ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี
“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”
ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน
“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”
ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที่นางจะสั่งให้นางกำนัลนำถ้วยชามและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง
“ก็รู้อยู่หรอกว่าเจ้าเพิ่งกลับจากตำหนักใหญ่ คงอยากพักผ่อน แต่ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่พี่ก็เริ่มรู้สึกว่ากินข้าวคนเดียวไม่อร่อยแล้ว จึงให้เด็กๆ อุ่นอาหารรอเจ้ากลับมา”
หยวนเพ่ยค้อมศีรษะน้อยๆ “ขอบพระทัยพระสนม”
“เรียกพี่ใหญ่เถอะ”
“เพคะ พี่ใหญ่” ฟู่หยวนเพ่ยยิ้มอ่อนบาง ก่อนรับถ้วยน้ำแกงใบบัวข้นที่นางกำนัลตักให้ มาตักกินไปคำหนึ่ง รสชาติหวานกลมกล่อม มีกลิ่นหอมสดชื่นของใบบัวอ่อนๆ ชวนให้เจริญอาหาร
“เป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาทรังแกเจ้าหรือไม่” ลี่เฟยเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เพคะ ฝ่าบาทใจดีกว่าที่หม่อมฉันคิดมากทีเดียว” หยวนเพ่ยตอบพลางเปลี่ยนไปตักข้าวต้มแปดรัตนะแทน
มีแต่นางน่ะสิที่จะรังแกเขา...ไม่สิ...พูดไม่ถูก...นางรักษาอาการไหล่ติดให้ก่อนจะสายเกินการณ์มากกว่า
“แล้ว...พระองค์โปรดเจ้าหรือไม่” ลี่เฟยเอ่ย แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่ฟังแล้วคล้ายฉายแววไม่พอใจ
ครานี้ฟู่หยวนเพ่ยกลอกตาไปมา ถ้าภายในสองสามวันนี้เขาออกว่าราชการได้โดยปากไม่เบี้ยว ก็นับว่าโปรดก็แล้วกัน “...ถวายตัวคราแรก มิอาจบ่งชัดว่าโปรดไม่โปรดเพคะ”
“ไม่ต้องมาปดพี่ ลี่กงกงที่อยู่งานที่ตำหนักใหญ่เมื่อคืนมาเล่าให้ฟังว่า ฝ่าบาทพอพระทัยมาก จนกระทั่งเช้าวันนี้ไม่ทรงออกว่าราชการด้วยซ้ำ”
เด็กสาวกะพริบตาปริบ นอกจากทึ่งในด้านการหาข่าวสารในวังที่รวดเร็วทันใจของผู้เป็นพี่สาวแล้ว ยังอดสมเพชในหูของขันทีหน้าตำหนักที่คิดว่าเสียงร้องโอดโอยราวสัมภเวสีนั้นเป็นเสียงกระเส่าของชายหญิงที่ร่วมอภิรมย์ไปได้
เอาเถอะ จะคิดอะไรก็คิดไป “หม่อมฉันแค่ถวายการนวดให้ฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทจะส่งเสียงอันใดออกมา ก็มาจากสาเหตุนั้นเพคะ พี่สาวอย่าได้กังวล”
“เจ้าเด็กคนนี้ พูดอันใดก็ไม่รู้” ลี่เฟยหัวเราะเสียงใสขณะที่คีบอาหารให้หยวนเพ่ยอีกมากมาย น้ำเสียงท่าทีเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “เพียงแต่เจ้าเคยบอกว่าเจ้าไม่ชอบฝ่าบาท พี่ก็แค่กลัวว่าพระองค์จะบังคับฝืนใจ ทำให้เจ้าทนทุกข์”
อา...ฟังดูเหมือนห่วงใย แต่ไม่ใช่
ก็ไม่แปลกหรอก พี่น้องต่อให้รักมากเพียงใด แต่ถ้าต้องใช้สามีร่วมกัน ความรู้สึกหึงหวงย่อมก่อเกิด...เช่นนั้นที่นางชิงตอบว่าไม่ชอบนั้นนับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
วังหลวงแห่งนี้มีเหตุการณ์พลิกผันได้ตลอดเวลา วันนี้รักกันดั่งพี่น้อง วันหน้าอาจหยิบดาบประหัตประหารกัน...นางขอเพียงอยู่อย่างสงบและรอคอยให้หลานตัวน้อยของนางถือกำเนิดขึ้นมาอย่างปลอดภัยดีกว่า
ชีวิตก่อนหน้าลำบากทนทุกข์แสนสาหัส พอจะสุขสบายเข้าหน่อยก็มาจากโลกนี้ไป ชาตินี้ได้เกิดในตระกูลร่ำรวย มีพี่สาวเป็นถึงพระสนมสูงศักดิ์ เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้ว
ในช่วงสองสามวันนี้ ฟู่หยวนเพ่ยถือว่าอยู่อย่างสงบสุขที่สุด
เช้าไปคอยดูแลปรนนิบัติลี่เฟยที่กำลังตั้งครรภ์ แม้จะมีการนวดถวายบ้าง แต่ก็จะกระทำด้วยความระมัดระวัง โดยจะเน้นการนวดกดจุดที่แขน ขา และหลังเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการที่ร่างกายต้องรับหน้าที่แบกน้ำหนักทารกเท่านั้น และที่สำคัญคือจะไม่นวดที่หน้าท้องเด็ดขาด ซึ่งถือว่าเป็นกฎเหล็กสำคัญที่คนทำอาชีพนวดต้องพึงระลึกไว้เสมอ
หลังจากเสร็จสิ้นการดูแลพี่สาว หยวนเพ่ยมักไปอาสานวดแป้งหมี่ที่ห้องเครื่องของตำหนักชุนชิวเป็นประจำ ซึ่งตำหนักนี้เป็นตำหนักเดียว ไม่นับตำแหน่งหวงโฮ่วที่มีห้องเครื่องสามารถประกอบอาหารได้โดยไม่ต้องรออาหารจากห้องเครื่องหลวง อีกทั้งยังมีพ่อครัวจากหยางโจวที่เป็นบ้านเกิดของนางและลี่เฟยที่หวงตี้ว่าจ้างให้มาทำอาหารขึ้นชื่อให้กินจนหายคิดถึงบ้านอีก…
นี่สินะที่เรียกว่าสิทธิพิเศษของคนโปรด…
หยวนเพ่ยอาศัยการนวดแป้งนี้ฝึกกำลังนิ้ว มือ แขน และเอวเพื่อให้มีพละกำลังในการนวดมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านเกิด ตอนแรกท่านปู่ท่านย่าก็ดูจะไม่ค่อยพอใจนักที่คุณหนูอย่างนางไปขลุกอยู่แต่ในครัว แต่เมื่อได้เห็นนางสำแดงผลจากการที่ฝึกฝนนวดคลายเส้นแบบราชสำนักตำรับสำนักอู๋ฝอซื่อจนกระทั่งอาการปวดเมื่อยหายขาด หยวนเพ่ยก็ขึ้นเป็นหลานสาวคนโปรดในจวนสกุลฟู่ไป จากนั้นเวลานางหายเข้าไปในครัวครั้งต่อไปจึงไม่มีใครคอยตำหนิติเตียนอีก
เด็กสาวเทแป้งหมี่ลงมาที่โต๊ะ เว้นให้เป็นหลุมตรงกลาง เติมเกลือ น้ำตาล และน้ำ จากนั้นจึงค่อยตะล่อมนวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน มือเล็กเปี่ยมเรี่ยวแรงบีบนวดขยำ จินตนาการว่าเป็นผิวเนื้อของผู้ที่มานวด แล้วจึงฝึกเน้นระดับความหนักเบาเพื่อไม่ให้ลืมว่า คนในช่วงใดต้องใช้น้ำหนักมือในการนวดแบบไหน
พวงแก้มเด็กสาวแดงก่ำ เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพรายที่หน้าผากจากการได้ออกแรง ใบหน้ามอมแมมไปด้วยแป้งหมี่ แต่ยังมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า คล้ายเด็กสาวชาวบ้านที่ช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ต่างจากทุกทีที่ทำหน้าเคร่งขรึม ยิ่งคนรอบข้างได้เห็นยิ้มหวานๆ ก็ชวนให้ดวงตาพร่าลาย
หลังจากนวดแป้งเสร็จ นางจึงเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ คลุมแป้งไม่ให้แห้งแข็ง ในขณะที่กำลังชื่นชมผลงานของตนเองอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงหวีดร้องจากด้านนอกพร้อมกับเสียงสั่นเครือ
“ถะ...ถวายพระพรฝ่าบาท”
ฟู่หยวนเพ่ยหุบยิ้ม ไม่ยอมหันไปมองด้านหลัง
ฝ่าบาท? หรือว่าที่นวดไว้เมื่อคราวก่อนจะ…
“ฟู่หยวนเพ่ย”
“.........!?” หยวนเพ่ยสะดุ้งโหยง ก่อนค่อยๆ หันมา ก็เห็นสีพระพักตร์จริงจังของหวงตี้ ร่างกายเขายังอยู่ครบสามสิบสอง ปากไม่เบี้ยว คอและไหล่ไม่ผิดรูป ซ้ำยังมีท่าทีกระฉับกระเฉงแข็งแรงจนแผ่รังสีน่าครั่นคร้ามออกมา
“ถะ...ถวายพระพรฝ่าบาท” หยวนเพ่ยย่อกายคารวะ แต่ไม่ทันจะยืดตัวขึ้น เขาก็ก้าวประชิดตัว สองมือจับที่แขนของนางแน่น พลางเอ่ยด้วยเสียงที่แสดงความปรารถนาออกมาเต็มเปี่ยม
“ฟู่หยวนเพ่ย เราต้องการเจ้า”
"ต้องการหม่อมฉัน?"
ฟู่หยวนเพ่ยกะพริบตาปริบๆ หรือว่าคืนนั้นนางนวดแรงเกินไปจนไปกระทบสมองของโอรสสวรรค์ผู้นี้ จึงได้เกิดพิศวาสนางขึ้นมา
เขาพยักหน้า "เราต้องการเจ้าเดี๋ยวนี้"
น้ำเสียงนั้นแฝงความดื้อดึงเอาแต่ใจ ยังมิทันเอ่ยปากปฏิเสธ นางก็ถูกเขาดึงมือให้เดินตามเขาไป ทั้งได้ยินเสียงเขาร้องถามนางกำนัลว่าห้องนอนของนางอยู่ที่ใด
เมื่อได้รับคำตอบ เขาก็กึ่งเดินกึ่งจูงฟู่หยวนเพ่ยมายังห้องด้านในที่เป็นห้องนอนของนาง จากนั้นจึงให้นางนั่งบนเตียง มองเขาค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นจนเห็นร่างกายกร้าวแกร่งขัดกับผิวกายขาวผ่องนั้น
"ฝ่าบาท..." ฟู่หยวนเพ่ยอ้าปากค้าง มองเขาที่หอบน้อยๆ จากการกระทำอันบ้าบิ่นของตนเอง จากนั้นจึงนั่งลงใกล้ๆ นาง หยวนเพ่ยเขยิบตัวหนี แต่เขากลับคว้ามือนางไว้ อย่างไรก็ไม่ให้นางหนี
"ฟู่หยวนเพ่ย นับตั้งแต่คืนนั้นเราก็ไม่อาจลืมเจ้า ไม่อาจลืมรสมือ (และเท้า) ที่ได้สัมผัสตัวเรา..."
นางขยับปากขึ้นลง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ไฉนคำพูดเขาคล้ายเท้าความความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชายหญิง
นั่นนวด! นวดนะ!
"ฟู่หยวนเพ่ย เราขอร้อง ใช้เท้าของเจ้าเหยียบข้าอีกครั้งนะ"
[1] หมายถึงสีของต้นโกฐจุฬารัมพา
[2] ดอกไม้โลหะ ที่วาดหรือติดบนหว่างคิ้ว