“เรื่องนี้ ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้ ข้า…”
“ข้าถามความสมัครใจของเจ้า ความรู้สึกของเจ้า ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องผู้อื่น หากว่าเจ้ายินยอม ข้าก็จัดการสู่ขอตามประเพณี แต่หากว่าเจ้าปฏิเสธ….”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา นึกอยากรู้ว่าคำตอบนั้นทันที หากนางปฏิเสธ เขาจะทำเช่นไร
“ข้าก็พยายามให้เจ้ามองข้าใหม่ และสู่ขอเจ้าอยู่ดี”
ซู่เย่หลุดขำออกมา นางไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้ บางทีอาจจะต้องใช้เวลา แต่ที่นางรู้แน่ชัดในคืนนี้ก็คือ นางไม่ได้นึกรังเกียจแม่ทัพมู่หลงฟู่ นางจูบกับเขาถึงสองครั้งโดยที่ไม่ได้ขัดขืน ซึ่งความรู้สึกนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉินเว่ยหยางมาก่อน
“เจ้าขำอะไร เหตุใดจึงต้องหัวเราะ”
“เปล่าเจ้าค่ะ ดึกแล้ว ท่านรีบกลับจวนก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ ตอนนี้พิษในกายท่าน น่าจะหมดแล้ว”
“เจ้าตรวจดูก็น่าจะรู้นี่ ลองตรวจก่อนสิ”
เขายื่นมือมาให้นางจับ นางจึงรับมือเขามาวางที่มือเรียวบางของนางก่อนจะจับชีพจรดู
“ยังออกไม่หมด แต่ก็ไม่ร้ายแรงแล้ว เพียงนอนพักผ่อนก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เขาดึงนางเข้ามากอด ตอนนี้เขาได้กลิ่นจากตัวนางได้ชัดเจน รวมถึงกลิ่นที่เรือนผมของนางที่ส่งกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ในสวนพฤกษชาติทำให้เขาไม่อยากปล่อยนางไปเลย ซู่เย่รู้สึกว่าหัวใจนางเต้นแรงขึ้นอีกแล้ว แต่เมื่อหยุดนิ่งในอ้อมกอดเขา และหลับตาลงกลับพบว่า หัวใจของเขาก็เต้นแรงพอๆ กับนางเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ คือว่า...”
“เจ้าลองเรียกข้าว่า พี่ฟู่ ได้หรือไม่”
“เอ่อ…นั่น ไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่นะเจ้าคะ”
“ซู่เย่ หากเจ้าไม่ทำ ข้าอาจจะจูบเจ้าอีกนะ”
“พี่ฟู่”
เขาคลายอ้อมกอดนั้นออก ก่อนจะใช้มือจับที่แก้มเย็นๆ ของนาง เขาปล่อยนางยืนตากลมนานแล้ว ควรจะให้นางกลับเข้าจวนเสียที เขาก้มลงมา ก่อนที่นางจะเบี่ยงหน้าหนี
“ท่านบอกว่าจะไม่รังแกข้าอีก”
เขาจับหน้านางไม่ให้หนี ก่อนที่จะก้มลงหอมแก้มเย็นๆ แต่นุ่มและหอมมาก และอดไม่ได้ที่จะจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของนางเป็นการเอ่ยลาสำหรับคืนนี้
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว เจ้ากลับเข้าห้องเถิด ข้าจะเดินกลับเอง”
ซู่เย่ที่ยืนแข็งทื่อเพราะพึ่งถูกจู่โจมมายังคงทำตัวไม่ถูก ก่อนที่นางจะรีบบอกเขา
“ข้าขอลาเจ้าค่ะ”
นางย่อตัวส่งเขา ก่อนที่จะรีบหันเดินกลับเข้าจวนไป โดยไม่ได้หันมามองเขาอีก มู่หลงฟู่มองตามหลังของนางไป ไม่คิดว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนทำให้เขารู้ใจตนเองว่าต้องการทำอะไรกันแน่ เขาคงต้องเร่งส่งข่าวกลับไปหามารดา เพื่อเตรียมเร่งทำการสู่ขอจินซู่เย่มาเป็นฮูหยินของเขาเสียที…..
จินซู่เย่เดินตัวลอยกลับไปที่ห้องนอน ก่อนที่นางจะเผลอ เดินไปดูที่อ่างอาบน้ำที่เขาเคยแช่ และหันกลับมาอย่างรู้สึกอับอายกับการกระทำนั้นของตน
“บ้าเหรอ คิดอะไรอยู่น่ะ จินซู่เย่ นอนได้แล้ว”
จวนแม่ทัพ เมืองหย่งตู
“เจ้าว่าอย่างไรนะ มีคำสั่งลงมาแล้วงั้นหรือ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ ให้ท่านอยู่ประจำที่หย่งตู ยังไม่ต้องกลับเข้าเมืองหลวงขอรับ”
“ดูท่า เรื่องที่ซู่เย่ได้ยิน จะเป็นความจริงสินะ ระแวงข้าขนาดนี้ ถึงขั้นไม่ให้กลับเข้าเมืองหลวง นอกจากนั้นล่ะ มีคำสั่งใดเพิ่มอีกหรือไม่”
กงจื่อและกงเซียวมองหน้ากัน และยื่นราชโองการสีเหลืองทองส่งมาให้เขาอ่านและจดหมายอีกหนึ่งฉบับเขารับมาอ่าน และรีบวางทันทีด้วยความโมโหอย่างที่สุด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หึ จะพระราชทานสมรส บุตรีของราชครูผังเจินให้ข้า ถามข้าสักคำหรือไม่ ร้ายกาจมาก คิดว่าข้าเป็นหมูในอวยของเจ้างั้นเหรอ ฝนหมึกให้ข้าที ข้าจะเขียนหนังสือส่งไปที่เมืองหลวง”
เขาเริ่มเขียนหนังสือส่งไปยังเมืองหลวง ปฏิเสธการแต่งงานพระราชทานสมรส ในเมื่อเขาปราบกบฏหย่งตูได้ และฝ่าบาทให้รั้งดินแดนนี้เอาไว้ เขาไม่มีทางแต่งกับบุตรสาวราชครู ผู้มากด้วยกามารมณ์เช่นนาง ชื่อเสียงของนางเป็นที่ฉาวโฉ่ทั่วเมืองหลวง สตรีงามล่มเมืองแต่ชอบเที่ยวหอนายโลมชายเป็นที่สุด
จดหมายถูกส่งกลับ ก่อนที่เขาจะออกมาสูดอากาศนอกจวนด้วยการขี่ม้ามาที่เนินเขา เป็นสถานที่ที่พบกับจินซู่เย่ในครั้งแรก ไม่กลับเมืองหลวงก็ดี เขาเพียงเป็นห่วงมารดาที่เริ่มอายุมากแล้ว และนางก็พึ่งสูญเสียบิดาไป อย่างไรเสีย เขาก็คงต้องหาโอกาสกลับเมืองหลวงไปเยี่ยมนาง……
“ข้าจะกลับไปเยี่ยมท่านแม่ และไปเคารพสุสานท่านพ่อด้วย อาจจะไม่อยู่สี่ห้าวัน ระหว่างนี้ก็ปิดจวนเอาไว้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
เขาเร่งขี่ม้าเร็วกลับเมืองหลวงด้วยเรื่องสำคัญ แม้ว่าจดหมายปฏิเสธการแต่งงานจะถูกส่งไปก่อนแล้ว แต่เขาคิดว่าราชครูคงไม่หยุดแค่นี้แน่ เขาต้องเร่งจัดการเรื่องนี้ก่อน และอธิบายให้มารดาของเขาฟัง ว่าเขามีสตรีในดวงใจแล้ว
จวนสกุลมู่
“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาแล้ว สวรรค์ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ไปเรียนฮูหยินเร็วเข้า เร็วๆ เข้า”
ที่นี่เรียกเขาว่าท่านโหวน้อย เนื่องจากการตายของบิดาในสนามรบ ฮ่องเต้ได้พระราชทานยศให้บิดาของเขา ตำแหน่งท่านโหว จึงสืบทอดตกมาเป็นของเขา สตรีสูงวัยมีสาวใช้ในวัยใกล้เคียงกันพยุงมา เดินมาหาเขา ก่อนที่เขาจะเดินมาคุกเข่าต่อหน้านาง
“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาหาท่านแล้ว”
“มู่หลงฟู่ ลูกแม่ เจ้ากลับมาแล้ว ลุกขึ้นมาให้แม่กอดหน่อย หลงฟู่ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง โอ..ลูกแม่”
น้ำตาของผู้เป็นมารดาไหลไม่หยุดเมื่อนางมองเห็นบุตรชายที่มีลมหายใจเดินเข้ามาหานางที่จวน เขามองหน้ามารดา ที่บัดนี้นางเริ่มมีริ้วรอยจากความโศกเศร้าและอายุที่มากขึ้น แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้เขา ยังคงเป็นมารดาที่อ่อนโยน ใจดีดั่งเช่นวันวาน
“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ลูกกลับมาเยี่ยมท่านแม่และมากราบป้ายวิญญาณท่านพ่อด้วย”
“แม่ให้ท่านพ่อรออยู่บนเขา หากเจ้าอยากไปก็บอกพ่อบ้านจุนนำทางเจ้าไป ลูกแม่ แม่ทราบข่าวแล้ว ฝ่าบาทให้เจ้ารั้งอยู่เมืองหย่งตู ระหว่างรอเจ้าเมืองคนใหม่ไปประจำการ เจ้าอยู่ที่นั่น เป็นเช่นไรบ้าง”
“ลูกสบายดีขอรับท่านแม่ วันนี้ลูกมีเรื่องจะปรึกษากับท่านแม่ด้วยขอรับ”
พ่อบ้านจุนรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะรีบแจ้ง
“ท่านโหว ฮูหยินขอรับ คุณหนูผังอี้เหมยมาขอพบขอรับ”
“นางคือ!!”
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้อยากเจอหน้านาง”
“ท่านโหว เหตุใดจึงมิอยากเจอข้าหรือเจ้าคะ”
กลิ่นฉุนของน้ำหอมสตรีที่เตะจมูกเขารุนแรงเช่นนี้คงมิใช่ใครอื่น นอกจากสตรีงามล่มเมืองของต้าซ่ง ผังอี้เหมย บุตรสาวราชครูผังที่เลื่องชื่อ
“ข้าน้อยผังอี้เหมยคารวะฮูหยินมู่ ท่านโหวเจ้าค่ะ”
“แม่นางผัง เชิญตามสบายเถิด นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณฮูหยิน”
นางเลือกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพื่อจะได้มองแม่ทัพหนุ่มได้ชัดขึ้น
“แม่นางผัง เจ้ามีธุระอันใดที่จวนข้างั้นหรือ”
เขายังคงถามเสียงแข็งกร้าว เพราะไม่ได้อยากต้อนรับหรือร่วมสนทนากับนางแม้แต่น้อย
“ข้าควรจะถามท่านเสียมากกว่า เหตุใดท่านจึงกล้าส่งจดหมายปฏิเสธการแต่งงานของเราสองคนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้”
เขามองนางที่กำลังส่งสายตาผิดหวัง โมโห และไม่พอใจมาให้เขา
"ข้าได้อธิบายเหตุผลไปกับจดหมายที่ส่งถึงฝ่าบาทแล้ว เรื่องนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ผู้อื่นทราบ…..
สองวันถัดมาอาการแพ้ท้องแทนฮูหยินของท่านโหวยังคงมีเรื่อย ๆ และเริ่มเบาบางลงในวันที่สาม ก่อนที่เขาจะบอกให้ฮูหยินเตรียมตัวออกจากจวน“ท่านจะพาข้าไปที่ใดเจ้าคะ”“ไม่ไกลหรอก ไม่ต้องห่วง ไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากให้เจ้านั่งรถม้าสักเท่าใดนักหรอก”รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนและมุ่งหน้าตรงไปทางวังหลวง และเลี้ยวไปยังจวนของพี่ใหญ่สกุลจิน“ทางนี้ ไปบ้านพี่ใหญ่นี่เจ้าคะ หรือว่าท่านจะพาข้ามาเยี่ยมหลานงั้นหรือเจ้าคะ ท่านพี่ ท่านอยากลองเลี้ยงลูกดูหรือเจ้าคะ”“นานแล้วที่เจ้าไม่ได้เจอพี่ใหญ่นี่นา ตั้งแต่วันงานแต่ง เจ้าก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเรากลับหย่งตูเสียก่อน พอกลับมาก็ต้องดูแลข้าที่เป็นแบบนี้อีก”“มันเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”รถม้าเคลื่อนตัวจนถึงหน้าจวนสกุลจิน ก่อนที่กงเซียวจะเดินลงมาเปิดประตูให้พวกเขาเดินลงไป มู่หลงฟู่เดินลงไป ก่อนจะไปรอรับซู่เย่ที่ด้านล่างเพื่อรับนางลงมาและทั้งหมดก็เดินเข้าไปในจวน“ซู่เย่ เจ้ามาแล้ว ฮูหยินน น้องสามมาแล้ว เอาน้ำชามาเร็ว มาๆ นั่งก่อน ให้ข้าตรวจครรภ์เจ้าหน่อย”“พี่ใหญ่ นี่ท่านพี่ส่งข่าวมาบอกท่านเร็วขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ”“แน่นอนสิ เ
“ฮูหยิน ข้างหน้านี้แหละ”“ท่านพี่ ถึงแล้วหรือเจ้าคะ”พวกเขาเดินขึ้นเขาเพื่อมาไหว้หลุมศพของสกุลจิน ซู่เย่พึ่งจะเคยมากราบท่านพ่อ หลังจากเกิดเรื่องที่สกุลจินเมื่อหลายเดือนก่อนเมื่อมาถึง นางคุกเข่าลงก่อนจะกราบคำนับป้ายหลุมศพสีขาวที่พี่ใหญ่ของนางกับสามีนางจัดการทำให้คหบดีที่ยิ่งใหญ่ของหย่งตูเพื่อนาง“ท่านพ่อ พี่รอง ข้ามาหาพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาเพื่อบอกว่าคนชั่วที่ทำร้ายพวกเรา ได้ถูกลงโทษไปแล้ว พวกเขาได้รับผลกรรมจากการกระทำชั่วของพวกเขาไปแล้ว หลังจากนี้ พวกท่านอย่าได้มีห่วงอันใดอีกเลยเจ้าค่ะ”นางกราบหลุมศพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่ามีดอกไม้ที่มาวางเอาไว้ เหมือนกับว่าจะถูกวางก่อนหน้าที่นางจะมาเพียงไม่นาน ทำให้ซู่เย่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าผู้ใดกันที่มากราบไหว้หลุมศพพวกเขา เมื่อนางมองไปรอบๆก็พบว่าบริเวณโดยรอบมีการดูแลรักษาอย่างดี หญ้าและสิ่งสกปรกล้วนไม่มี“ท่านพี่เจ้าคะ”“ว่าอย่างไรหรือฮูหยิน เจ้ารู้สึกเหนื่อยงั้นหรือ นั่งพักสักครู่ เดี๋ยวข้าจะให้ชิงชิงเอาน้ำมาให้”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านดูสิเจ้าคะ รอบๆหลุมศพนี้ เหมือนกับว่ามีผู้มาคอยดูแลตลอด ทั้งๆที่…”มู่หลงฟู่มองตามที่ฮูหยินของเขาพูด เขาก็พ
หลังจากศึกเมืองฉางอันเสร็จสิ้น และทรราชผังเจินถูกประหารชีวิตไปร่วมสองเดือน กำหนดการณ์งานสมรสของท่านโหวมู่หลงฟู่และจินซู่เย่จึงได้ออกมาแต่เนื่องจากมู่หลงฟู่ได้สูญเสียบิดาไปยังไม่ครบสามปี ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกเขาจึงมิอาจจัดงานมงคลที่เอิกเกริกได้ดังปกติทั่วไปงานสมรสของทั้งคู่จึงจัดเพียงยกน้ำชาให้มู่ฮูหยิน กราบศาลบรรพชนสกุลมู่ งานเลี้ยงเล็กๆภายในครอบครัว ส่งตัวเข้าหออย่างเรียบง่าย ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจจินซู่เย่และมู่หลงฟู่เพราะทั้งคู่ก็มิได้ชอบงานที่ยิ่งใหญ่วุ่นวายมากนัก“แม่ขอให้พวกเจ้ารักกัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า หนักนิด เบาหน่อยก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”""ขอบคุณท่านแม่""“คำนับฟ้าดิน”“คำนับบุพการี”“คำนับกันและกัน”“ส่งตัวเข้าหอ”ห้องส่งตัวมู่หลงฟู่ หลังจากเสร็จสิ้นการส่งแขกที่มีเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทไม่กี่คน ก็เดินเข้ามายังห้องส่งตัว แม่สื่อที่รอบอกขั้นตอนและปิดประตูให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันเขาเดินไปหยิบไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาวของเขาก่อนจะตกตะลึงกับเจ้าสาวที่งดงามราวบุปผาที่บานสะพรั่ง เขาไม่เคยเห็นซู่เย่ที่แต่งหน้าจัดมากขนาดนี้ แต่นางก็ยังงดงามม
เมื่อเขาควบม้ามาถึงหน้าจวนสกุลจิน เขาก็พบกับพ่อบ้าน ที่รีบวิ่งออกมาต้อนรับพวกเขา“พ่อบ้าน ข้าอยากจะขอพบท่านหญิงจินซู่เย่”“เรียนท่านโหว ท่านหญิงมิได้อยู่ที่จวนขอรับ”“แล้วนางไปที่ใดกัน”“คือว่านาง จะเดินทางกลับไปหย่งตูเลยออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ ไปแล้ว!!”“เอ่อ…ขอรับ ไปซื้อของเมื่อเช้ามืดขอรับ”เขาไม่ทันรอฟังให้จบ ก่อนจะควบม้าทะยานออกไป ก่อนที่จะหยุดที่ประตูเมือง“ซู่เย่ เหตุใดจึงทิ้งข้า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับข้านัก”แม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในจวนด้วยความหดหู่ ก่อนจะนั่งจิบสุราโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว มู่ฮูหยินเดินมาหาเขา ที่บัดนี้ได้กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว“เหตุใดมาดื่มสุราอยู่ที่นี่ เจ้าไปหาซู่เย่มามิใช่หรือ ทำไม ทะเลาะกับนางมา หรือว่านางไล่เจ้ากลับมาอีกล่ะ”“แบบนั้นจะยังดีเสียกว่าขอรับ นี่นางเล่นหนีไปเลย”“หนีไป เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“นางหนีไปแล้ว นางทิ้งข้าไปแล้วขอรับท่านแม่”มู่ฮูหยินฟังเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง นางมองหน้าแม่นมหยุน นางเข้าใจในทันที ก่อนจะเดินออกไป“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน บอกแม่มาสิ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านางหนีไปแล้ว นางจะหนีไปไหนได้”“ข้าไปหานางเมื่อเช้านี้ขอรับ
วันรุ่งขึ้น นางนั่งรถม้าไปพร้อมกับมู่หลงฟู่ เมื่อคืนนี้กว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสาง นางรู้ว่าสามีนางนั้นเป็นทหารกล้าที่แข็งแรง แต่ไม่คิดว่าจะทำเอานางหมดแรงได้ขนาดนี้ นี่ขนาดนั่งรถม้ามาส่ง เขาก็จูบนางไม่หยุดตั้งแต่ออกจากจวนมา จนเกือบจะถึงจวนสกุลจิน“ท่านปล่อยข้าก่อนสิ ข้ามิได้ดูทางเลย ท่านพี่ หยุดก่อน”“ไม่เอา เจ้าจะอยู่กับหมอจินกี่วันกี่คืน แล้วข้าจะนอนคนเดียวกี่คืน ซู่เย่ เรามาแค่เยี่ยมพวกเขา แล้วกลับเลยได้หรือไม่”“ท่านพี่ เราคุยกันแล้วนี่เจ้าคะ เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อีก”“ก็ข้าไม่อยากอยู่ห่างเจ้า ซู่เย่ ไม่อยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ กลับจวนเรากันเถิดนะ”“หากท่านยังพูดไม่หยุด ข้าจะอยู่จวนสกุลจินตลอดไป จนกว่าจะถึงพิธีแต่งงาน”มู่หลงฟู่ยอมปล่อยนาง ก่อนที่จะหันมานั่งเฉยๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ ซู่เย่รู้สึกได้อิสระทันที กว่าเขาจะยอมปล่อยนางได้ พร้อมกับหันไปมองคนตัวโตที่นั่งไม่พอใจอยู่“โกรธหรือเจ้าคะ”“…..”“ท่านพี่”“ท่านแม่ทัพขอรับ ถึงจวนสกุลจินแล้วขอรับ”“ข้าไปนะเจ้าคะ ท่านพี่”นางหันไป แต่เขายังไม่มองกลับมา ก่อนที่นางจะเดินลงจากรถม้าเอง และก็เป็นเขาที่สั่งให้รถม้าออกตัวไปทันทีโดยที่ไม่ได้ลงมาส่
จวนสกุลมู่“น้องสาม ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าเสียที”“พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่า ท่านทราบมาโดยตลอด ว่าข้าอยู่ที่นี่”“ใช่ แม่ทัพมู่บอกข้าตั้งแต่หย่งตู วันที่ฝังโลงเปล่านั่นแล้ว ทำให้ข้ามีแรงจะกลับเมืองหลวง อย่างน้อยก็เพราะรู้ว่ามีเจ้าอยู่ มิเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”“พี่ใหญ่ ท่านมีครอบครัว มีลูกแล้ว เหตุใดท่าน…”“ก็เหมือนเจ้าหรือมิใช่ เจ้าเองก็เกือบจะฆ่าตัวตาย หากท่านแม่ทัพไม่ได้ช่วยเจ้าขึ้นมา”“นั่นแสดงว่าพวกท่าน รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านช่วยฮูหยินได้อย่างไรเจ้าคะ”ย้อนกลับไป….“ฮูหยินเจ้าคะ ยาเจ้าค่ะ”“อืม นี่ยาอะไร”“ท่านหมอเย่สั่งเอาไว้ให้ท่านดื่มเจ้าค่ะ”“ออ งั้นหรือ อ่อ เจ้าน่ะให้คนไปแจ้งท่านโหวด้วยก็แล้วกันว่าหมอเย่ออกไปที่ตลาด”ฮูหยินสั่งสาวใช้ที่ยกยามาให้ออกไปแจ้งคน ก่อนจะทำท่ายกยาดื่มให้สาวใช้คนนั้นเห็น“ฮูหยินเจ้าคะ นี่มัน…”“ไม่ผิดแน่ นางไม่อยากรอแล้ว นางอยากกำจัดข้า แต่เสียดายที่ใช้คนโง่”“ท่านพึ่งจะกินยาที่ท่านหมอเย่ต้มให้ แต่นางกลับมาช้า และไม่ทันได้มองถ้วยยาเดิม”“แม่นมหยุน ให้คนไปแจ้งอาฟู่ว่ามีคนพาซูเย่ออกไปแล้ว ให้รีบกลับจวน และเจ้าเก็บตัวอย่างนี้