เหวินซืออี้อยู่ในตำหนักลับมาเกือบห้าเดือนแล้ว นางถูกซ่อนตัวไว้ที่นี่ เนื่องจากวังหลวงมีหลายสิ่งเกิดขึ้น พร้อมการเปลี่ยนแปลงมากมาย หญิงสาวรู้ข่าวจากผิงจง และเฮ่อชวีหังที่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ “อี๋เหนียงจือ คลอดเด็กหญิงออกมา ตัวเล็ก และสุขภาพไม่ดี และไม่ได้เลี้ยงดู รัชทายาทส่งไปอยู่ในความดูแลของแม่ชีบนเขา” ได้ยินอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดตาม หากจือฮวนไม่ได้เลี้ยงลูกของนาง เช่นนั้นอีกฝ่ายจะใช่องค์หญิงหกหรือไม่ “ส่วน... องค์หญิงจากแคว้นฉาง นางอยู่ที่ตำหนักบรูพา มีฐานะเป็นพระชายารอง” “สุดท้าย หานอ๋องก็ไม่ปล่อยสตรีคนในให้หลุดมือ” “ใช่ และอีกอย่าง นางกำลังตั้งครรภ์” “เจี่ยจง รู้หรือไม่เด็กในคนนั้น มีเลือดเนื้อของหานอ๋องหรือไม่” ทั้งคำถามสีหน้าของเหวินซืออี้ดูเครียดจัด ผิงจงเลยมองไปยังเฮ่อชวีหังด้วยเขาผ่านโลกมามากกว่านาง อีกทั้งล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงได้ดี “เสี่ยวเหยา ฟังข้าให้ดี... สำหรับผู้เป็นรัชทายาทแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องมีทายาทเพื่อสืบเชื้อสาย ดังนั้นเด็กในครรภ์ขององค์หญิงแคว้นฉาง ย่อมเป็นบุตรของเขา”
เหวินซืออี้อยู่เรือนบ้านสวนอย่างสงบ โดยไม่คิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเซียวเฟิงหัวและน้าของอีกฝ่าย ซึ่งก็คือเซวียนหลิน ทว่าชะตาชีวิตก็ลิขิตไว้แล้ว ทุกอย่างจึงไม่อาจหลีกเลี่ยง ในยามสายของวันนั้น ผิงจงพาพี่สี่ของเหวินซืออี้มาเยี่ยม กลายเป็นว่า เหวินเจิ้งเทาคือลูกศิษย์คนที่สิบสองของเฉิงเซ่าเทียน และเขารู้จักกับเซียวหัวเฟิงเป็นอย่างดี ในช่วงเวลาที่หลบซ่อนตัวจากจือคังนั่นเอง “ท่านอาเหยา ท่านพ่อฝากความคิดถึงด้วย มีของฝากหลายอย่าง ส่วนเสื้อเกราะทองคำ ข้าส่งคืนท่านปู่แล้วขอรับ” เหวินซืออี้ได้ยินอย่างนั้น นางก็ปีติ น้ำตาไหลออกมาด้วยความยินดี ระคนคิดถึงหลายสิ่งที่ผ่านมา ทั้งชาติภพก่อนและชาตินี้ “เหินเกอ ยังสบายดีใช่หรือไม่ ผมเขาขาวทั้งศีรษะ หรือว่าตอนนี้ล้านไปแล้ว” เหวินเจิ้งเทาหัวเราะคิกคัก และตอบด้วยเสียงเบาสักหน่อย “อันที่จริง สิ่งที่ท่านอาเหยาถาม ข้าก็สงสัยมาก บิดาผมน้อย ทั้งข้าเห็นว่าหนวดเขาขาว คิ้วก็เริ่มขาวด้วย” “ข้าอยากเห็นตาแก่ไถเหินจริงๆ แล้วเขาแต่งฮูหยิน หรืออนุคนใหม่เข้าเรือนหรือยัง” เหวินซืออี้ถาม เนื่องจากกำลังคำนวณเวลา
เหวินซืออี้ข่มตาหลับไม่ลงนับแต่เหวินเจิ้งเทาหายตัวไป ยามนี้ข่าวก็ไปถึงหูเฉิงเซ่าเทียนแล้ว ฝ่ายเขาได้ออกติดตามคนทั้งสอง ซึ่งเข้าไปในเขตของชาวสุยจ้วง ยามนี้ชาวเผ่าดังกล่าวแยกออกเป็นหลายกลุ่มย่อยๆ รบกันอยู่บ่อยครั้ง หากมีผู้ใดล่วงล้ำพื้นที่ ก็ไม่แน่ว่าอาจต้องสิ้นชีวิต สองวันต่อมา หญิงสาวเดินทางมาพร้อมผิงจง และเฮ่อชวีหัง ยามนี้จิตใจไม่สงบนัก กระทั่งมาสมทบกับฝ่ายของเฉิงเซ่าเทียน เหวินซืออี้เดินเข้าไปหาเฉิงเซ่าเทียน ยามนั้นได้เห็นว่าเขามีความยุ่งยากใจ “อย่างที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ เด็กทั้งสองเข้าไปอยู่ในค่ายกลของสุยจ้วง มันเป็นพื้นที่หวงห้าม อาเหยา...ในครั้งที่ไปขโมยเกล็ดหิมะพันปี เจ้าจำได้หรือไม่ว่าออกมาด้านนอกได้เยี่ยงไร” เมื่อชายหนุ่มถามเช่นนั้น นางก็มือเท้าเย็นอย่างช่วยไม่ได้ แม้เฉิงเซ่าเทียนกับสวีเกาหาน จะร่วมมือกันเปิดทางให้นางเข้าไปเขตที่เป็นสุสานของหายากได้ กระนั้นหากเจ้าของร่างไม่มีฝีมือ ย่อมต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น “ฮึ เทียนเกอและรัชทายาทที่ชี้ช่องทางให้ข้าได้เข้าไปในสุสานลับของชาวสุยจ้วงมิใช่หรือ” “มิผิด แต่นั่นหากอาเหยาไร้ฝีมือ คงไม่อา
หญิงสาวไอโขลกๆ สองสามหน ศีรษะมึนงง นางไม่ได้ประมาท แต่เป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ปะปนอยู่ในกลุ่ม นี่คือสิ่งที่นางสังหรณ์ใจมาพักใหญ่ ดวงตากลมโต มองพื้นที่ทั้งหมด ดูเผินๆ คล้ายสวนหิน ทว่ามีกับดัก และลูกธนู รวมถึงอาวุธลับที่สามารถพุ่งออกมาทำร้ายผู้คนได้ บริเวณพื้นพบโครงกระดูก และซากศพที่ยังไม่เน่า กระจัดกระจายอยู่ ประเมินแล้วคงมีคนมาก่อนหน้านางเมื่อไม่นานนี้ เหวินซืออี้ก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ซึ่งได้มา และพบล่องลอยบางอย่าง เป็นเลือดที่ยังสดๆ พร้อมกลิ่นหอมจางๆ จากถุงหอมมันปักชื่อของเหวินเจิ้งเทา เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งร้อนใจ ถึงอย่างนั้น นางยิ่งระแวดระวังวัยกว่าเดิม จุดนี้มีทางเดินคดเคี้ยว แสงสว่างภายนอกส่องมาไม่ถึงจึงใช้ไข่มุกราตรีให้ความสว่าง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาถือไว้เพื่อป้องกันตัว เมื่อก้าวไปไกลพอสมควร ก็แน่ใจว่า มีบางสิ่งเคลื่อนไหวตามมา นางจึงหมุนขวับ ยามนั้นได้เห็นเซวียนหลินที่ถูกตัดขาดจากกลุ่มเช่นเดียวกันนาง อีกฝ่ายจุดคบเพลิงมือ และส่องมาทางเหวินซืออี้ “รีบเดินต่อไปสิ หลานข้าทั้งคน เขาเป็นสายเลือดของแม่ทัพเซียว ผู้กอบกู้บ้านเมือง เรื่องน
ซ่านสวาทสองรัก เหวินซืออี้กลับมาที่เรือนบ้านสวน นางอ่อนเพลีย และหลับๆ ตื่นๆ ตลอดการเดินทาง อีกทั้งได้ย้อนกลับไประลึกถึงช่วงเวลาก่อนเข้าร่างจางเหยา เป็นเหตุการณ์ที่ก่อนหน้าซึ่งทั้งนางกับเจ้าของร่างถูกปิดกั้นเอาไว้ นั่นเป็นเพราะนอกจากพลัดตกไปลงไปในบ่อน้ำลืมเลือน จางเหยายังเผลอทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นเจ้าของร่างจึงไม่อยากมีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวหลงเหลือไว้อีก ที่สำคัญนางไม่อาจเลือกใคร ไม่ว่าจะเป็นสวีเกาหาน หรือ เฉิงเซ่าเทียนก่อนหน้านั้น จางเหยาได้แผนที่สุสานโบราณชาวสุยจ้วงจากเฉิงเซ่าเทียน และยังขโมยม้าจองสวีเกาหาน เพื่อหลบหนีจากพวกพ่อค้าชั่ว เนื่องจากคนพวกนั้นคิดเอาสมุนไพรที่นางปรุงได้ไปโดยไม่จ่ายเงิน ทั้งอยากข่มเหงและกักขังนางไว้ โดยมีความประสงค์อยากส่งตัวนางไปเป็นของเล่นจือคัง ดูเหมือนว่าผู้คนในอดีต ล้วนเกี่ยวข้องกับนางไม่ทางใดทางหนึ่ง (ส่วนนี้เป็นความทรงจำของจางเหยา ผู้เขียนจะบรรยายในแนวคิดของจางเหยาเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ) ซึ่งคราแรกเมื่อที่จางเหยาลงจากเขา เพื่อนำขี้ผึ้งเนื้อดี และน้ำมันหอมมาขาย นางพบเฉิงเซ่าเทียน ยอมรับว่าหัวใจเต้นไหวอย่างบ้าคลั่ง
จางเหยาเป็นโจรดั่งคำเขาว่า นางขโมยแผนที่เฉิงเซ่าเทียน และหว่านเสน่ห์สวีเกาหาน แล้วขี่ม้าเขามาอย่างไม่บอกกล่าว “ฮึ มือของท่านนั้น จงเอามันออกไป” ปากบอกเขา แต่ไม่ทันแล้ว สาปเสื้อนางแยกออก มือเรียวยาวเข้าไปนวดเฟ้นความนุ่มนิ่มของนาง “อ๊ะ...” ด้วยเมื่อครู่กำลังเคลิ้มไหว ไม่ทันได้มองรอบๆ ตัวให้ดี ยามนี้ ฝ่ายเฉิงเซ่าเทียนจึงมาประกบอยู่ด้านหน้าเสียแล้ว “พวกท่านต้องการทำสิ่งใด?” “หึๆ ๆ เพียงแค่สอบเค้นหาความจริง จากนางโจรราคะ ที่ปล้นเอาหัวใจข้ากับสหายเกาหานไปอย่างร้ายกาจ” เสียงเฉิงเซ่าเทียนเหี้ยมเหลือเกิน แต่ถึงจะเหี้ยมเพียงนั้น ทว่านางกับเร้าใจ ทั้งความซ่านสยิวบังเกิดขึ้นอย่างสูง ยากระงับไว้ได้ “ที่แท้ เทียนต้าเกอก็วางแผนลวงข้า” “เด็กน้อย หากเจ้าไม่มือไว ไฉนจะได้ของข้าไปหรือ...” เฉิงเซ่าเทียนกล่าว ส่วนสวีเกาหานจูบหนักๆ ที่ลำคอระหง พร้อมกันนั้น เขาช้อนสองเต้าอวบๆ ของนาง แล้วใช้นิ้วยาวสัมผัสปลายยอดถันที่แข็งเป็นไต สีของมันเข้มขึ้น ชวนให้ชายหนุ่มทั้งสองละเลงลิ้นดูดดุน “ม้าของข้า เจ้าก็ไม่ละเว้นขโมยไปหน้าด้านๆ
ชาติภพปัจจุบัน เหวินซืออี้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ยามนี้นางไม่ได้อยู่ที่บ้านสวนที่แสนอบอุ่น หากเป็นกำแพงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ หญิงสาวสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง รีบสำรวจเสื้อผ้าของตน รวมถึงสัมผัสที่หน้าท้องจึงรู้ว่าตนไม่ได้ตั้งครรภ์ อีกทั้งนางไม่ใช่เด็กสาวเยาว์วัย อายุเหมือนจะผ่านพ้นวัยยี่สิบตอนต้นมาหลายปี ยามนี้นางอยู่ในชุดสีแดงก็จริง หากไม่ใช่สำหรับงานแต่ง แต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับขุนนางหญิงแคว้นเหลียง คราวนี้ดวงตากลมโตสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดกว่าเดิม และรู้ว่านางกลับมาเป็นลูกสาวของคนสกุลเหวิน คือคุณหนูห้าคน ทว่าไม่ได้มีชีวิตเพื่อบุรุษที่ชื่อเซียวหัวเฟิง คนผู้นั้นกับนางย่อมไม่มีเส้นทางที่จะเดินร่วมกันอีก “คุณหนูเจ้าคะ อยู่บนนี้นานแล้ว เมื่อไหร่จะกลับลงไปด้านล่าง ที่นี่ลมแรงเกินไป หากไข้กำเริบขึ้นอีก บ่าวคงถูกโบยจนเดินไม่ได้แน่ๆ” เสียงดังกล่าวเป็นของเหนี่ยวเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนาง กลับมาครั้งนี้อีกฝ่าย ยังมีชีวิตรอด ไม่ได้เป็นเศษซากในกล่องไม้ “เสี่ยวหยุนเล่า... ตามนางมาพบข้าเดี๋ยวนี้”เหวินซืออี้ว่าอย่างร้อนใจ และทำให้เหนี่ยวเอ๋อร์ทำตัวไม่ถูกไปด้วย กระ
ครอบครัวนั้นสำคัญยิ่ง ห้าวันต่อมา เหวินซืออี้เดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อสอบสวนเซียวหัวเฟิงโทษฐานสมคบคิดกับจือคังเพื่อก่อกบฏ รวมถึงนางต้องการเห็นหน้าเกิงเตียวอิ๋ง ด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายในยามนี้เป็นเช่นไร แน่นอนเมื่อไปถึงเมืองหลวง คนแรกที่พูดคุยย่อมเป็นเกิงเตียวอิ๋ง โดยที่นางวางแผนสำคัญไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างเสี่ยงภัย ทั้งอาจมีความผิดตามมา แต่เหวินซืออี้นั้นมีความแค้นที่ต้องสะสาง ชาติใหม่นี้ นางจึงยอมหัก ไม่ยอมงอ และอย่างไรก็ตามนางมั่นใจว่า เหลียงอ๋อง(สวีเกาหาน) ให้การสนับสนุนนางเต็มที่ ฝ่ายเกิงเตียวอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ จู่ๆ วันนี้มีผู้คุมหญิงสั่งให้ออกจากเรือนพัก ต้องเดินทางไปที่อื่น พอรับรู้เช่นนี้ เกิงเตียวอิ๋งอดระแวงไม่ได้ “ข้าไม่ได้ร้องขออันใด อีกทั้งกำลังท้อง การเดินทางใช่เรื่องที่ข้าควรกระทำหรือ” “เซียวฮูหยิน เจ้าไม่มีสิทธิสงสัยหรือโต้แย้ง แค่ทำตาม” ผู้คุมหญิงจากสำนักยุติธรรมบอก เกิงเตียวอิ๋งไม่ชอบน้ำเสียงผู้คุมหญิงคนนี้เอาเสียเลย นางคิดหวีดร้องใส่หูอีกฝ่าย ทว่าการถูกผลักไหล่แรงๆ พร้อมออกคำสั่งเสียงดัง ทำให้หญิงสาวต้องก้าวตา
ร่างงดงามเข้าไปมาอยู่ในห้องนอนที่ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็นสีแดง มีกลิ่นหอมของดอกไม้แห้ง เทียนไขถูกจุดให้ความสว่าง เนื้อตัวของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ได้รับการดูแลอย่างดี สะอาดหมดจด กลีบอวบอิ่มถูกชโลมด้วยน้ำมันกับขี้ผึ้ง ยอดหน้าอกทาด้วยน้ำมันหอมซึ่งจะเป็นพื้นที่ให้บุรุษใช้ปาก ลิ้น และฟันเล่นสนุกด้วย อวี้เพ่ยเอ๋อร์เคลิ้มอย่างหนัก และร้อนรุ่มในร่มผ้า กระทั่งไม่มีผู้ใดวุ่นวายกับนาง ซึ่งแม้สติจะดับๆ ติดๆ แต่นางมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการช่วยให้ตนดับตัณหาที่ลุกโชนในร่างกาย มือของนางค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของตน ยามนี้ไม่ละอายสิ่งใด นางแค่ต้องการคลายความอึดอัด นิ้วเรียวสวยไล้ไปตามสัดส่วนงดงาม สัมผัสผิวกายที่นุ่มเนียนละเอียด บางครานางครางเสียงแปลกๆ บางครานางส่งเสียงหวีดสูงต่ำ เมื่อคลึงยอดหน้าอกตนแรงขึ้น สลับการบีบบี้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็ฉ่ำเยิ้มอย่างพึงใจ “ชะ ช่วยข้าด้วย” อวี้เพ่ยเอ๋อร์คงบ้าไปแล้ว แต่นางปรารถนาบุรุษสักคน ที่พอจะทำให้นางหลุดพ้นจากพิษร้ายที่อยู่ในร่างกาย ถึงจะมีบาดแผลที่เหนือหัวไหล่ข้างขวา แต่เล็กน้อยมาก อีกทั้งได้รับการใส่ยาอย่างดี ดังนั้นอวี้เพ่ยเอ๋
พวกเขาเลยต้องหาเจ้าสาวสักคนแต่งไปเป็นฮูหยินใต้เท้าเซี่ย ซึ่งแม้ชิงถงจะหวงหาและพิศวาสอวี้เพ่ยเอ๋อร์มากอย่างไร ทว่าเขารักตัวกลัวตายยิ่งกว่า ดังนั้นที่ทำได้ตอนนี้คือวางยานางให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ แล้วย้อมแมวให้ปลอมตัวเป็นเจ้าสาวที่มีชื่อว่า จ้าวรั่วรั่ว เสียงบ้านแม่เหลียวดังขึ้นก่อนใคร ตามด้วยสาวใช้ฉีหนวนกับบ่าวชายที่อยู่ด้านหลัง “แม่บ้านเหลียว มั่นใจหรือว่า นี่คือเจ้าสาวที่จะพาไปส่งใต้เท้าเซี่ย!” บ่าวชายถาม แม้เขาอยู่ห่างออกไป แต่เหมือนจะพบพิรุธหลายอย่าง “ใช่หรือไม่ ข้าย่อมล่วงรู้กว่าผู้ใด อีกอย่าง มิเห็นหรือว่านางมีเสื้อคลุมเจ้าสาว ผ้าคลุมหน้าก็ใช่ มิหนำซ้ำยังได้รับบาดเจ็บ หากข้าคาดการณ์ไม่ผิดคงหนีตายมา แล้วหลบซ่อนตัวในบ้านร้างหลังนี้” เหลียวจูเอ่ย พลางสำรวจรูปร่างของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ และนางชอบใจเป็นอย่างมาก สตรีผู้นี้ผิวขาวอมชมพู เอวคอด หน้าอกที่อยู่ในเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่าอวบสวย นางเหมาะเป็นแม่พันธุ์โดยแท้ ฝ่ายอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ที่ถูกมีดแทงเข้าหัวไหล่ ทั้งยังมีพิษเคลือบอยู่ทำให้นางอ่อนเพลีย มิหนำซ้ำมันให้สตินางหลงลืมชั่วขณะ นอกจากนั้นเหลีย
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อออก และส่งให้นาง “เสื้อตัวนี้ มีกลิ่นเล็กน้อย แต่รับรองสะอาด เจ้าใส่ไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ พี่จะแก้ปัญหาให้เอง” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ยื่นมือไปรับเสื้อจากอีกฝ่าย และกลับกลายเป็นว่าชิงถง ดึงมือนางไว้ ก่อนออกแรงมากกว่าเดิม จนนางถูกรั้งเข้ามาหาอกเปลือยเปล่าของเขา “พี่ถง ทะ ท่านต้องการทำสิ่งใด” “อยากสูดกลิ่นหอมๆ ของเจ้า อยากมอบจูบที่เจ้าคู่ควรได้รับ มิใช่การถูกขบ ดูดเม้ม หรือกัดอย่างป่าเถื่อน เยี่ยงสุนัขบ้า” เขาว่าแล้วก็ฉีกเสื้อที่ขาดของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ในตอนนั้น ผิวขาวอมชมพูเผยให้เขาเห็นมากกว่าเดิม “โอ้ใช่แล้ว กลิ่นกายนี้ ความงาม เนื้อนุ่มนิ่มอ่อนหวาน คือสิ่งที่ข้าฝันถึงมานาน” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ตัวสั่น นางตกเป็นของเหวินมู่ถังแล้ว และไม่ปรารถนาเป็นของชายใดอีก เพียงแค่นี้ก็ผิดต่อป้ายวิญญาณสามีที่ตายจาก “พี่ถง ข้าชอบความเปิดเผย และความมีน้ำใจของท่าน แต่สตรีผู้นี้ เหมาะสมที่จะเป็นคนที่ท่านอยากให้อยู่เคียงข้างจริงๆ หรือ” ชิงถงไม่เสียเวลาคิด เขาตอบว่า “ให้ฟ้าดินเป็นพยาน ขอให้ข้ากับเจ้าได้เป็นสามีภรรยา ร่วมทุกข์และสุข ด้วยกันตลอดไป” อว
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ยังปวดศีรษะด้านหลัง ทั้งถูกยากล่อมประสาททำให้ มึนงงอยู่มิน้อย กระนั้นการถูกตบอย่างแรง ก็ทำให้นางฟื้นคืนสติ “ลงนามเดี๋ยวนี้!” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่ยอมจับปากกา ดังนั้นจึงถูกจับทั้งฝ่ามือ และหัวนิ้วโป้งลงไปในตลับหมึกสีแดงๆ “ไม่... ข้าไม่ยอมให้ทรัพย์สินใด กับคนช่วยอย่างพวกเจ้า” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ร้องประท้วง แต่มือนางถูกซ่งหลันบีบเอาไว้ และสุดท้ายก็วางลงในกระดาษแผ่นดังกล่าว “ฮิๆ ๆ ยอมหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าไม่สิทธิ์ขัดขืนหรอก” เมื่อได้หนังสือมอบอำนาจของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ สิ่งที่ซ่งหลันกระทำก็นับว่าสำเร็จ ยามนั้นนางเกิดความคิดหนึ่งขึ้น มันฉายวาบในหัว จะดีเท่าใด หากให้เหตุการณ์ต่อจากนี้คือ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ มีความสัมพันธุ์กับน้องสามี และเพื่อปกปิดความลับ จึงพยายามจะฆ่าอนุผู้ที่กำลังตั้งท้องอย่างซ่งหลัน! ในตอนนั้น ไฟเริ่มลุกลามเข้ามาทีละนิด ความร้อนทำให้ซ่งหลันไม่อาจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้อีกต่อไป ซึ่งด้านนอกเริ่มมีเสียงเอะอะ โวยวายดังอึงอล “ฮูหยินหม้าย แซ่อวี้ เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่!” “แม่นางอวี้... ป้าเจี้ยนมาหา เจ้ารีบออกมาจากเรือนก
อวี้เพ่ยเอ๋อร์เคลิ้มไปกับการนวด และการจูบหนักหน่วง ทั้งลิ้นเรียวเล็กที่เลื่อนไปตามจุดที่ไวต่อการปลุกเร้า แม้นางจะฟื้นจากยาสลบแล้ว หากยามนี้สิ่งที่ได้รับเข้าไปใหม่ คือยากล่อมประสาท และถุงหอมราคะ ซึ่งกระตุ้นให้หญิงสาวร้อนอบอ้าวในกลีบบุปผางาม และนางจะไวต่อสัมผัสของบุรุษเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเวลาเกือบสามวันสามคืน! ทั้งหมดนี้คือการกลั่นแกล้งของซ่งหลัน ด้วยต้องการให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์ถูกย่ำยี และไม่เหลือความภาคภูมิใจต่อตนเองอีกต่อไป ซ่งหลันอยากให้อีกฝ่าย มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย และกลายเป็นโสเภณี ที่มีตราบาปไปชั่วชีวิต! “นางมิใช่สตรีบริสุทธิ์ อีกทั้งยามที่ข้า ใช้กัวซาไล้วนที่กลีบฉ่ำแฉะนั้น คุณชายเจี่ยง ก็เห็นและได้ยินนางครางเสียงหวานเช่นไร” ซ่งหลันพยายามเหลือเกินที่จะทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์กหลุดครางเสียงกระเส่าอย่างสตรีไร้ยางอาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ทำให้เจียงเซียนแถบจะโผเข้าไปย่ำยีอวี้เพ่ยเอ๋อร์ เจี่ยงเซียนมองร่างที่นอนบนเตียง และไล้เลียริมฝีปากตน ส่วนมือเขาก็จับเป้า และลูบไปมา เพราะส่วนที่แข็งขันกำลังสู้มือ อยากออกมาสูดอากาศนอกกางเกงเหลือเกิน “ให้ข้าส่ง
ยามเช้าวันนี้อวี้เพ่ยเอ๋อร์แปลกใจอยู่สักหน่อย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เมื่อคืน นางรีบปิดประตูห้องก่อนผล็อยหลับไป รู้สึกตัวก็ฟ้าสว่างแล้ว หญิงสาวสำรวจเนื้อตัว และโล่งใจที่ไม่ถูกข่มเหง กระนั้นก็อดครั่นคร้ามใจมิได้ ด้วยนางคาดว่าตนถูกวางยา! หญิงสาวออกจากห้องนอน ไม่เห็นทั้งซ่งหลัน หรือเจี่ยงเซียน จึงเดินตรวจสอบข้าวของคนทั้งคู่ พบว่าห่อผ้า ทั้งของใช้จุกจิกยังอยู่ครบ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขา อาจออกไปข้างนอก จากนั้น อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็แอบไปดูเหวินมู่ถัง ซึ่งเป็นรอบที่สามแล้วแม้ไม่พบเขา อีกฝ่ายหายตัวไปและทำให้นางน้อยใจมาก ด้วยเหวินมู่ถัง ไม่บอกกล่าวสิ่งใด แม้จะเขียนจดหมายแจ้งข่าวคราวก็ยังไม่มี เมื่อมั่นใจว่า เหวินมู่ถึงไม่ได้อยู่ในห้องเก็บฟืน ใจก็เคว้งเหลือเกิน กระนั้นกลิ่นกายของเขาจางๆ ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในโรงเก็บฟืนนี้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์กำซาบถึงความรู้สึก ระหว่างเขากับนาง มือเรียวสวยเผลอลูบไล้ตัวตน ทั้งภายในร่มผ้าร้อนเร่าขึ้น นางยอมรับว่าเมื่อใกล้ชิดเหวินมู่ถัง ความปรารถนาอยากตกเป็นของอีกฝ่ายรุนแรงเหลือเกิน ยามเขาซุกไซ้เรือนกาย ขบเม้มไปจุดที่ไวต่อความรู้สึก ก็ประหนึ่งว่านางได้ขึ้
“เสี่ยวเอ๋อร์... พี่ถง จะทำให้เจ้า ลืมผู้ชายทุกคน เชื่อเถิด น้ำของพี่จะอาบทั้งกลีบเนื้อนี้ และเรือนกายเจ้าจนเปียกชุ่ม” แม้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายเรียกตนว่า ‘พี่ถง’ แต่ซ่งหลันก็มิอาจหยุดความต้องการได้แล้ว นางต้องปล่อยให้ศึกรักดุเดือดนี้เดินหน้าต่อไป “บีบรัดกว่าสิ เจ้าเคยทำได้ดีกว่านี้ ข้าเห็นชัดด้วยสองตาของตน!” ซ่งหลันได้ยินอย่างนั้น นางก็อยากเอาใจชิงถง ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยามร่วมรักกับเจี่ยงเซียน คนใจทราม และหยาบคาย เขาหาได้เล้าโลมนางไม่ ก็เพียงแค่กระแทกกระทั้น ถ้อยคำหวานใดๆ ก็ไม่เคยปริปากบอก มิหนำซ้ำยังเสร็จคนเดียว ปล่อยให้นางจมอยู่กับความรู้สึกน้อยใจเพียงลำพัง “ข้าทำได้ เชื่อข้าหรือไม่ ข้าทำให้ท่านได้” หญิงสาวว่าแล้ว ก็ร้องเสียงครางหวานจัด และบีบรัดแกนกายของชิงถง ยามนั้นเขาส่งแรงจากสะโพกเข้าไปลึก ทั้งคู่จึงแทบจะปล่อยความสุขออกมาพร้อมกัน “เสี่ยวเอ๋อร์... เจ้าช่างเอาใจเก่ง” ชิงถงเอ่ยจบก็สับสะโพกรัวแรงกว่าเดิม และยามนั้น ร่างหนึ่งที่ไร้อาภรณ์สืบเท้าเข้ามา “ฮ่าๆ ๆ พี่สะใภ้ ออกมากลางค่ำ กลางคืนให้ ผู้อื่นเย่อ ราวกับหมาตัวเมียเช่นนี้
หลังอาหารมื้อค่ำที่ดึกอยู่สักหน่อย เจี่ยงเซียนขอดื่มสุราในห้องโถง อันที่จริงอวี้เพ่ยเอ๋อร์ปฏิเสธแล้ว และบอกว่านางหาได้มีสุราในเรือนหลังนี้แม้แต่ป้านเดียว ทว่าอีกฝ่ายยิ้มร่า บอกว่าเตรียมมาด้วย นอกจากนั้นยังมีกัญชา และฝิ่นใช้สำหรับสูบ ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวรใจคอไม่สู้ดี นางอยากออกปากไล่เขาไปให้พ้นๆ หน้า ซึ่งยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว ทว่าเจี่ยงเซียนหาเหตุผลยกมาอ้างว่าเดินทางเข้าเมืองฮุ่ยลำบากมิน้อย ส่วนซ่งหลันก็เข้านอนไปแล้ว กระทั่งปลายยามห้าย (21.00-22.59น.) ร่างหนึ่งในชุดเสื้อผ้าสตรีทำงานครัวก็ก้าวออกจากเรือนหลังเล็ก ลัดเลาะไปตามกำแพง ก่อนสืบเท้าพ้นประตูด้านหลัง จุดหมายคือบริเวณลำธารสายเล็กๆ ที่ทอดตัวมาจากภูเขาสูง เมื่อนั่งที่หินก้อนใหญ่อย่างผ่อนคลาย สตรีนางนั้นก็แกะชุดด้านในออก มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบหินจากลำธาร ก่อนนำมาถูไถร่างกาย คืนนี้แสงจันทร์มืดอยู่มาก อีกทั้งบริเวณนั้นมีต้นไม้หนาทึบแผ่กิ่งก้านบดบังแสงจันทร์เอาไว้ ผู้ที่แอบซุ่มดูอยู่จึงได้แต่จินตนาการว่า หญิงสาวกำลังทำสิ่งใดกันแน่! อีกทั้งเสียงครวญครางนาง ก็ช่างหวานล้ำ ชวนให้บุรุษเกิดความกระสัน! ชิงถ
เอาเข้าจริงๆ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่อยากต้อนรับเจี่ยงเซียน และสตรีอีกคนที่ชื่อซ่งหลัน ฝ่ายนั้นประกาศตัวชัดเจนว่าตนคือ อนุของเจี่ยงซาน โดยเรื่องนี้หญิงสาวไม่ล่วงรู้มาก่อน ที่สำคัญคนทั้งคู่มากับรถม้าคันหนึ่ง เห็นว่ามีสาวใช้รุ่นใหญ่ติดตามมาด้วย แต่แยกตัวออกไป อ้างว่าจะไปพบญาติที่อยู่ใกล้ๆ เมืองนี้ ถึงอย่างนั้นอวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็คลางแคลงใจ หนึ่งคือน้องชายสามี อีกหนึ่งเป็นอนุผู้ที่ตายไปแล้ว พิจารณาอย่างละเอียด อย่างไรพวกเขาก็ไม่ควรเดินทางมาด้วยกัน ภายในเรือนหลังเล็ก เมื่อต้องต้อนรับคนแปลกหน้า ยิ่งทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์เกิดความเครียด ทั้งยังกังวลใจว่า ทั้งคู่อาจเดินทางมาด้วยความประสงค์ร้ายแอบแฝง เจี่ยงเซียนมองสำรวจทุกอย่างในเรือน แม้ไม่ได้กว้างขวาง แต่สะอาดสะอ้าน และเห็นได้ชัดว่า อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่หญิงสาวทั่วไป นางมีฝีมือด้านการปักผ้า ซ้ำยังอ่านหนังสือ และเขียนตัวอักษรได้ดี สตรีเช่นนี้สมแล้วที่พี่ใหญ่ให้แม่สื่อสู่ขอมาเป็นภรรยา ทว่าผิดแต่ครอบครัวนางละโมบ โดยเฉพาะพี่ชายของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ที่ ถูกจำคุกในข้อหาหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ซ้ำยังทำร้ายเจ้าขุนนางของศาล จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเสียชีวิต