“คนผู้นี้พูดไม่ได้” ท่านหมอจูเอ่ยกับลูกศิษย์ และอธิบายกับทาสหนุ่ม “นางมักซุ่มซ่ามอยู่เสมอ หากคราวหน้านางหกล้ม เจ้าก็ประคองไหล่นางไว้ ไม่ใช่กอดเอวนางเช่นนั้น”
ทาสหนุ่มนิ่งงันไป เขาคิดแค่ต้องการช่วยไม่ให้นางหน้าคว่ำกระแทกพื้น หมอจูซีห่าวเข้าใจว่าทาสผู้นี้คงไม่มีความรู้จึงตั้งใจอบรมสั่งสอน แม้ฟู่เซียงเซียงแต่กายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะทำสิ่งใดก็ต้องระวังให้มาก แต่นางไม่เหมือนสตรีทั่วไป ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจเรียนการรักษาคนเช่นนี้
ฟู่เซียงเซียงชงน้ำชาแล้วยกเข้ามาในห้องโถง โดยมีศิษย์ที่หมอจูซีห่าวรับไว้อีกสามคนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือจูลี่เฉียว หลานชายของเขาเอง เด็กสาวคุกเข่ายกน้ำชา ดวงตางามเป็นประกายงดงามเฝ้ามองมือหยาบกร้านยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด แล้วจึงหยิบชุดเข็มเงินส่งให้ฟู่เซียงเซียง
“จงเรียนรู้และรักษาผู้คนด้วยความซื่อสัตย์จากใจ”
“ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นางรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หมอจูซีห่าวพยักหน้าพอใจ เห็นที่ว่าต้องเหนื่อยกับสอนเจ้าวัวดื้อตัวนี้สักหน่อย แต่เขาเชื่อว่านางจะเป็นหมอหญิงที่ดีได้
“เจ้าคงศึกษามาบ้างแล้ว แต่ข้าไม่รู้เจ้าเข้าใจถูกผิดมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็เริ่มจากพื้นฐานเลยก็แล้วกัน”
หมอจูซีห่าวกวาดตามองทาสหนุ่มที่ติดตามฟู่เซียงเซียงมาด้วย “หุ่นสองตำลึงของเจ้าแข็งแรงกว่าที่คิดไว้มาก ฟื้นฟูได้เร็วกว่าที่คาดคิดจริงๆ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะข้าทุมเทแรงกายและใจดูแลรักษาเขาอย่างดียิ่ง ท่านหมออยากดูหรือไม่เจ้าคะ แผลที่ข้าเย็บเป็นครั้งแรกไม่มีปริแตกเลยสักนิด”
ไม่พูดเปล่า นางเดินไปฉุดแขนของอี้เฉินให้มายืนต่อหน้าหมอจู ...ไม่สิ ต้องเรียกว่าอาจารย์จูซีห่าว ซ้ำยังทึ้งเสื้อผ้าของอี้เฉินลง และเพราะนางตัวเล็กจึงต้องเขย่งปลายเท้าขึ้น จับเขาหันหลังให้อาจารย์จูดูรอยแผลที่นางรักษาเขา
“คงเพราะเจ้าเป็นหญิงมีฝีมือด้านเย็บปักจึงทำออกมาได้ดี”
“ศิษย์พี่! เย็บหนังมนุษย์จะเหมือนเย็บผ้าได้อย่างไร นี่มันเกิดจากฝีมือข้าล้วนๆ”
ฟู่เซียงเซียงเหมือนน้องคนเล็กในกลุ่มทำให้บรรดาศิษย์พี่หยอกเย้า มีเพียงสายตาของจูลี่เฉี่ยวที่ไม่ค่อยพอใจนัก แม้ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม เขายื่นมือไปชีพจรของอี้เฉิน ทาสหนุ่มเพียงตวัดหางตามองอย่างหงุดหงิดท่าทางราวหมาป่า
“มีอะไรรึศิษย์พี่ลี่เฉี่ยว”
หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ แต่อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าไปมาส่งยิ้มเอ็นดูให้เด็กสาว แต่ในใจครุ่นคิด ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสูงจึงจะควบคุมชีพจรได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงกลายเป็นทาสได้เล่า? เขาคงเข้าใจอะไรผิดไปเป็นแน่.
หลายวันมานี้อี้เฉินติดตามฟู่เซียงเซียง ไปโรงหมอทุกวัน ระหว่างที่นางเรียนกับหมอจูซี่ห่าว เขาก็ถูกเรียกใช้งานแบกหามในโรงหมอ และเมื่อเด็กสาวเห็นก็จะโวยวายกล่าวหาว่าผู้อื่นรังแกคนของตน
“เจ้าเป็นคนของข้าอย่าให้ผู้อื่นใช้งานสิ” นางทำตาดุใส่ แต่ท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ไม่ทำให้คนถูกดุหวาดกลัวได้
เขาเองก็ไม่ได้อยากทำงานพวกนี้ ที่ทำเพราะต้องการช่วยฟู่เซียงเซียงต่างหาก หากเขาไม่ชิงลงมือทำเสียเอง คนเหล่านี้ก็ใช้นางทำงานเหมือนเดิม เขาไม่ต้องการเป็นที่ผิดสังเกต ผู้ใดใช้ให้ทำอะไรจึงทำตามอย่างว่าง่าย ท่าทางทึ่มทื่อจนน่าเวทนาโดยเฉพาะเวลาที่เด็กสาวตัวเล็กกางแขนปกป้อง ที่ผ่านมาเคยมีใครทำให้เขาเช่นนี้บ้างหรือไม่ มันเนิ่นนานเสียจนจำไม่ได้แล้ว
“บาดแผลยังไม่สมานดี ยกของหนักเช่นนี้จะปริเอาได้ ข้าให้เจ้าติดตามมาเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้ให้มาทำงานหนักเช่นนี้”
ฟู่เซียงเซียงหันมาดุอี้เฉิน ท่าทางนางเหมือนแมวน้อยที่ขู่ฟ่อๆให้ผู้อื่นกลัว แต่เห็นแล้วยิ่งน่าเอ็นดูจนนึกอยากลูบศีรษะเหลือเกิน
“ช่างเถอะๆ เจ้าตามข้าไปหาอาจารย์จูให้ตรวจดูบาดแผลดีกว่า”
ประเดี๋ยวนี้นางเรียกท่านหมอจูว่าอาจารย์จูได้เต็มปากเต็มคำไม่ต้องเกรงว่าผู้ใดจะหัวเราะเยาะ ใครต่อใครก็มองออกว่านางเป็นศิษย์ที่ท่านหมอจูซีห่าวให้ความเอ็นดูที่สุด หลายคนแอบพูดคุยกันลับหลัง ไม่แน่ว่าท่านหมอจูหมายตาให้ฟู่เซียงเซียงแต่งงานกับจูลี่เฉี่ยวเพื่อสืบทอดกิจการโรงหมอ แต่เรื่องเหล่านี้ฟู่เซียงเซียงไม่ได้รับรู้เลยสักนิด มีเพียงอี้เฉินที่ได้ยินเต็มสองหูและหงุดหงิดอย่างไร้เหตุผล
“อาจารย์จู” ฟู่เซียงเซียงเรียกหมอจูเสียงอ่อนหวาน “ท่านตรวจดูบาดแผลของอี้เฉินสักนิดเถิด เขาถูกบรรดาศิษย์พี่เรียกใช้ตอนที่ข้าไม่อยู่ ไม่รู้แผลปริแตกหรือไม่”
“เจ้าอยากให้ข้าดูแผลให้เขา หรืออยากอวดฝีมือการรักษของเจ้ากันแน่”
หมอจูซีห่าวส่ายหน้าไปมา เหตุใดจะไม่รู้ว่านางคิดเช่นไร แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้าให้อี้เฉินเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วสั่งให้ถอดเสื้อออก ฟู่เซียงเซียงแม้เป็นหญิง แต่ศึกษาการรักษาผู้คนกับท่านหมอจูซีห่าวมาสามปี เคยเห็นร่างเปลือยของบุรุษมาแล้วจึงไม่ได้มีสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด ยามเมื่อต้องวินิจฉัยอาการคนเจ็บป่วย สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง ไม่เหลือภาพเด็กสาวที่ชอบพูดจาชวนให้คนฟังอมยิ้ม
จูลี่เฉี่ยวยืนมองใกล้ๆ พิจารณารอยแผลเป็นบนร่างของชายผู้นี้ จะว่าไปก็น่าประหลาดใจที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงเวลานี้ได้ เขาอดประเมินไม่ได้ว่าทาสผู้นี้เคยทำอะไรมาก่อน เหตุใดร่างกายจึงเต็มไปด้วยแผลเป็นเช่นนี้
“ได้ยินว่าพี่ลี่เฉี่ยวจะสอบเป็นแพทย์หลวง” ฟู่เซียงเซียงชวนคุย “ในวังหลวงคงมีตำราแพทย์ลึกล้ำน่าสนใจเป็นแน่”
“เจ้านี่ก็เห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมด” เขาต่อว่าแต่ไม่จริงจังนักแล้วมองใบหน้างดงาม “ปีหน้าเจ้าก็ปักปิ่นแล้วสินะ”
“เจ้าค่ะ พี่ลี่เฉี่ยวจะเตรียมของขวัญให้ข้าหรือ?”
“มีใครเขาทวงของขวัญกันอย่างนี้กันเล่า” จูลี่เฉี่ยวอดหัวเราะไม่ได้
“ก็ท่านถามเองนี้ ถามแบบนี้ให้ความหวังข้านะ”
“ได้ๆ ปีหน้าเจ้าเตรียมรับของขวัญจากข้าได้เลย”
“ท่านพูดเองนะ อาจารย์เป็นพยานให้ข้าด้วย” นางลากเอาหมอจูซีห่าวเข้ามาเกี่ยว แต่อีกฝ่ายแค่ส่ายหน้าไม่รับรู้ เด็กสาวเบ้ปากแต่ลี่เฉี่ยวกลับยิ้มกว้าง
“ข้าไม่ลืมแน่นอน” จู่ลี่เฉี่ยวให้สัญญา แม้ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตาจ้องเขม็งไปยังอี้เฉินที่ยังนั่งเปลือยท่อนบน ให้หมอจูซีห่าวตรวจดูร่างกาย หมอจูพยักหน้าอย่างพอใจแล้วให้อี้เฉินสวมเสื้อตามเดิม
“วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็กลับได้แล้ว แล้วนี่ค่าสมุนไพรของเจ้า” หมอจูหยิบเงินจำนวนส่งให้ เด็กสาวรับไว้ด้วยรอยยิ้ม นางนับเงินอย่างไม่เกรงมารยาท ดวงตาสุกใสเป็นประกายแล้วยิ้มทะเล้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นวันนี้ข้ากับอี้เฉินกลับเลยนะเจ้าคะ”
ฟู่เซียงเซียงเก็บเงินเรียบร้อยแล้วจึงเดินนำทาสหนุ่มออกมา เขาแอบเห็นมือเล็กๆ นั้นแตะที่ถุงเงินตลอดเวลา การมีเงินทำให้นางมีความสุขได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ชายหนุ่มหรี่ตามองแผ่นหลังบอบบาง เขาไม่เคยเดินตามหลังใครเช่นนี้มาก่อน จู่ๆ นางก็หมุนตัวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ช่างทำตัวไม่เหมือนเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋วเอาเสียเลย
“เราไปซื้อแป้งกับถั่วแดงให้แม่นมทำของอร่อยให้กินกัน” เด็กสาวพูดแล้วชี้นิ้วไปยังถนนด้านหน้า “เดินไปไม่ไกลนักหรอก เจ้าเดินไหวหรือไม่”
นี่นางเห็นข้าเดินช้าจึงคิดว่าข้าเดินไม่ไหวรึ?
เขานึกอยากโต้เถียงนาง แต่ปกติไม่เคยต่อปากต่อคำกับสตรี ทว่าแค่อ้าปากยังไม่ทันส่งเสียง ฟู่เซียงเซียงก็พยักหน้ารับแล้วชิงพูดก่อน
“ข้าเข้าใจ ร้านอยู่ข้างหน้านี่เอง ไปเถิด”
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ