นนทกรขับรถออกไปจากบ้านของปณาลีครึ่งชั่วโมงก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องรสชาติและบรรยากาศโรแมนติก
“ถึงแล้วครับ” นนทกรบอกพลางลงจากรถไปเปิดประตูให้เธออย่างสุภาพ
ปณาลีก้าวลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่าเดิม เธอมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น ร้านนี้คือร้านที่พวกเขาทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนเมื่อสามปีที่แล้ว การกลับมาที่นี่อีกครั้งในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในวันที่มีความสุขที่สุดวันนั้น
“โต๊ะจองไว้แล้วครับ” นนทกรบอกกับพนักงานต้อนรับ
พนักงานพาพวกเขาทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จองไว้ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่มุมในสุดและเป็นส่วนตัวมากที่สุด
“นานแล้วนะคะที่เราไม่ได้มากินข้าวร้านนี้ด้วยกัน”
“พี่ขอโทษนะที่ไม่มีเวลา พอพี่รู้ว่าร้านนี้เพิ่งปรับปรุงเสร็จ พี่เลยตั้งใจพายี่หวามาที่นี่เพราะรู้ว่ายี่หวาชอบ” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมเล็กน้อย
ปณาลีรู้สึกเขินอายกับคำพูดของเขา เธอก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเปิดเมนูดูอาหารที่ชอบ และสั่งอาหารที่เธอชอบทานกับเขาในวันสำคัญของพวกเขาทั้งคู่
ระหว่างรออาหาร นนทกรก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางไว้บนโต๊ะ ปณาลีสังเกตเห็นว่าเขามองหน้าจอโทรศัพท์เป็นระยะๆ เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง
“พี่นนท์คะมีอะไรหรือเปล่าเห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์” ปณาลีเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอโทษนะยี่หวาพอดีว่าพี่กำลังรอเมลสำคัญอยู่น่ะ” นนทกรบอกด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด เขาละสายตาจากโทรศัพท์และมองหน้าเธอก่อนจะยิ้มแต่ปณาลีสังเกตว่าแววตาของเขามันไม่ยิ้มตาม
เธอคิดว่านนทกรคงกำลังเครียดกับการเตรียมจะขอเธอแต่งงานเธอจึงมองข้ามเรื่องเล็กน้อยนี้ไป
อาหารมาเสิร์ฟและพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มทานอาหารกัน ปณาลีพยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ เพื่อลดความตึงเครียด แต่คำตอบของนนทกรก็ยังคงสั้นและเรียบง่ายเหมือนเดิมจนเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอึดอัดที่นนทกรเป็นคนสร้างขึ้น
หญิงสาวรู้สึกถึงความห่างเหินจากเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาต่างไปจากนนทกรที่เธอเคยรู้จัก
“พี่นนท์ดูเครียดๆ นะคะ”
“ช่วงนี้ที่สำนักงานใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง งานก็เยอะขึ้นพี่ก็เลยเครียดน่ะ ยี่หวาละงานที่สาขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยุ่งเป็นบางวันค่ะโดนเฉพาะใกล้ๆ สิ้นเดือน แต่ก็คงยุ่งไม่เท่าพี่นนท์หรอกค่ะ พี่นนท์อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมทานข้าวนะคะเดี๋ยวจะปวดท้องอีก” เธอเตือนอย่าหวังดี
เพราะเขามักจะปวดท้องอยู่บ่อยๆ อย่างนัดครั้งล่าสุดเมื่อครั้งก่อนเขาก็มาหาเธอไม่ได้เพราะปวดท้องพอเธอจะไปหาเขาก็บอกว่าเป็นห่วงไม่อยากให้ขับรถเข้าเมืองเพราะปณาลีไม่ชินเส้นทาง
“ขอบใจนะยี่หวาที่ดีกับพี่และเป็นห่วงพี่เสมอ พี่ดีใจที่ได้รู้จักยี่หวานะ” นนทกรพูดแล้วยิ้มให้เธออย่างจริงใจ ครั้งนี้ปณาลีสัมผัสได้ว่าเขายิ้มออกมาจากใจจริงๆ
“ก็เราเป็นแฟนกันนี่คะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม เธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มดีขึ้น เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากว่ากำลังจะขอเธอแต่งงาน
เมื่อทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินเข้ามาพร้อมกับส่งช่อดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดงอย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
ปณาลีมองไปที่ดอกไม้ด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็พยายามยิ้มรับไว้ ดอกลิลลี่สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการเริ่มต้นใหม่ และเธอคิดว่ามันคงเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองคน
นนทกรมองหน้าปณาลีแล้วถอนหายใจ เขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ
“ยี่หวาครับ” นนทกรเรียกเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คะ” ปณาลีตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสใจเธอเต้นแรงมากๆ
“ที่พี่นัดยี่หวามาทานข้าววันนี้ คือพี่....”
นนทกรเงียบไปนั้นยิ่งทำให้ปณาลีตื่นเต้นจนแทบจะหยุดหายใจ
“อะไรคะ” หญิงสาวถามแล้วยิ้มกว้างน้ำตาเริ่มจะไหลออกมาคลอนิดๆ หูสองข้างรอฟังคำที่จะเอ่ยออกมาจากปากของผู้ชายที่เธอรัก
“พี่อยากจะขอ.....ขอลดสถานะของเรา…เป็นแค่พี่น้องก็พอครับ”
คำพูดของนนทกรเหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางหัวใจของปณาลี รอยยิ้มที่เคยสดใสบนใบหน้าหายไปในทันที น้ำตาแห่งความดีใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวัง หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้
“พี่นนท์…พูดอะไรคะ” ปณาลีถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนแทบจะไม่มีเสียงออกมา
“พี่ขอโทษที่ทำให้ยี่หวาเสียเวลา แต่พี่…รู้สึกว่าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้วจริงๆ” นนทกรพูดพลางหลบสายตาของเธอ
ปณาลีรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้าเธอ ความหวังและความฝันทั้งหมดที่เธอวาดไว้ในใจได้พังทลายลงในพริบตาเดียว
“ทำไมคะ ยี่หวาทำอะไรผิดไปคะ” ปณาลีถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด
“ยี่หวาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยครับ แต่พี่…พี่รู้สึกว่าเราเข้ากันไม่ได้แล้วจริงๆ” นนทกรตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนกำลังฝืนใจพูด
“พี่นนท์…พี่นนท์พูดอะไรคะ เราคบกันมาเกือบสามปีแล้วนะคะ” ปณาลีพูดพลางส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาของเธอเริ่มไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจ
“พี่ขอโทษครับ”
“พี่นนท์คะ บอกยี่หวาได้ไหมว่ายี่หวาผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหนยี่หวาพร้อมจะปรับตัวนะคะ” หญิงสาวขอร้องเขาอย่างคนเสียสติ ยังดีที่ว่าโต๊ะของเธออยู่ห่างจากโต๊ะของคนอื่นมากและในร้านก็เปิดเพลงคลอโต๊ะอื่นจึงไม่ได้ยินเสียงที่เธอพูด
“ยี่หวาดีทุกอย่าง แต่ตอนนี้พี่ยังไม่อยากคิดถึงเรื่องความรักพี่ขอโทษนะที่ทำให้ยี่หวาเสียเวลาแต่เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันได้ ยี่หวาโทรหาพี่ ปรึกษาได้ตลอด”
“ถ้าอยากจะเป็นแค่พี่น้องพี่ทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะคะ จะมาขอคบกันเป็นแฟนทำไม”
“พี่ขอโทษพี่เพิ่งรู้ใจตัวเอง เรากลับกันเถอะนะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่ต้อง ยี่หวากลับเองได้” ปณาลีปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
เธอเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปจากร้านด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
นนทกรมองตามแผ่นหลังของเธอไปจนลับตาด้วยความรู้สึกผิด เขานั่งลงที่เก้าอี้และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เขาสามารถทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำมานานแล้ว
ปณาลีเดินออกมาจากร้านด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่หยุด เธอเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมายใดๆ โทรศัพท์มือถือของเธอสั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เธอก็เลือกที่จะไม่รับสาย
จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเบอร์ของภัทรมน
“ฮัลโหลมน…” ปณาลีรับสายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนเพื่อนจับได้
“ยี่หวา เกิดอะไรขึ้นทำไมแกถึงร้องไห้” เสียงของภัทรมนร้อนรนทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อน
“มน พี่นนท์…พี่นนท์เขาขอเลิกกับฉันแล้ว” ปณาลีพูดได้เพียงแค่นั้นก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร เธอพูดไปพลางร้องไห้ไปจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“ว่าไงนะ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน” ภัทรมนอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“ฉันไม่รู้…ฉันเดินออกมาจากร้านแล้ว” ปณาลีตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสน
“ร้านไหน”
“ร้านที่ฉันเล่าให้แกฟัง”
“แกอยู่ตรงนั้นแหละนะ ฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้” ภัทรมนบอกก่อนจะวางสายไป
เสียงเปิดประตูทำให้ศิลาลืมตาตื่น เขาเห็นแผ่นหลังของปณาลีที่ดูรีบร้อนออกจากห้องไปแต่ก็ไม่คิดจะเรียกหรือรั้งเธอไว้เพราะตอนนี้เขายังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองและก็คิดว่าปณาลีก็คงไม่ต่างกัน ถ้าอย่างนั้นเธอคงไม่รีบร้อนไปจากเขาตั้งแต่เช้าทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมงเท่านั้นความทรงจำของเมื่อคืนระหว่างเขากับปณาลีมันชัดเจนมาก ความสุขสมที่ได้รับมันสุขล้นอยู่ในความรู้สึก ศิลาแทบจะลืมไปว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้ ไม่เคยมีใครที่ทำให้เขาคลั่งได้มากเท่านี้ ไม่เคยมีใครที่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนที่มีชีวิตชีวาอีกครั้งจากได้รับสถานะพ่อหม้ายมานานถึงสองปีกว่าศิลานึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเธอและเขาที่แนบชิด ความรู้สึกนี้มันดีเกินกว่าที่เขาจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พ่อหม้ายหนุ่มนอนนิ่งๆ บนเตียง ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด กำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง“ทำไมต้องรู้สึกแบบนี้กับเธอด้วยนะยี่หวา” เขาบ่นกับตัวเอง เสียงหงุดหงิดเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจเมื่อคืนศิลายอมรับว่าตัวเองมีความสุขมาก และตอนนี้ก็ยังรู้สึกดีอย่างประหลาด การได้นอนกอดเธอแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนมีคนคอยอยู่เคียง
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามหากแต่เขาใช้มือประคองใบหน้าเธอแล้วริมฝีปากหยักก็ก้มลงมามอบจูบที่เร่าร้อนเติมไฟพิศวาสของทั้งสองโหมกระหน่ำอีกครั้ง ศิลาจูบนานก่อนจะลากปลายลิ้นมาดูดดุนยอดถันที่เขาดูดกินแล้วหลงใหลอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน มันชูชันสู้ลิ้นอย่างที่เขาชอบ“ยี่หวาหวานไปทั้งตัว”เสียงแหบพร่ากระซิบข้างใบหูก่อนจะขบเม้มเบาๆ แล้วลากปลายลิ้นไปตามซอกคอระหงสูดดมกลิ่นกายที่หอมยั่วยวน“อื้อ....อาศิลา”หญิงสาวแอ่นโค้งไปตามแรงดูดดุนของปากร้อน ตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังมีความต้องการอยากให้เขาเข้ามาในตัวเธออีกครั้งแต่ไม่รู้จะบอกเขายังไงไม่ให้ดูน่าเกลียด เธอกำลังจมอยู่กับตัณหาปณาลีที่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีความต้องการมากมายขนาดนี้ แม้จะแตะขอบสวรรค์ไปแล้วแต่ร่างกายยังร้อนรุ่ม หญิงสาวโทษว่าเพราะเหล้าดีกรีแรงที่ดื่มเข้าไป มันไม่ใช่ตัวตนของเธอเลยสักนิดหญิงริมฝีปากอิ่มแลกจูบอย่างเร่าร้อนและดูดดื่มไปตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง เธอจึงเบียดกายเข้าหาเพื่อรอคอยการเติมเต็มของพ่อหม้ายหนุ่มอีกครั้ง“ยี่หวาอาขอสดได้ไหม”เขายืดตัวขึ้นมากระซิบข้างหูและมองหน้าเธออย่างวิงวอน ตาคมจ้องอย่างรอคอยคำตอบเพร
ศิลามองร่างที่หอบเหนื่อยอยู่บนเตียงในห้องนอนที่เขายังไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมานอนแล้วเขาก็ยิ้ม ในเมื่อเธอเองก็ยินยอมและเขาเองก็เป็นชายชาตรีก็คงไม่อาจจะปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปโดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอนชายหนุ่มรีบจัดการกับชุดของตนแล้วคร่อมทับลงมาบนร่างหญิงสาวอีกครั้ง ปณาลีมองศิลาด้วยสายตาหวานเชื่อม ความเมาทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่กล้ามากขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือลากไล้ไปตามกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างแผ่วเบา“อ่า....ยี่หวา”เขาครางแหบพร่าเมื่อมือนุ่มลากไปตามกล้ามท้อง มันกระตุ้นให้เขาไม่อยากจะรอเวลาอีกต่อไป ชายหนุ่มจูบไปยังเรียวปากอิ่มสีสวย สอดปลายลิ้นหยอกล้อเป็นพัลวันหญิงสาวจูบตอบแม้จะยังไม่เก่งแต่ก็ทำให้เขารู้สึกดี จูบหวานเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนจนปณาลีแทบหลอมละลายศิลาเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงควานหาถุงยางอนามัยที่ซื้อมาติดไว้แต่ยังไม่เคยได้เอาออกมาใช้เพราะนี่เป็นครั้งที่เขานอนกับผู้หญิงที่นี่ เขารีบสวมลงบนแก่นกายที่ร้อนระอุจากนั้นแยกเรียวขาของหญิงสาวให้กว้างมากขึ้นกว่าเดิมริมฝีปากร้อนพรมจูบ ฝ่ามือฟอนเฟ้นหน้าอกอวบกนะตุ้นให้เธอเสียวซ่าน ส่วนมือข้างที่เหลือก็จับท่อนเอ็นร้อนลากขึ้นลงกลางกลีบสวยให้น้ำหวานช
คำตอบของปณาลีทำให้ศิลาต้องพยายามคุมสติของตนเองอย่างที่สุด เขามองลึกลงไปในดวงตาที่แดงก่ำและเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน ชายหนุ่มเข้าใจถึงความรู้สึกที่อยากจะหลีกหนีจากความเป็นจริงเพราะเขาเองก็เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน อยากจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น“อาอยากให้เราคิดให้ดีก่อนนะ” ศิลาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเขาไม่อยากใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของเธอ“ยี่หวาคิดดีแล้วค่ะ อาศิลาไม่รังเกียจยี่หวาใช่ไหมคะ” เธอถามพลางมองหน้าเขาสายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ หญิงสาวกำลังคิดว่าใครๆ ก็รังเกียจและพากันทิ้งเธอไปศิลามองปณาลีในตอนนี้ดูสวยและเย้ายวนมากในชุดเกาะอกแดงรัดรูปที่ขับผิวขาวเนียนและปากอวบอิ่มสีแดงของเธอแล้วแอบกลืนน้ำลาย“ถ้ารังเกียจอาคงไม่พายี่หวามาที่นี่หรอกนะ” ศิลาตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าปณาลียิ้มก่อนจะดึงเขาเข้ามาใกล้และจูบลงบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ศิลาตกใจเพราะไม่คิดว่าปณาลีจะทำแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ผลักไสเธอออกไป เขาจูบตอบเธออย่างนุ่มนวลก่อนที่ความร้อนแรงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของร่างกายศิลากอดเธอไว้แน่นและจูบเธออย่างดูดดื่ม ปณาลีตอบสนองเขาอย่างไม่ประสาแต่ก็เต็มไป
ศิลาพาปณาลีมาที่บ้านของตนเองแต่กว่าจะพาเธอเดินมาถึงก็เล่นเอาแทบแย่เพราะเธอเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วก็ถอยหลังอีกสามก้าวจนสุดท้ายเขาต้องประคองและแทบจะลากเธอเข้ามาด้านในชายหนุ่มพาเธอมานั่งที่ห้องรับแขกและหาไวน์ให้เธอดื่มเพราะถ้าให้ดื่มวิสกี้อย่างที่เขาชอบเธอก็คงจะแย่ไปกว่าที่เห็น“อร่อย” หญิงสาวจิบไวน์แล้วยิ้มตาเยิ้มทั้งเมาและพอใจกับรสชาติที่หอมหวานของไวน์ราคาแพง“ยี่หวาบอกอาได้ไหมว่าทำไมถึงกินเหล้าหนักขนาดนี้ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” ศิลาถามพลางมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงก่ำเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์“เปล่าสักหน่อยก็แค่อยากเมา” เธอเถียงก่อนจะดื่มไวน์ไปทีเดียวหมดแล้วแล้วทำท่าจะหยิบขวดไวน์มารินอีก“ไหนบอกว่าจะกินอีกแค่นิดเดียว” ศิลาถามพลางเลื่อนขวดไวน์ออกห่างจากมือเธอ“อาศิลาอย่างกได้ไหมของอร่อยก็ขอกินเยอะหน่อย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กน้อย ใบหน้าของเธอตอนนี้ดูดื้อรั้นจนศิลาใจอ่อน“เอางั้นก็ได้ แต่ต้องเล่าให้อาฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาพูดแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนก่อนจะรีบวิ่งกลับลงมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กให้เธอเช็ดหน้า“อยากฟังเหรอคะ”“อยากฟังสิ เช็ดหน้าหน่อยจะได้สดชื่นและมีสติเล่าให้อา
ในขณะที่ปณาลีกำลังดื่มเหล้าอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สายตาคู่หนึ่งก็มองด้วยความประหลาดใจและอดแปลกใจไม่ได้ว่าจะมาเจอกับเธอที่นี่ วันนี้ปณาลีดูสวยเซ็กซี่และโดดเด่นจนหลายคนในผับต่างมองไปที่เธอรวมถึงเขาและเพื่อนอีกสองคน“ผู้หญิงคนนั้นเป็นไงล่ะ สวยพอที่นายจะจัดการกับความเหงาของนายได้ไหมล่ะ” จิรกิตต์ถามพลางพยักหน้าไปทางหญิงสาวในชุดเกาะอกสีแดงเพลิงที่เห็นว่าศิลาจ้องเธออยู่นาน“ไม่ดีกว่าเดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด” ถึงแม้จะสนใจในตัวเธอมากแต่เขาก็ไม่อยากจะเสียเพื่อนบ้านที่ดีอย่างปณาลีไป“คนรู้จักเหรอ แต่นั่นมันสเปกนายเลย” ธีรวัฒน์แปลกใจเพราะผู้หญิงคนนั้นตรงกับสเปกของศิลามาก ตัวเล็กผิวขาวและที่สำคัญหุ่นของเธอก็ดีมากๆ ด้วย“เธอเป็นเพื่อนบ้าน”“แบบนี้ฉันว่าไม่ดีนะ เพราะถ้าคิดจะแค่วันไนท์ฯ คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ไม่ใช่ว่าตอนแรกบอกว่าวันไนท์ฯแต่พอนอนด้วยกันแล้วอยากให้รับผิดชอบขึ้นมานายจะซวยเอานะ” จิรกิตต์ด้วยความหวังดี“อือ ฉันก็ไม่คิดจะนอนกับเธอหรอก ยี่หวาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เธอน่ารักทำอาหารอร่อยมากด้วย”“แต่นายจ้องเธอนานแล้วนะ”“ก็แค่เป็นห่วงเห็นมากันแต่ผู้หญิงแล้วก็ท่าทางจะเมามากด้วย” เขาไม่เคย