เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง
ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’
ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเรื่อยมาที่ลำคอขาวผ่องที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผลอบีบลำคออย่างไม่ตั้งใจ กลิ่นหอมละมุนจากกายนางทำให้เขาโน้มหน้าลงสูดดม
“เซียงเซียง”
ฟู่เซียงเซียงถูกรบกวนการนอนทำให้งัวเงียลืมตาขึ้น การตื่นของนางทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือกแล้วลุกพรวดไปซ่อนกายในเงามืดที่มุมห้อง ร่างบอบบางยันกายขึ้นนั่งแล้วเพ่งตามองไปที่มุมห้อง เพราะรีบร้อนลุกขึ้นจึงไม่รู้ว่าสาบเสื้อคลายออกเผยให้เห็นเนินเนื้อขาวโพลนที่ดุนดันเอี๊ยมบังทรงสีชมพูกลีบบัว ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มหายใจติดขัด คิดจะผละจากไปแต่เท้าไม่ยอมขยับ
“อี้เฉิน?” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย เงาในมุมมืดคล้ายจะสาวเท้าหนี นางจึงรีบร้อนก้าวลงจากเตียงทั้งที่ยังปรับสายตาในความมืดไม่ได้ ร่างเล็กเสียหลักหน้าคะมำลงพื้น แต่ชายหนุ่มเคลื่อนรวดเร็วคว้านางได้ทันแต่ใบหน้างามกลับซุกซบที่อกแกร่ง
ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เป็นฟู่เซียงเซียงที่ขืนตัวออก มือใหญ่คู่นั้นประคองไหล่นางไว้ให้นางได้นั่งลงปลายเตียงเรียบร้อยแล้วจึงขยับเท้าออกมายืนห่างเล็กน้อย แต่ยังใกล้พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของนางที่ดังไม่ต่างจากเขา มุมปากยกยิ้มขึ้น ที่แท้นางก็หวั่นไหวไม่ได้ไร้ความรู้สึกสินะ
“เจ้า...จะไปแล้วหรือ?” นางเอ่ยถามและเพิ่งนึกได้จึงจับสาบเสื้อให้มิดชิด แม้อยู่ในแสงสลัวแต่อาจมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นางไม่ได้ยินเสียงตอบรับซึ่งก็เข้าใจได้ จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเช่นทุกครั้ง
“ข้ารู้ว่าวันหนึ่งเจ้าต้องไปจากข้า แต่รอสักประเดี๋ยวนะ”
ชายหนุ่มเก็บรอยยิ้ม มองร่างเล็กที่หมุนตัวคลานไปหยิบอะไรสักอย่างที่หัวเตียง ครู่ต่อมานางก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ เขายื่นมือไปรับอย่างแปลกใจ
“หนังสือสัญญาทาส” นางพูดขึ้นแล้วยื่นถุงเงินส่งตามไป “ข้าตั้งใจคืนให้เจ้า และเงินเล็กน้อย เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ค่อยมีเงินมากนัก แต่เจ้าเองก็ต้องเดินทางอย่างไรก็ควรมีเงินติดตัวบ้าง ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ทำอะไร ข้าก็หวังให้เจ้าประสบในสิ่งที่ปรารถนา”
เขาแปลกใจที่นางเตรียมของเหล่านี้ให้ แน่นอนว่าเขารู้ว่าเรือนหลังนี้ต้องกระเบียดกระเสียรเรื่องการใช้เงินมากเพียงใด แต่นางยังเจียดเงินไว้ให้เขา
“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมาเป็นทาสเช่นนี้ แต่เรื่องนั้น เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่สามารถบีบเค้นเอาคำตอบจากเจ้าได้ ที่ผ่านมาเจ้าก็ช่วยเหลือข้าและแม่นมหวงรวมทั้งจางลี่มาตลอด อย่างไรเสียก่อนจากไปข้าคงทำให้ได้แค่คืนหนังสือสัญญาทาสให้เจ้า ต่อไปนี้เจ้าไม่ทาสของข้าและของใครทั้งสิ้น”
นางรู้!
นางรู้ว่าเขาไม่พูด ไม่ใช่พูดไม่ได้!
ดวงตาคมวาวเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
เด็กสาวเม้มริมฝีปากครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ย
“จะรีบไปก็ไปเถิด อากาศเย็นมาก ข้าไม่ออกไปส่งนะ”
พูดจบนางก็ทิ้งตัวลงนอนตามเดิม เพียงแค่พลิกตัวตะแคงหันหลังแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเกือบมิดใบหน้า แสร้งทำเป็นหลับ แต่นางรับรู้ว่าเขาเข้ามาใกล้แล้วเหน็บผ้าห่มให้นาง คล้ายได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่างด้านหลัง รวดเร็วเสียจนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางนอนนิ่งราวครึ่งเค่อจนมั่นใจว่า ในห้องไม่มีเงาร่างของชายชุดดำผู้นั้นแล้ว จึงลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวกลับมากวาดตามองในห้องอีกครั้ง
“ไปแล้วสินะ” นางพึมพำเบาๆ เผลอยกมือขึ้นแตะลำคอ
ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบทำให้นางคอหักตายแล้ว แล้วนางก็หลุดหัวเราะออกมา ต่อให้วันนี้เขาไม่ไป วันหน้านางก็ต้องให้เขาไปอยู่ดี ฐานะอย่างนางเลี้ยงเพิ่มอีกปากท้องก็ไม่ไหว และไม่รู้ว่าอนาคตนางจะได้อยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่ เรื่องที่บ่าวไพร่ในจวนแอบนินทากันก็พอได้ยินบ้าง แม้ท่านพ่อไม่ได้เห็นนางในสายตา แต่ไม่รู้ว่าจะยกนางให้แต่งกับใครอีก และดูจากที่สตรีผู้นั้นสรรหาบุรุษให้นางแต่งงานด้วยนั้นก็เห็นได้ชัดว่า ของดีที่สุดต้องเป็นของลูกสาวนาง ฟู่เซียงเซียงไม่อาจคาดหวังว่าจะได้สามีที่ดีเพื่อจะได้พานางออกไปจากที่นี้ หากครอบครัวฝั่งว่าที่สามีรู้ว่านางเป็นหมอหญิง คงดูแคลนและถึงขั้นไม่ยอมรับเป็นแน่ นางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่เรือนท้ายจวนไปตลอดชีวิต แต่ถ้าบิดายังเมตตาให้นางไปอยู่บ้านบรรพชน บางที... นางอาจมีลู่ทางที่ดีกว่านี้ ทว่ามีบางเรื่องที่นางได้ยินมา ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นเรื่องจริง
………….
“คนผู้นั้นไปแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะคุณหนู”
“ถ้าคนผู้นั้นที่เจ้ากล่าวถึงคืออี้เฉินละก็...เขาจากไปได้ห้าวันแล้ว และห้าวันมานี้เจ้าก็ถามข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่รอบแล้ว”
“เผื่อว่าเขาจะกลับมานี่เจ้าคะ” จางลี่ก้มหน้าซ่อนรอยเขินอายบนแก้ม “เขาจากไปไม่ลาเลยด้วยซ้ำ”
“เจ้าจะถามอะไรมากมายนัก” แม่นมหวงอดดุสาวใช้ไม่ได้ “ไปเสียได้ก็ดี หน้าตาน่ากลัวซ้ำไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แค่คุณหนูเมตตาให้ความช่วยเหลือก็นับเป็นวาสนาแล้ว”
ฟู่เซียงเซียงคิดแล้วก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้ จะไปก็ไม่ว่ากระไร เหตุใดต้องแอบตัดปอยผมของนางด้วย นางเม้มปากไม่พอใจอขณะที่กำลังตากสมุนไพรในลานกลางแจ้ง เขามาอยู่แค่เดือนเดียวแต่ทำให้จางลี่รำพึงหาได้ ช่างน่าแปลกใจนัก นางยังไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด
“สุนัขของเจ้าไปอยู่ที่ไหนล่ะ” ฟู่ซินอี๋เอ่ยพลางกวาดตามองอย่างดูแคลน
“เจ้าติดใจสุนัขของข้าถึงขนาดต้องมาดูด้วยตนเองเชียวรึ”
ฟู่เซียงเซียงเอ่ยด้วยใบหน้าระบายยิ้ม วางมือจากการตากสมุนไพรแล้วเดินเข้ามาใกล้ ยิ่งยืนใกล้กันก็ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่ความงามที่เด่นชัด ฟู่ซินอี๋อ้าปากพูดไม่ออกไม่คิดว่าพี่สาวต่างมารดาจะกล้าต่อปากต่อคำนางถึงเพียงนี้
“ข้าก็ไม่ได้อยากมาเหยียบเรือนของเจ้านัก ทั้งเหม็นและสกปรก แต่ที่มาเพราะท่านพ่อให้มาเรียกเจ้าไปพบ”
ฟู่เซียงเซียงยืดแผ่นหลังเหยียดตรงปรายตามองน้องสาวต่างมารดาแล้วเอ่ย “อย่างไรข้าก็มีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฟู่ จะเรียกกันก็ควรให้รู้จักฐานะของตนด้วย และที่สำคัญ ถ้าเรือนของข้าไม่น่ามาเยือน เจ้าก็ส่งบ่าวรับใช้มาเรียกได้ ไม่มีเหตุผลที่เจ้าต้องมาเองเช่นนี้”
“เจ้า!” ฟู่ซินอี๋กระทืบเท้าไม่พอใจ “ทำปากเก่งให้ตลอดเถอะ!”
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ