LOGINอันลี่ซินรู้สึกว่าใบหูของนางร้อนราวกับจับไข้ อีกทั้งใบหน้าก็รุ่มร้อนดุจอยู่หน้าเตาทำขนมก็มิปาน เมื่อเว่ยอ๋องมองและตรัสกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้ รถม้าเคลื่อนมาถึงด้านหน้าจวนก่อนที่ผู้ที่อยู่ด้านนอกจะแจ้งบอกท่านอ๋องว่ามาถึงจวนราชครูแล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะไปส่งเจ้าเข้าจวนก่อน”
“มิต้องก็ได้เพคะเพียงแค่ลำบากพระองค์ต้องมาส่งถึงจวนก็เป็นการรบกวนมากพอแล้ว หม่อมฉันเข้าไปเองได้เพคะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพาเจ้าลงเองรอเดี๋ยวนะ”
เว่ยอ๋องเดินออกมาและค่อย ๆ พยุงนางลงมาจากรถม้า เขายืนส่งนางหน้าจวนก่อนที่ลี่ซินจะถวายคำนับและเดินเข้าจวนไป เว่ยอ๋องที่ยืนส่งมองเห็นร่างบางที่เดินพ้นสายตาไปจึงหันมาสั่งการ
“ส่งคนของเราให้มาคุ้มกันนางสักสองคนและคอยรายงานความเคลื่อนไหวในจวนราชครูอัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักเว่ยอ๋อง
เว่ยอ๋องกลับไปถึงจวนแล้วหลังจากที่ต้าอู๋สั่งให้องครักษ์ในสังกัดของท่านอ๋องไปเฝ้าคุ้มกันสกุลอัน เมื่อต้าอู๋เดินเข้ามาจึงรีบรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ทันที
“ว่าอย่างไรบ้าง”
“ทูลท่านอ๋อง วันนี้แม่นางเฟิ่งจงใจไปดักรอคุณหนูอันที่ร้านเครื่องประดับ อีกทั้งยังหลอกถามเรื่องส่วนตัวของพระองค์และเรื่องงานหมั้นหมายกับคุณหนูอันพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดเอาไว้ไม่ผิด เช่นนั้นอวี้อ๋องคงมิได้บังเอิญที่จะไปที่นั่นสินะ”
“เห็นว่าทั้งสองนัดพบกัน แต่คุณหนูเฟิ่งจงใจที่จะไปช้าเพื่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ… เหตุใดอันลี่ซินจึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้าเลย แล้วนางตอบเฟิ่งถงหลินว่าอย่างไร”
“นางว่าเรื่องการหมั้นหมายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บิดามารดาเป็นผู้จัดการ หากว่า เอ่อ...”
“พูดต่อ”
“หากว่าคุณหนูเฟิ่งไม่พอใจคงต้องไปทูลถามฝ่าบาทเอง เพราะผู้ที่ประทานราชโองการคือฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ นางมิใช่คนที่เฟิ่งถงหลินจะล่วงล้ำได้อย่างที่คิด นางยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มากนัก ถึงกับกล้ายกเสด็จพ่อออกมาข่มขู่เฟิ่งถงหลิน บุตรสาวท่านราชครูไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ดูท่าข้าจะปรามาสนางเกินไปเสียแล้วสินะ”
“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงหัวเราะพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิ่งถงหลินหาเรื่องใส่ตัวเอง นางเพียงแค่อยากจะหยั่งเชิงอันลี่ซิน แต่กลับถูกตอกกลับจนหน้าหงาย จะไม่ให้ข้าขำได้เช่นไรกัน”
เขาดูแคลนอันลี่ซินมากเกินไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าสวนกลับคำพูดที่ทำเอาคนอย่างเฟิ่งถงหลินซึ่งเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ตอบกลับนางไม่ได้ อีกทั้งยังสงวนท่าทีและไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดได้นับว่ายอดเยี่ยม
“ก็นับว่าไม่เสียแรงที่เป็นบุตรีท่านราชครู ดูแล้วก็ยังพอมีชั้นเชิงอยู่บ้างนับว่าไม่เลวเลยอันลี่ซิน”
“ท่านอ๋อง รายงานทางชายแดนบอกว่ากองทัพของแคว้นหลันเริ่มเคลื่อนพลเข้ามาชิดเมืองหลวงเต็มทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกมันมาเท่าไหร่ มีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
“เห็นบอกว่าหากมองด้วยตาน่าจะไม่เกินสองพันแต่ที่ยังรั้งอยู่หัวเมืองไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทของแคว้นหลันนำทัพด้วยตัวเอง พวกเขาอยากได้ดินแดนที่ติดเขาลั่วซางทางเหนือของเราจึงไม่ยอมแพ้ ชัยภูมิด้านนั้นเอื้อประโยชน์กับพวกแคว้นหลัน เราคงต้องวางแผนรับมือให้ดีกว่าเดิม”
“เห็นว่าอวี้อ๋องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อจะออกศึกเองพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ เขาหรือ… ตั้งแต่เมื่อใดกันเหตุใดสายข่าวของเขาถึงได้ว่องไวกว่า”
“กระหม่อมเองก็พึ่งได้รับรายงานมา จึงได้รีบมาแจ้งต่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า”
“ท่านอ๋อง…”
“หลอกล่อให้ข้าออกไปช่วยอันลี่ซิน ตลบหลังรีบกลับไปเข้าเฝ้าเพื่อขอออกศึกชายแดน หึหึ นับว่าแผนการที่ไม่เลวเลย แล้วเสด็จพ่อว่าอย่างไร”
“ทรงประทานอนุญาตให้อวี้อ๋องรับศึกนี้พร้อมกับกองทัพหลวงอีกสองพันนายพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะพวกเราก็แค่เตรียมกำลังเสริมเอาไว้ก็แล้วกัน หากทัพใหญ่พลาดพลั้งขึ้นมาจะได้ช่วยทัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไรอีก”
เว่ยอ๋องหันไปมองหน้าองครักษ์คนสนิทเมื่อเห็นท่าทีที่อึกอักของเขา
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“คือว่าวันนี้ตอนที่พระองค์ไปส่งคุณหนูอันที่จวน คุณหนูเฟิ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จอกชาในพระหัตถ์ชะงักก่อนจะถึงริมฝีปาก เขาวางลงก่อนจะหันไปมองแผ่นรายงานเกี่ยวกับการศึกที่ชายแดน
“หากครั้งต่อไปนางมาอีก ก็บอกไปว่าข้าไม่สะดวกพบนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปเถอะข้าจะอ่านรายงานที่เหลือเอง”
ต้าอู๋เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้ ซ่างเจวี๋ยเมื่อเห็นว่าประตูปิดลงแล้วจึงวางรายงานที่แสร้งยกขึ้นอ่านลงก่อนจะลุกไปที่หน้าต่างมองดวงจันทร์และนึกย้อนกลับไปวันที่มีงานเลี้ยงในวังหลายวันก่อน
“หม่อมฉันอยากจะมาอธิบายเรื่องราชโองการ หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้”
“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกข้า…”
“แต่ว่าหม่อมฉันหาได้ต้องการเช่นนั้นไม่ หม่อมฉันคิดว่า… จะเป็นพระองค์”
“เฟิ่งถงหลิน ในเมื่อมีราชโองการออกมาแล้วเจ้าก็ยอมรับเถิดนะ ที่ข้าเอ่ยปากถามกับเจ้าก่อนจะเข้าไปที่งานเลี้ยงนั่น ข้าเพียงแค่คิดว่าหากต้องแต่งงานจริง ๆ ก็อยากจะแต่งงานกับผู้ที่เหมาะสม แต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเป็นเช่นนี้ก็คงต้องยอมรับ”
“แต่ว่า! เหตุใดหม่อมฉันจึงต้องแต่งกับองค์ชายใหญ่ทั้ง ๆ ที่ดินแดนบูรพานั้นยิ่งใหญ่มากกว่าอีกทั้ง..”
“เฟิ่งถงหลิน ข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อยหากเจ้าจะเอ่ยสิ่งใดควรคำนึงถึงอวี้อ๋องเป็นหลัก ในยามนี้เจ้าเป็นว่าที่คู่หมั้นของอวี้อ๋องแล้ว มิควรพูดเรื่องเช่นนี้อีก”
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เรื่องที่พระองค์ถาม หรือว่ามิได้มีใจชอบพอหม่อมฉันมาก่อนงั้นหรือเพคะ พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านเองก็สนิทกับพี่ใหญ่ข้าอีกทั้ง… พี่ซ่างเจวี๋ยท่านยอมให้ข้าแต่งงานกับเขาได้จริงหรือ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยหันไปมองอันลี่ซินที่กำลังคำนับลาอวี้อ๋องอยู่ด้านหน้าสวน เขาแทบไม่ได้สนใจที่เฟิ่งถงหลินคร่ำครวญเลยด้วยซ้ำไปเพราะรู้ว่านางต้องการสิ่งใด อีกอย่างก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะต้องการทาบทามนางเรื่องแต่งงานก็เพียงเพื่อจะดูทิศทางลมเท่านั้น และดูเหมือนว่านางเองก็อยากรู้ว่าเขาจะสามารถครอบครองตำแหน่งสูงสุดนั้นได้หรือไม่
“เจ้าควรรู้ว่าราชโองการโอรสสวรรค์เมื่อประกาศแล้วหากไม่มีเหตุผลที่ดีมากพอจะยกเลิกมิได้ อีกอย่างตอนที่เจ้าได้ทราบเรื่องในห้องโถงเจ้าก็ดูมิได้ขัดข้องอันใดนี่”
เขานึกกลับไปถึงอันลี่ซินที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นหิน เขาเดินจนถึงตัวนางอยู่แล้วตอนที่ราชโองการประกาศจบ แต่นางยังคงตกใจไม่หายเพราะคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้รับคัดเลือกให้เป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา
“ท่านก็ทราบว่าข้ารู้สึกเช่นไร ข้ามิได้มีใจรักอวี้อ๋องแต่กับท่าน…”
เขาไม่อยากจะพูดกับนางให้มากความไปเกินกว่านี้ ในเมื่อสวรรค์กำหนดแล้วเขาเองก็มิได้ขัดข้องอันใด เดิมทีหมั้นกับบุตรของแม่ทัพใหญ่อาจจะดีก็จริง แต่หากได้เป็นบุตรเขยของท่านราชครูที่มีอำนาจเหนือเสนาบดีและแม่ทัพใหญ่อย่างเฟิ่งฉวน นั่นมันก็ดีสำหรับเขามากกว่ามิใช่หรือ
“ในเมื่อราชโองการออกมาเช่นนี้ข้าเองก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน บัดนี้ผู้ที่เป็นคู่หมั้นของข้าคืออันลี่ซินเจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นของอวี้อ๋อง จากนี้ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรพบกันตามลำพังอีก หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ”
“เจ้ายังมีสิ่งใดอีก”
“หากว่าอันลี่ซินมิได้ยินยอมหมั้นหมายกับพระองค์และขัดราชโองการ ท่านอ๋องจะยังตรัสเช่นนี้อยู่หรือไม่เพคะ”
ม่านรอบเตียงถูกดึงลงมาพร้อม ๆ กับชุดนอนของทั้งคู่ที่ถูกทอดทิ้งลงพื้นที่เย็นจัด มีเพียงเตียงอุ่นเท่านั้นที่ทั้งคู่ต้องการ ลิ้นขององค์ชายค่อย ๆ ไต่เลียไปที่หน้าท้องแบนราบ ฝ่ามือกอบกุมยอดปทุมที่อวบเต็มมือพร้อมบดขยี้เม็ดไตตรงยอดเรียกเสียงครางรับของพระชายา“อ๊าา ท่านพี่ ได้โปรด อ๊าา…”ลิ้นร้ายค่อย ๆ กระดิกรัวถี่ตรงหน้าปากถ้ำสวรรค์ น้ำหวานที่เริ่มไหลออกมาเพราะแรงกระตุ้นทำให้องค์รัชทายาทได้ใจที่จะดันลิ้นเข้าไปจนสุด นิ้วค่อย ๆ บดเม็ดทับทิมสีสดเร่งให้พระชายาอ้อนวอนขอถวายชีวิต“อ๊าา… ท่านพี่ ทนไม่ไหวแล้ว อ๊าา…อีกนิดเพคะ อ๊าา!!”ที่สุดก็ยังเป็นเขาที่รู้ใจนางมากที่สุด ร่างบางเอนแอ่นเกร็งขึ้นมาพร้อมกับเสียงครางที่ทำให้หัวใจสั่นไหว เขาต้องการนางมากที่สุดและไม่ว่าจะกี่วัน กี่ปีก็ยังคงเป็นเช่นนั้นเมื่อเริ่มครอบครองนาง เขาก็เริ่มปลดปล่อยอารมณ์และความตึงเครียดเมื่อช่วงบ่ายออกมาได้จนหมด“อาา…ซินเอ๋อร์ของข้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”สะโพกสอบหนาเริ่มบดกระแทกเป็นจังหวะ แข่งกับเสียงร้องครางรับของพระชายา เตียงไม้ที่สั่งทำพิเศษทั้งใหญ่ หรูหราสามารถรับน้ำหนักของทั้งคู่ได้ดีและไม่ลั่นเสียงดังเหมือนเตียงเล็กในห้องท
สองเดือนถัดมา “มานี่เร็วฮ่าวเอ๋อร์คนเก่งของป้า ดูสิว่าวันนี้ป้ามีสิ่งใดมามอบให้เจ้า”“พี่หญิงเพียงแค่มาเยี่ยมข้าก็ดีใจแล้ว เหตุใดยังนำของเล่นมากมายมาอีก ลำบากท่านหอบหิ้วมา อีกอย่างตอนนี้ก็กำลังท้องอ่อน ๆ อยู่ ไม่ควรจะ…”“พอได้แล้วอันลี่ซิน เจ้านี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ ยังเคร่งครัดกับอะไรพวกนี้อยู่อีก ข้ามิได้ยกมาเองเสียหน่อยอีกอย่างตั้งแต่ฮ่าวเอ๋อร์คลอด ข้าเองก็พึ่งจะได้มีโอกาสได้มาเห็นหน้าเขาก็ตอนนี้เอง ของเล่นพวกนี้ท่านพี่กับข้าเป็นคนเตรียมเพื่อมามอบให้หลาน เจ้าก็แค่รับไว้เฉย ๆ ก็พออย่าบ่นเลยน่า”“ก็ได้เจ้าค่ะ”สาวใช้ค่อย ๆ พยุงเฟิ่งถงหลินเดินมานั่งที่ศาลา โดยมีอาหรูรินน้ำชาให้นาง“วันนี้ห้องเครื่องทราบว่าฮูหยินจะมาที่ตำหนัก เลยเตรียมผลไม้เชื่อมเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะไปยกมาให้ท่านนะเจ้าคะ”“อาหรูเจ้านี่ยอดเยี่ยมไปเลย ขอบใจมากนะ”เพียงแค่คิดถึงผลไม้เชื่อม เฟิ่งถงหลินก็น้ำลายสอขึ้นมาในทันทีตามประสาคนที่ตั้งครรภ์อ่อน ๆ“ว่าแต่เหตุใดข้าไม่เห็นพี่ลู่มากับท่านด้วยเล่าเจ้าคะ”“หึหึ”ถงหลินจิบชาและค่อย ๆ วางลงพลางหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหันไปตอบนางอีกครั้ง“ศิษย์พี่ของเจ้าน่ะอยู่สำนักหมอหลวง กำลัง
สองเดือนถัดมา / ตำหนักบูรพา“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาน้ำอุ่นมาเพิ่ม”“เจ้าค่ะ”องค์รัชทายาทเร่งเดินทางกลับจากตำหนักกลาง หลังจากเสร็จสิ้นประชุมราชสำนัก ครั้งนี้ราชครูอันขอติดตามมาที่ตำหนักบูรพาด้วย เนื่องจากจางกงกงได้รีบไปแจ้งว่าพระชายาปวดท้องและเตรียมคลอด เมื่อองค์ชายมาถึงก็จะพุ่งตัวเข้าไปยังห้องทำคลอด เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของพระชายาอยู่ในนั้น“กรี๊ด!!”“ซินเอ๋อร์!”“เดี๋ยวก่อนองค์ชาย อย่าพึ่งพระทัยร้อน นางไม่เป็นอะไรหรอก”“แต่ว่าอาจารย์ เสียงของซินเอ๋อร์… ข้าอยากเข้าไปช่วยนาง”“ไม่ได้ เรื่องการคลอดเป็นเรื่องของสตรี หากพระองค์เสด็จเข้าไปเกรงว่านอกจากจะไม่ช่วยแล้ว จะทำให้ลี่ซินไม่มีสมาธิในการเบ่งด้วย พวกท่านนั่งรออยู่กับข้าตรงนี้แหละ”“องค์ชาย…”“ท่านพ่อข้าเป็นห่วงซินเอ๋อร์ นางไม่เคยร้องเสียงดังเช่นนี้มาก่อน ฟังแล้วเหมือนจะทรมานมาก ปัดโธ่เอ๊ย!”อาจารย์หลินฟู่ได้แต่ลอบยิ้มออกมา และยกชาขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น เขาตรวจร่างกายของลี่ซินและจับยามดูแล้ว นางคงจะคลอดในวันนี้เป็นแน่ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นครรภ์แรกจึงตื่นเต้นและยังทำตัวไม่ถูก แต่เขามั่นใจว่าจะคลอดได้อย่างปลอดภัย“กรี๊ด!! ท่านพี่!”“
ทั้งสองคำนับให้กันและหันไปคำนับให้ราชครูอันและฮูหยิน โบสีแดงมงคลถูกนำมาให้ทั้งคู่ถือเดินออกจากจวนสกุลอัน เพื่อรับตัวเจ้าสาวเข้าไปทำพิธีในวังหลวง“ส่งตัวเจ้าสาว" ขบวนเจ้าสาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลอันมุ่งหน้าเข้าวังหลวง เพื่อทำพิธีคำนับฟ้าดินที่ท้องพระโรงใหญ่ในวังหลวง “คำนับที่หนึ่ง กราบไหว้ฟ้าดินผู้ถือกำเนิดทุกสรรพชีวิต”“คำนับที่สอง คำนับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม คำนับกันและกัน จากนี้สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป”เมื่อพิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้น องค์รัชทายาทก็พาพระชายาไปยังตำหนักบูรพาในทันที เนื่องจากพระชายาตั้งครรภ์และพึ่งเสร็จศึกแดนประจิม งานเลี้ยงจึงจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายห้องส่งตัวเจ้าสาวลี่ซินค่อย ๆ ลูบปลอกหมอนที่นางบรรจงปักด้วยตัวเองเมื่อหลายเดือนก่อน ทั้งผ้าม่าน รวมไปถึงผ้าห่มนางล้วนตัดเย็บและปักด้วยตัวเอง เดิมทีคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้งานเสีย แล้วหลังจากเกิดเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้นำมาใช้ ตอนนี้อายุครรภ์นางก็เข้าเดือนที่หกแล้ว การที่จะเดินไปที่ใดมักจะมีสาวใช้ล้อมหน้าล้อมหลังเฝ้าระวังเป็นอย่างดีจนรู้สึกอึดอัด มีเพี
เมื่อส่งเฟิ่งถงหลินแล้ว ลี่ซินจึงได้กลับเข้ามานั่งตรวจบัญชีต่อในห้องทรงงาน ไม่นานองค์รัชทายาทก็เสด็จกลับมาพร้อมกับบอกแผนการของกองทัพให้นางทราบ“เช่นนั้นก็หายห่วงได้เลย ข้าจะฝากเสบียงส่วนหนึ่งไปพร้อมกับสกุลเฟิ่งเพื่อให้พวกเขาอารักขา ครั้งนี้เสบียงจะได้ทันใช้งานและไม่ต้องรอเวลาส่งตามไป”“หมายความว่าอย่างไร นี่เจ้า…”“วันนี้พี่หญิงเฟิ่งมาพบข้าที่นี่ นางมาขอโทษเรื่องครั้งก่อนที่ใจร้อนมาเข้าเฝ้าทำให้พระองค์ต้องตัดสินใจออกศึกทั้ง ๆ ที่ยังบาดเจ็บอยู่ นางรู้สึกผิดหม่อมฉันจึงได้ให้สกุลเฟิ่งช่วยเหลือในการศึกครั้งนี้”“นี่พวกเจ้าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วหรือ”“เหตุใดข้าจะต้องเสียเวลาไปทะเลาะกับว่าที่พี่สะใภ้ด้วยเล่าเพคะ”“พี่สะใภ้ เจ้าหมายถึงเฉินลู่งั้นหรือ”ลี่ซินรินน้ำชาและยกมาให้องค์รัชทายาทดื่มเพื่อดับกระหาย เมื่อเขายกชาขึ้นมาดื่มเสร็จ ก็ดึงตัวนางมานั่งตักและสูดกลิ่นหอมจากพวงแก้มเข้าไปสุดลมหายใจ“พระชายาของข้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่เจ้ากับเฟิ่งถงหลินร่วมใจกันทำการใหญ่เพื่อแผ่นดิน”“อย่าได้ดูถูกสตรีเช่นพวกหม่อมฉันสิเพคะ อีกอย่างกองทัพสกุลเฟิ่งของนางก็เป็นกำลังสำคัญของต้าซ่ง ใ
“เพราะสาเหตุนี้ พระองค์จึงตัดสินใจมอบหมายการศึกนี้ให้กับองค์ชายห้า ใช่หรือไม่เพคะ”“หลอกเจ้าไม่ได้จริง ๆ สินะ ข้ายอมรับว่าตอนนี้ทำใจให้สงบเพื่อนำทัพออกศึกไม่ได้ อีกอย่างน้องห้าก็ต้องรีบทำผลงานเพื่อให้ขุนนางและแม่ทัพนายกองของดินแดนประจิมเชื่อมั่น เพื่อจะได้ปกครองคนเหล่านั้นได้”“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ครั้งนี้จะช่วยเหลือพวกพระองค์อย่างเต็มที่ มิให้ขาดตกบกพร่อง”“หากมีสิ่งใดที่จะให้ข้าช่วยเจ้าก็ต้องรีบบอก อย่าได้ทำเหมือนครั้งก่อนที่แอบนำทรัพย์สินส่วนตัวไปขาย ครั้งนี้เป็นศึกของดินแดนประจิม อย่าลืมว่าน้องห้ามีพระชายาเป็นบุตรีคหบดีที่มั่งคั่ง”“เพคะ”อันลี่ซินกลับมาอยู่ที่ตำหนักได้เกือบสิบวันแล้ว ตอนนี้นางเริ่มกลับมาทำหน้าที่ดูแลบัญชี และเริ่มจัดเก็บข้าวของบางอย่างเพื่อเตรียมตัวย้ายเข้าตำหนักบูรพา ซึ่งฝ่าบาทพึ่งประทานให้กับองค์รัชทายาท ช่วงบ่ายเฟิ่งถงหลินเดินมาพร้อมกับของหลายกล่องที่บ่าวไพร่ถือมาให้ เมื่อเห็นนางเดินเข้าประตูหน้าตำหนักมา เสิ่นหมัวมัวจึงรีบเดินมารับหน้าทันที“คุณหนูเฟิ่ง คือว่าวันนี้องค์รัชทายาทเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้มาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทของพวกเจ้าสักหน่อย”“เอ่อ







