่างดี จางเลี่ยงรุ่ยก็ขยับตัวของหลินเยว่ให้ลงจากตัวของเขา จนนางรู้สึกตัวตื่น
เมื่อมองออกไปทางหน้าต่าง นางก็ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที
“ท่านจะรีบตื่นไปไหน ยังไม่เช้าเลย” นางพึมพำออกมา
“ข้ามีงานต้องทำ เจ้านอนพักต่อเถิด” เขาช่วยห่มผ้าให้นางก่อนจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า เพื่อออกไปจัดการงานของตนเอง
แต่แล้วเสียงของนางฮั่วซื่อก็ดังขึ้นจนหลินเยว่มิอาจจะนอนต่อได้ นางลุกขึ้นขยี้ผมของตนเองอย่างหงุดหงิด
“โอวโยว สายเพียงนี้หลานสะใภ้ข้ายังไม่คิดจะลุกขึ้นจากที่นอนอีกรึ” จางเลี่ยงรุ่ยที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปถึงกับถอนหายใจออกมา
หลินเยว่นางจะทำสิ่งใดได้ นอกจากสะบัดผ้าห่มทิ้งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อออกไปล้างหน้าล้างตา
“ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มน้ำให้เจ้า” เขาเดินออกจากห้องไป
หลินเยว่ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางก็จัดการเก็บที่นอนก่อนจะเดินไปล้างหน้าด้านหลังเรือน
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเรือนตระกูลจาง เรือนไม่ได้ใหญ่ไปกว่าของชาวบ้านด้านนอก เพียงแต่ห้องที่นางอยู่แทบจะเรียกได้ว่าห้องเก็บของหรือห้องเก็บฟืนที่ชาวบ้านใช้เก็บของกัน
นางตกใจไม่น้อยกับความใจดำของพวกเขา หลินเยว่มองไปที่จางเลี่ยงรุ่ยที่เดินออกมาจากห้องครัวอย่างปวดใจ
ทุกคนในเรือนยังไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาสักคน แต่นางกับเลี่ยงรุ่ยต้องลุกขึ้นมาจัดการเตรียมหาอาหารทั้งยังต้องหาหญ้าให้หมูกับไก่ได้กินอีก
เลี่ยงรุ่ยก็มองมาที่นางอย่างเห็นใจ เขาเดินเข้ามาหานาง พร้อมทั้งพานางไปที่ห้องน้ำด้านหลัง ยิ่งเห็นห้องน้ำหลินเยว่นางก็หน้าเบ้จนเกือบจะร่ำไห้ออกมา
นางมองไปที่เลี่ยงรุ่ยว่ามันคือห้องน้ำจริงหรือ นางก็เพิ่งจะเคยเห็นห้องน้ำเช่นนี้ครั้งแรกด้วยตาของตนเอง นอกจากรูปภาพที่อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์
นางจะหลบไปเข้าห้องน้ำในมิติก็ไม่ได้ เพราะนางฮั่วซื่อเดินออกมาควบคุมนางกับเลี่ยงรุ่ยทำงานแล้ว สุดท้ายนางก็ต้องกลั้นใจเข้าไปล้างหน้าด้านใน ส่วนธุระส่วนตัวไว้นางค่อยไปจัดการในมิติ
“ทำอาหารเป็นหรือไม่” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามหลินเยว่อย่างดูแคลน
“เป็นเจ้าค่ะ” นางก็พอจะทำได้ไม่กี่อย่าง คงไม่ยากเกินไปหากจะต้องต้มข้าวและทำผัดผักง่ายๆ
“เช่นนั้นก็ไปจุดเตาเสีย” นางชี้นิ้วสั่งไปที่ห้องครัว
หลินเยว่นางจะจุดเป็นได้อย่างไร แต่นางก็ยังเดินเข้าไปในห้องครัว ตอนนี้จางเลี่ยงรุ่ยแยกตัวออกไปเก็บผักป่า เก็บหญ้าที่ด้านนอกแล้ว
นางยืนมองหาที่จุดไฟก็ยังไม่เห็น จะออกไปถามนางฮั่วซื่อไม่แคล้วก็คงต้องถูกด่ากลับมาอย่างแน่นอน หลินเยว่นางเห็นถ่านในเตาที่ยังแดงอยู่จึงได้ใส่หญ้าแห้งเข้าไปเพิ่ม และใส่ฟืนที่อยู่ด้านข้างเข้าไปอีกหลายท่อน
เพียงครู่เดียวควันก็คลุ้งเต็มห้องครัวไปหมด ใบหน้าของนางมีแต่เถ้าถ่าน นางไอไม่หยุดเพราะสำลักควัน จนต้องวิ่งออกมาจากห้องครัว
“สวรรค์ ตายแล้ว จะเผาเรือนข้าอย่างนั้นรึ” นางฮั่วซื่อกรีดร้องออกมา ทำให้คนที่อยู่ในเรือนได้ยินว่าเผาเรือนก็วิ่งออกมาดูทันที
แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่งหากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจเขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแกตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย“
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไรแต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”“อืม ไปเถิด”หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนางเมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่ห
หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกันต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึจางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจควา
นางฮั่วซื่อจึงร้องเรียกให้นางหงซื่อที่วิ่งออกมาอยู่ที่หน้าเรือน เข้าไปจัดการในห้องครัวแทน“ไม่มีปากหรืออย่างไร ทำไม่เป็นเหตุใดถึงไม่พูด ห๊า” นางชี้นิ้วต่อว่าหลินเยว่เสียงดัง“ท่านไม่ได้ถามข้าว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ ท่านถามเพียงแค่ว่าข้าทำอาหารได้หรือเปล่า” นางเถียงออกมาเสียงเบา“โอวโยว เจ้า เจ้าโง่เสียจริง เพียงจุดเตาก็ทำไม่ได้ ยังจะมาเถียงข้าอีก” นางฮั่วซื่อคว้าไม้ที่อยู่ใกล้มือได้ก็วิ่งเข้ามาตีหลินเยว่ทันทีนางจะวิ่งหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้ถูกไม้หวดไปที่ลำตัวถึงสองที แต่พอจะหันไปแย่งไม้กลับมา เลี่ยงรุ่ยที่เห็นควันไฟจากเรือนของตนก็รีบร้อนกลับมาที่เรือน เพราะกลัวว่าหลินเยว่นางจะก่อเรื่องมาถึงก็เห็นว่านางกำลังถูกท่านย่าทุบตีอยู่จึงได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้ ทำให้ไม้ที่ฟาดลงมาอย่างแรงฟาดไปถูกหัวคิ้วของเขาจนเลือดไหลอาบออกมาอย่างน่าหวาดกลัว“เลี่ยงรุ่ย” หลินเยว่ร้องออกมาอย่างตกใจ นางรีบเข้าไปดูเขาทันทีนางฮั่วซื่อโยนไม้ในมือทิ้งอย่างรวดเร็ว นางไม่คิดว่าหลานชายจะเอาตัวเข้ามาขวาง แล้วไม่คิดว่าจะตีโดนหัวคิ้วของเขาจนเลือดออกมามากเพียงนี้“ท่านเป็นย่าของเขาจริงหรือไม่ เหตุใดต้องทุบตีจนได้เลือดด้วย”
คงมีเพียงจางเฉิงที่ยังชะเง้อคอมองเข้ามาด้านใน เพื่อให้ได้เห็นพี่สะใภ้อีกสักครั้ง แต่ก็ถูกจางเลี่ยงรุ่ยปิดประตูใส่หน้า จนเกือบจะกระแทกหน้าของเขาเข้า“ท่านหยิบชุดให้ข้าหน่อย” หลินเยว่บอกเขา“หึ เจ้าอยากจะเปิดเผยให้พวกเขาเห็นมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงให้ข้าเห็นไม่ได้” จางเลี่ยงรุ่ยไม่พอใจอย่างมากที่นางแสร้งทำผ้าห่มหลุดจนเผยให้เห็นไหล่ของนาง“เพ้ย หากข้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อหรือไง ท่านหยิบให้ข้าเสียหน่อย”แต่แทนที่จางเลี่ยงรุ่ยจะหยิบชุดให้นาง เขาเดินไปดับเทียน แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงข้างนางแทน“ท่าน” หลินเยว่ตกตะลึงไม่น้อยที่เขาขึ้นมานอนเลยไม่ยอมหยิบเสื้อผ้าให้นาง“หากอยากใส่ก็ลุกขึ้นไปหยิบเอง” เขาตะแคงหันหน้าหนีทันทีเพราะเตียงไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เมื่อขึ้นมานอนสองคนจึงดูเบียดอยู่ไม่น้อย“ข้าหนาว” นางกระซิบบอกเขา เพื่อหวังว่าเขาจะไปหยิบชุดให้นาง“อากาศร้อนเช่นนี้เจ้ายังหนาวอีกรึ”“จาง เลี่ยง รุ่ย ท่านโกรธอะไรข้า ได้ ข้าไปหยิบเองก็ได้” นางทุบไปที่แขนของเขาหนึ่งที ก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวแล้วเดินไปหยิบชุดที่ปลายเตียงแต่เพราะภายในห้องไร้แสงเทียน ผ้าห่มที่คลุมตัวก็หนาจนนางขยับตัวอย่างยากล
หลินเยว่เพ่งจิตเข้าไปในมิติ ตามคำแนะนำของเทพชะตา เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้เป็นห้องเล็กๆ เช่นที่นางอยู่ในตอนแรกแต่ด้านหน้าของนาง นอกจากทุ่งหญ้าที่กว้างแล้ว ยังมีทิวเขาที่งดงาม ลำธารที่ไหลผ่านตัดกับทุ่งหญ้า ดอกไม้นานาชนิดที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอม แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องกรีดร้องออกมาอย่างยินดีเห็นจะเป็นโกดังเก็บวัตถุดิบที่นางไว้ใช้ทำสินค้า และบ้านของนางที่เหมือนกับของเดิมไม่มีผิดเพี้ยน“สวรรค์ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ เทพชะตา” นางคุกเข่าลง พร้อมทั้งตะโกนขึ้นไปบนฟ้าอย่างน้อยนางก็พอจะมองหาหนทางรอดที่จะใช้ชีวิตในภพนี้ได้แล้ว นับว่านางโชคดีไม่น้อยที่ขั้นตอนการผลิตทั้งหมดนางเรียนรู้ด้วยตนเองมาโดยตลอดต่อให้ต้องเริ่มทำขึ้นมาตามวิธีแบบโบราณนางก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีวัตถุดิบที่มากมายใช้ได้ไม่หมด นางไม่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่นให้ยุ่งยากหลินเยว่วิ่งเข้าไปในบ้านของนางด้วยความดีใจ ข้าวของด้านในล้วนแต่มีเช่นเดียวกับที่ภพเดิม ไหนจะอาหารแห้งอาหารสดที่นางมักจะซื้อตุนไว้ตลอด และเมื่อออกไปดูวัตถุดิบนอกเมืองนางยังซื้อของชาวบ้านกลับมาเก็บไว้ไม่น้อยต่อให้ที่เรือนตระกูลจางไม่ให้นางก
หากเป็นชาวบ้านที่มาร่วมงานคงไม่กล้าเข้ามาในห้องเจ้าสาวอย่างแน่นอน ถึงจะเข้ามาคนที่อยู่ด้านนอกก็ต้องรู้กันบ้างละ“เพ้ย ข้าไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพชะตา” เขายืดอกขึ้นอย่างภูมิใจยิ่งทำให้หลินเยว่มึนงงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก “แล้วท่านมาพบข้าด้วยเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่า...” นางลากเสียงยาวจ้องจับผิดเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางก็ไม่รู้หรอกว่าเขามาพบนางด้วยเรื่องอะไร“เอ่อ คือว่า...” เขามีพิรุธจริงอย่างที่นางคิดไว้เทพชะตาไม่กล้าที่จะบอกนางเรื่องที่เขาดึงตัววิญญาณมาผิดคน ความจริงแล้วหลินเยว่นางยังไม่ถึงฆาต คนที่ต้องตายเป็นสตรีอีกคนที่อยู่ในรถคันหลังต่อจากคันที่นางนั่งมาเพราะความผิดพลาดที่นำวิญญาณมาผิดคน เทพชะตาได้ตรวจดูแล้วพบว่า เกาหลินเยว่นางกำลังจะสิ้นใจ ชะตาของทั้งสองคนช่างประหลาดนัก ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน เขาจึงได้พาวิญญาณของนางมาสวมร่างแทนเสียเลยหากไม่ยอมมาเจรจากับนาง เขาต้องถูกลงโทษด้วยการยึดอายุบำเพ็ญเพียรถึงห้าร้อยปี จึงได้แต่ลงมาพบนางในครั้งนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“ท่านจะพาข้ากลับไปที่ภพเดิมใช่หรือไม่” ดวงตาของหลินเยว่เปล่งประกายขึ้นมาทันที“เอ่อ เรื่องนี้ เห็นทีจะไม่ได้ ร่างของเจ้าถู
นางฮั่วซื่อ เมื่อด่าจนเหนื่อยแล้วนางก็เดินออกจากห้องของหลานชายไป“รู้สึกตัวแล้วก็ลุกขึ้นเสีย” จางเลี่ยงรุ่ยมองนางอย่างไม่พอใจเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางรู้สึกตัว เปลือกตาของนางขยับ ทั้งยังกรามที่ถูกกัดจนขึ้นสันนูนออกมา คงมีเพียงท่านย่าของเขาที่ด่าไม่ลืมหูลืมตา จึงไม่รู้ว่านางยังไม่ตายหลินเยว่จำต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างเสียไม่ได้ สิ่งแรกที่นางต้องตกตะลึง ไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าบ่าว แต่เป็นสภาพห้องที่เล็กเสียอยู่กันสองคนแทบจะขยับตัวไม่ได้ผนังห้องที่เก่าจนขึ้นสีดำ หรือจะเป็นราดำ นางก็ไม่แน่ใจ ถึงแม้ห้องจะมีสภาพไม่น่ามอง อย่างน้อยผ้าห่มที่นางห่มอยู่ก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นหืนอย่างที่คิดไว้จางเลี่ยงรุ่ย สังเกตอาการของนางอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนนางจะรังเกียจสภาพความเป็นอยู่ของเขาไม่น้อย เพียงแต่นางไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น“ไป ลุก ไปกราบไหว้ฟ้าดิน” เขาต้องบังคับให้นางไปเข้าพิธีให้ได้ อย่างน้อยชาวบ้านจะไม่ต้องมองว่าเขาเป็นตัวซวยอีก“ฉัน เอ่อ ข้าลุกไม่ไหว” หลินเยว่นางลุกไม่ขึ้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะยาที่ถูกนางเจินซื่อวางไว้ยังยังมีอาการเช่นนี้“มา ข้าจะช่วยประคอง” ถึงต้องแบกนางออกไปเขาก็ต้องทำจางเลี่ยงรุ
“คุณหลินเยว่ ยินดีด้วยค่ะ กับยอดขายสินค้าตัวใหม่”“ขอบคุณมากเลยค่ะ ฉันตั้งใจทำอย่างมากหวังว่าสินค้าตัวใหม่จะเป็นที่ถูกใจพวกคุณทุกคนค่ะ”หลินเยว่ยิ้มหวานให้กล้อง พร้อมทั้งก้มหัวขอบคุณลูกค้าที่ให้ความสนใจสินค้าตัวใหม่ของเธอ เพียงเปิดขายในวันแรก ยอดสั่งซื้อจากทุกช่องทางก็ทำให้สินค้าหมดลงในเวลาไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำนับว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม ครีมทาผิว ครีมอาบน้ำ หรือแต่เครื่องสำอางที่เพิ่งผลิตออกมาจำหน่าย ล้วนแต่ขึ้นเป็นสินค้าขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศนอกจากกลิ่นหอมที่ติดทนแล้ว สินค้าของเธอยังนับว่าช่วยอุดหนุนเกษตรกรในประเทศอีกด้วย วัตถุดิบทั้งหมดของเธอใช้ของที่ปลูกในประเทศไม่นำเข้า ทุกขั้นตอนการผลิตเธอเข้าไปควบคุมด้วยตนเอง เป็นการถ่ายคลิปโปรโมตสินค้าของเธอไปในตัวและวิดีโอที่เธอนำมาเผยแพร่ยังดึงดูดความสนใจของคนทั่วประเทศได้มากมาย เธอนำวิธีการทำเครื่องหอมในยุคโบราณมาประยุกต์เข้าด้วยกัน บางกลิ่นจึงให้คนที่ติดตามร่วมสร้างสรรค์ไปกับเธอด้วยเพียงเท่านี้ ผลิตภัณฑ์ของเธอก็ครองใจผู้คนไปได้มากกว่าที่จะคาดคิดคืนนี้เธอจึงจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับพนักงานทุกคน ที่เหน็ดเหนื่อยมาน