‘เข้าใจอะไรกัน พูดเองเออเองเอาทั้งนั้น’
ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ ฟู่เซียงเซียงหันไปมองเจ้าของมือขาวผ่องกวักมือเรียกจากตรอกด้านข้าง นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้เป็นอย่างดีจึงเดินตรงไปหาพร้อมรอยยิ้ม
“พี่เหมยลี่” เด็กสาวที่อยู่ในชุดเด็กหนุ่มเอ่ยทัก “ท่านมาซื้อของที่ตลาดหรือ?”
“ข้ามาดักพบเจ้าต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำตาดุใส่ ทว่าเมื่อเห็นว่าด้านหลังฟู่เซียงเซียงมีบุรุษสวมชุดดำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ นางก็พูดไม่ออก ฟู่เซียงเซียงเข้าใจในทันที นางกุมมือเหมยลี่แล้วพูดปนหัวเราะ
“เขามากับข้า ว่าแต่พี่เหมยลี่มีเรื่องอันใดรึ”
เหมยลี่ลอบมองชายในชุดดำอีกครั้งแล้วยกพัดขึ้นป้องปากกระซิบ “พี่น้องไม่ค่อยสบาย เจ้าช่วยไปดูอาการสักหน่อยเถิด”
“ท่านหมอจูห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจคนไข้เพียงลำพัง” ฟู่เซียง เซียงรีบพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายดูไม่สนใจนัก
“เจ้าก็รู้ว่าถ้าพวกเราไปหาท่านหมอที่โรงหมอหรือเชิญท่านหมอไปตรวจ หากมีคนรู้เข้าจะคิดว่าเจ็บป่วยหนักนะสิ”
“แล้วที่มาเรียกข้าก็ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยหรอกหรือ?” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย เหมยลี่กระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือฟู่เซียงเซียงให้เดินไปตามตรอกจนไปถึงหอนางโลมแห่งหนึ่ง แต่เหมยลี่พาเข้าไปโดยใช้ประตูด้านหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วไม่คิดว่าเด็กสาวจะมาสถานที่เช่นนี้ แต่ดูเหมือนนางคุ้นเคยกับคนที่นี่
เด็กสาวหันมาทางอี้เฉิน นางยื่นมือไปรับล่วมยาจากเขาแล้วพูดขึ้น “ข้างในมีแต่สตรี เจ้าเข้าไปไม่ได้ต้องรอด้านนอก”
ฟู่เซียงเซียงเห็นสายตาของอี้เฉินมีค่อยไว้ใจนัก เขามองข้ามศีรษะนางไปด้านหลัง นางขยับตัวใช้ตัวเองบังไว้ทั้งที่รู้ว่าเขามองเห็นหลังบานประตูที่แง้มอยู่
“ไม่ต้องห่วง ข้าเคยมาที่นี่” นางยืนยัน “เจ้ารอข้าอย่าเที่ยวเล่นซุกซน”
นางดุเขาราวกับตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง ท่าทางทึ่มทื่อทำให้หญิงสาวสองสามคนที่ได้ยินพากันหัวเราะคิกคัก
“ไม่ต้องหวงนางหรอก พวกเราไม่ได้ทำร้ายนางแค่เชิญนางมาตรวจพี่ๆน้องๆเท่านั้นเอง” หญิงสาวคนหนึ่งปรายตามองชายหนุ่มในชุดดำแล้วยิ้มพราย “เจ้าไปดื่มชากับข้าก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มขยับเท้าเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบมือเรียวที่ยื่นมาหมายแตะร่างกาย ท่าทางดุดันทำให้มือนั้นชะงักไปทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง เขาสาวเท้าก้าวตามไปทันทีไม่สนใจว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะเรียกเขาไว้
หลังบานประตูปิดสนิท ฟู่เซียงเซียงเดินตรงไปยังหลังม่านปักลายดอกเบญจมาศ มีหญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มทักทายแล้วนั่งลงที่เก้าอี้กลมริมเตียง
“พี่ลี่หรูไม่สบายหรือเจ้าคะ”
“เจ็บป่วยเล็กน้อยแต่เกรงจะว่าวันหน้าจะเป็นมาก เจ้าช่วยตรวจดูสักหน่อยสิ”
“แต่ว่า...ท่านหมอจูสั่งห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจเพียงลำพัง”
“แล้วอย่างไร ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้” ลี่หรูหัวเราะเบาๆ แต่น้ำเสียงแหบแห้ง
“พี่ลี่หรูมีอาการใดบ้างเจ้าคะ”
แม้ในห้องมีแต่สตรี แต่บางเรื่องก็ไม่อาจพูดเสียงดังนั้น ลี่หรูทำท่าป้องปากกระซิบ ฟู่เซียงเซียงก็เอียงใบหน้าเข้าไปรับฟัง นางฟังอย่างตั้งใจแล้วจึงขอจับชีพจรแล้วให้ลี่หรูอ้าปากดูลิ้น
“อาการม้ามพร่องเจ้าค่ะ ( 脾虚 ) เมื่อม้ามและกระเพาะพร่องไม่มีแรง เกิดเป็นความชื้นขึ้น และกลายเป็นตกขาว จะเป็น ๆ หาย ๆ อาการมักกลับมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ พี่ลี่หรูมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ลิ้นซีด รักษาโดยใช้ยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงชี่เสริมม้าม ดึงหยางขึ้นขับชื้น เพื่อรักษาอาการตกขาว ระหว่างนี้พี่ลี่หรูควรงดอาหารหมักดองและรสจัด หลังเสร็จกามกิจแล้วทำความสะอาดทันที ผลัดเปลี่ยนกางเกงชั้นในบ่อยๆ ก็ช่วยให้หายได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไม่หนักหนาใช่หรือไม่”
ฟู่เซียงเซียงพยักหน้ารับ “แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะรักษายากเจ้าค่ะ”
ลี่หรูถอนหายใจโล่งอก เรื่องพวกนี้แม้แต่นางโลมด้วยกันยังไม่อยากให้รู้ มิใช่เขินอาย แต่จะกลายเป็นแยกลูกค้ากันเอง นางเองก็ลองหลายวิธีแต่ไม่เป็นผล เห็นทีต้องลองเชื่อหมอหญิงผู้นี้ดูสักหน่อย ครั้งก่อนก็ได้นางช่วยชี้แนะเรื่องอาการอาหารไม่ย่อยจึงมีกลิ่นปาก
เด็กสาวเขียนเทียบยาให้ ได้แต่แอบหวังว่าเรื่องนี้จะไปไม่ถึงหูของท่านหมอจู เขาเพิ่งรับนางเป็นศิษย์เสียด้วย ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มีหญิงคณิกาในหอนางโลมมารอให้นางตรวจอาการ คนเดือดร้อนมาอยู่ตรงหน้า หากไม่ทำอะไรเลยนางก็ทำไม่ได้ นางจึงตรวจอาการหญิงคณิกาอีกสองสามคน ใช้เวลาเกือบชั่วยามจึงแล้วเสร็จ เมื่อเดินออกมาไม่พบอี้เฉิน ความกังวลใจก็เกิดขึ้น
“ชายสวมชุดดำที่มาพร้อมข้าล่ะ” นางหันไปถามเหมยลี่
“ก็เห็นเดินไปทางโน้น อืม...ข้าให้คนไปตามดีไหม”
“ข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ อย่างไรขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ฟู่เซียงเซียงเอ่ยลาแล้วรีบเดินไปตามทางที่เหมยลี่ชี้ นางเห็นแผ่นหลังของอี้เฉินอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเมื่อยื่นมือไปแตะด้านหลัง คนที่หันกลับมากลับไม่ใช่คนที่ตามหา
“ขออภัย ข้าทักคนผิดขอรับ” นางพยายามดัดเสียงให้เป็นเด็กหนุ่ม แล้วถอยหลังออกมาแต่คนผู้นั้นคว้าข้อมือนางแล้วกระชากเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นสุราเหม็นหึ่ง
“ข้าอนุญาตให้ไปแล้วรึ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นบ่งบอกได้ชัดว่าเขาไม่ได้ธรรมดาเหมือนเสื้อผ้าที่สวมอยู่ แม้อี้เฉินรูปร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีท่าทีคุกคามเช่นนี้
ฟู่เซียงเซียงถอยหนีจนแผ่นหลังชิดประตูบานหนึ่ง นางกวาดตามองหาช่องทางหลบหนี ชายตรงหน้าดูพอใจกับท่าทางหวาดกลัวของนาง เขาหัวเราะและยื่นมือไปหมายเชยคางนางขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส มือข้างนั้นก็ถูกกระชากไว้ก่อน คนถูกขัดจังหวะอ้าปากจะส่งเสียงต่อว่าแต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ก็ทำให้หุบปากไปทันที
“อี้เฉิน” ฟู่เซียงเซียงยิ้มออกมาแม้หางตาจะมีประกายน้ำตาเอ่อคลอ นางกลัวว่าอี้เฉินจะบีบข้อมือคนผู้นั้นจนกระดูกแหลกจึงรีบก้าวออกไปแตะมือเขาไว้เป็นเชิงเรียกสติ
“เจ้ามาแล้ว เรากลับกันเถิด”
นางรีบเดินออกมาทำให้อี้เฉินปล่อยมือแล้วเดินตามนางอย่างเงียบๆ เด็กสาวเดินพ้นหอนางโลมพอสมควรแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลงแล้วหันมายิ้มให้กับชายชุดดำที่เดินตามนางอยู่ไม่ห่าง
“เจ้าคงสมเพชข้าอยู่สินะ” นางยกหลังมือเช็ดหางตาอีกครั้งจนมั่นใจว่าจะไม่มีคราบน้ำตาแล้วจึงพูดต่อ “อย่าเล่าเรื่องนี้ให้แม่นมหวงกับจางลี่รู้นะ พวกนางเป็นหวงข้ามาก”
‘เจ้าลืมหรือไรว่าเจ้าทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเป็นใบ้’
ทว่าเขากลับพยักหน้าตามที่นางร้องขอ
“เมื่อครู่...ขอบใจเจ้ามากนะ” นางหัวเราะออกมา “มีเจ้าเป็นผู้ติดตามก็ดีไม่น้อย อีกหน่อยไม่มีใครกล้ารังแกข้าแน่”
เสียงหัวเราะของนางกลับมาสดใสอีกครั้ง ทว่าภาพที่นางหวาดกลัวจนใบหน้าไร้สีเลือดยังคงติดตาทำให้อยากดูแลนางเหลือเกิน แต่ในเวลานี้เขามีหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง
หวังว่านางจะรอเขาได้.
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ