ฟ่านรั่วเจี๋ย รู้ดีว่าบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นดินถูกรุกรานโดยอีกฝ่ายมีแม่ทัพใหญ่ เขาเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง มู่ชิงซาน และถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่าแห่งรัตติกาล’ คนผู้นี้กระหายสงคราม เป็นบุรุษที่ผีเห็นยังหวั่น
ทว่าโชคชะตากลับพลิกผัน เมื่ออ๋องปีศาจต้องตกอยู่ในกำมือหญิงอัปลักษณ์ เขากลายเป็น ‘เจ้าเป็ดน้อย’ ความคิดอ่านเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้ความ และเรียกฟ่านรั่วเจี๋ยว่า ‘มารดา’ ภายใต้เหตุการณ์แสนประหลาดนี้ นางจะเลือกชำระแค้นด้วยการสังหารศัตรู หรือกักขังเขาไว้ให้เป็นบุตรชายกำมะลอ
แต่รู้ตัวอีกที...ฟ่านรั่วเจี๋ยก็แจ้งใจว่า ความอัปลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของนาง คือสิ่งที่อ๋องปีศาจปรารถนาอยากครอบครอง!
บทนำ
ณ แคว้นหมิง ฟ่านรั่วเจี๋ยออกมาเก็บสมุนไพรเพื่อปรุงตำรับยาสูตรลับ พร้อมตามหาแมลงเต่าทองกับด้วงกว่าง ยามนี้นางอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอสมควร หญิงสาวเพลิดเพลินใจอยู่นานกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงม้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เมื่อสืบเท้าไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใด หัวใจพลันหล่นวูบไปอยู่ตรงปลายเท้า ภาพที่เห็นคือหายนะครั้งใหญ่ในชีวิต สองมือเรียวงามชื้นไปด้วยเหงื่อ และการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์เหล่านั้นซึ่งประจักษ์ต่อดวงตากลมโตส่งผลให้สมองขาวโพลนชั่วขณะ
ชีวิตที่อยู่อย่างระแวดระวังภัยมาโดยตลอดนับแต่มารดาสิ้นใจในสภาพ‘คนหมู’ ซึ่งถูกทำให้ตายอย่างอนาถด้วยการตัดหู ปาก จมูก รวมถึงมือและเท้า แล้วโยนลงกองอาจม ถึงนางจะยังเด็กในช่วงเวลานั้น แต่เสียงร้องของมารดายังกรีดก้องในหัวยามนึกถึง ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฟ่านรั่วเจี๋ยจึงมิอาจไว้ใจผู้ใด
และสถานการณ์ตรงหน้านี้นางคาดคะเนว่าคือภัยร้ายต่อคนในแคว้นหมิง แน่นอนมันย่อมส่งผลกระทบถึงนางด้วย ตอนนี้กองกำลังของทหารผู้มาเยือนมีมากจนนับไม่ถ้วน ธงประจำตัวสีดำมีอักษรสีแดงโลหิตโดดเด่นซึ่งแจ้งชัดว่าผู้นำทัพเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง เขาคือชายผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่ารัตติกาล’ คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ราวแปดฉื่อ[1] คือชายผู้กระหายสงครามที่ผีเห็นยังหวั่น โดยเล่าขานกันว่า เขาดื่มเลือดและกัดกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร!
มู่ชิงซาน คือชื่อของเขา เพียงแค่เอ่ยถึงฟ่านรั่วเจี๋ยก็ขนลุกไปทั้งสรรพางค์กาย และนางได้ยินผู้คนโจษขานถึงความโหดเหี้ยมของเขามาช้านานชินอ๋องผู้นี้ต้องการประกาศศักดาของแคว้นต้าหลาง เขาหวังครอบครองแคว้นหมิง แผ่นดินที่มีอารยธรรมมายาวนานหลายพันปี อีกทั้งการแพทย์เจริญก้าวหน้า นับเป็นขุมทรัพย์ของอีกเจ็ดแคว้นที่เหลือ
วันนี้นางโชคร้ายเหลือเกินที่ได้เห็นชายตัวโตนั่งอยู่บนหลังม้าศึก เขาสวมหน้ากากเหล็กซึ่งตอกสลักเป็นรูปหัวหมาป่า ดูดุดันน่าเกรงขาม ความสงสัยใคร่รู้ไหลวนอยู่ในหัวฟ่านรั่วเจี๋ยจนก่อเกิดความเครียดมหาศาล เหตุใดมู่ชิงซานจึงยกกำลังมาที่นี่ ด้วยมีข้อตกลงระหว่างเจ็ดแคว้นว่าห้ามมิให้ยึดครองแคว้นหมิง พร้อมให้อิสระในการปกครองตนเองโดยไม่ต้องขึ้นตรงต่อแคว้นใด
จากนั้นความรู้สึกเย็นเยียบก็เข้าปกคลุมจิตใจหญิงสาว หากเกิดศึกสงคราม นางจะเอาตัวรอดอย่างไร แผ่นดินที่นางเกิดอ่อนด้อยเรื่องการศึกกว่าทุกแคว้น นอกจากนั้นพืชผักและสมุนไพร รวมถึงสัตว์หลายชีวิตที่นางเลี้ยงไว้ อาจถูกจับไปเป็นของบรรณาการแก่เหล่าทหารเลวต่างบ้านต่างเมืองเพียงแค่คิดนางก็ครั่นคร้ามใจ
สองขาของฟ่านรั่วเจี๋ยรีบก้าวหนีกลิ่นอายชั่วร้าย นางกึ่งก้าวกึ่งวิ่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งเจียนถึงปากถ้ำเล็กๆ มันคือทางลับเข้าสู่ตำหนักซึ่งเป็นที่อยู่ของตน เป็นห้วงเวลาเดียวกันที่จู่ๆ มีร่างหนึ่งเซถลาเข้ามาปะทะนางก่อนอีกฝ่ายจะเสียหลักล้มพับลงต่อหน้า
หัวใจหญิงสาวหล่นหาย ฟ่านรั่วเจี๋ยมองร่างดังกล่าวด้วยความประหลาดใจ ชายผู้นี้สูงเพรียว มีผ้าดำปกปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ กระนั้นดวงตาดำขลับกับคิ้วเรียวสวยได้แจ้งชัดว่าเขางามกว่าบุรุษทั่วไป เมื่อเขาค่อยๆดึงผ้าปิดหน้าออก ฟ่านรั่วเจี๋ยก็เหมือนถูกสะกดจุดให้นิ่งค้าง
ริมฝีปากบางของเขาเป็นกระจับงาม จมูกโด่งเป็นสัน พิศแล้วชวนให้หลงใหล ผิดแต่ยามนี้ใบหน้าเขาไร้สีเลือด มันขาวซีดราวกับได้รับอันตรายเจียนจะทำให้สิ้นชีพ
“ชะ ช่วยข้าด้วย แม่นาง ข้ามิอาจตายอย่างสูญเปล่า”
หญิงสาวนึกชั่งใจ คราแรกอยากก้าวหนี แต่ด้วยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจเพิกเฉย หากผู้ใดต้องการมีชีวิตและไม่สมควรตาย นางคงต้องยื่นมือช่วยเหลือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม
“หากช่วยท่าน ข้าจะมีความผิดหรือไม่” ฟ่านรั่วเจี๋ยถามออกไป แน่นอนนางย่อมต้องการคำตอบที่น่ารับฟัง
“แม่นาง ได้โปรดจงเห็นแก่ชีวิตผู้คน อย่าให้มีใครต้องล้มตายเลย รีบนำป้ายหยกนี้ไปส่งให้ถึงมือชินอ๋องชิงซาน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการ!!”
เขาเอ่ยจบจึงกระอักเลือดออกมา และยามนี้เขาตกอยู่ในเงื้อมมือของสตรีซึ่งไม่ใช่พระโพธิสัตว์หรือเทพเซียน หากนางคือ...ฟ่านรั่วเจี๋ยอัปลักษณ์แห่งตำหนักเย็น!
[1] แปดฉื่อ = 181.6 - 184.8 เซนติเมตร
มู่ชิงซานกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เขามั่นใจว่าสตรีอัปลักษณ์คงอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ นางเหมือนภูตผีซึ่งหลบซ่อนคอยกัดกินซากสัตว์เน่าตายร่างสูงใหญ่ก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวใคร กระทั่งหูแว่วได้ยินเสียงน้ำตก ด้วยความที่เมื่อยล้าและอยากล้างเนื้อตัว จึงเปลื้องผ้าหวังชำระร่างกายเมื่อเขาลงสู่ผืนน้ำใส ความสดชื่นทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าหายเครียด แต่พอเงยหน้าขึ้นเขารู้สึกวูบเล็กน้อย อีกทั้งปวดศีรษะอย่างรุนแรงยามนั้นชายหนุ่มคิดถึงความผิดพลาดที่ตนไม่ทันเฉลียวใจแต่แรก ด้วยประมาทว่าแคว้นหมิงอ่อนด้อยหลายอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับเดินเข้าสู่กับดัก มู่ชิงซานนึกย้อนถึงป้ายหยกของน้องชายและกล่องไม้ที่มีนิ้วมือมนุษย์ หรือเป็นไปได้ว่าของสองสิ่งนี้ล้วนแอบแฝงด้วยพิษร้ายและตอนนี้มันกำลังเล่นงานเขาหลังจากที่ใช้พลังภายในเพื่อป้องกันตนเองมู่ชิงซานปวดศีรษะรุนแรงกว่าเดิมและมีเลือดไหลออกจากจมูกกับรูหูทั้งสองข้าง อาการหน้ามืดเล่นงานเขาอย่างฉับพลัน แต่เขาพยายามทรงตัวเอาไว้ด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคน แม้ว่าแผ่วเบาแต่มีจำนวนไม่น้อย“ใครมันบังอาจรบกวนข้า” มู่ชิงซานตวาด ก่อนกระโดดตัวลอยเหนือผิวน้ำ เมื่อมีมีดสั้นซึ่งเป็นอาวุธล
อ๋องปีศาจ ท่านทำให้ข้า...คลั่งมู่ชิงซานไม่ได้ประมาท เขารับมือในยามคับขันได้ดีเสมอ ดาบเล่มยักษ์ในมือกวัดแกว่งป้องกันตนเอง กระทั่งไร้ลูกธนูที่พุ่งมาหมายสังหารเขาจึงมีเสียงร้องข่มขวัญก่อนปรากฏร่างของผู้คนที่วิ่งไล่กวดชายหนุ่มผู้หนึ่งดวงตาคมกริบจ้องเขม็งไปยังคนซึ่งวิ่งหนีตาย“พี่รอง ชะ...ช่วยข้าด้วย”“น้องเล็ก!”มู่หรูซื่อพยายามเอาตัวรอดจากโจรชุดดำนับสิบชีวิต เขาวิ่งหลบหน้าหลบหลัง ปากร้องเรียกพี่ชาย กระทั่งถูกจับตัวไว้ได้จึงออกแรงดิ้นขัดขืน มือข้างหนึ่งใช้มีดสั้นจ้วงแทงใส่คนที่ทำร้ายเขา ทว่าด้วยจำนวนคนที่มาก มู่หรูซื่อจึงเพลี่ยงพล้ำชายหนุ่มถูกจับลากไปตามพื้น และในขณะที่หวิดโดนฟันเข้าบริเวณหัวไหล่ ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายพลันทะยานเข้ามาแล้วใช้ฝ่าเท้าถีบใส่กลางหลังศัตรูเต็มแรง “น้องเล็ก หลบมาอยู่ด้านหลังพี่” มู่ชิงซานออกคำสั่ง ดาบในมือเขาฟันไปเบื้องหน้า ร่างคนร้ายซึ่งพุ่งเข้ามาถึงกับขาดเป็นสองท่อน โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วเมื่อกลุ่มชายชุดดำเห็นอย่างนั้นจึงปรับกลวิธีจัดการชินอ๋องจากต้าหลางใหม่“ถ้าไม่อยากให้ร่างกายแยกออกเป็นห้าส่วน จงถอยกลับไปเสีย” มู่-ชิงซานตวาดเสียงก้อง พวกที่ตั้งท่าอยู่จึงละ
ฟ่านรั่วเจี๋ยไม่ได้คิดว่านางจะต้องกระทำเรื่องน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนแต่เกาเจียวหั่วได้พบร่างของทหารต้าหลาง และคนผู้นั้นได้รับพิษประหลาดพิษซึ่งดูเหมือนจะมีต้นตอมาจากตำหนักเย็นที่นางอาศัยอยู่ “อาเจี๋ย เจ้ากระทำเรื่องใหญ่เกินตัว เช่นนี้หัวอาจหลุดออกจากบ่า!”“พี่หั่ว ข้าอยากบอกให้ท่านรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่ฝีมือสตรีผู้นี้ มีคนต้องการใส่ความข้า อีกอย่างพิษดังกล่าวคล้ายคนเป็นไข้หวัด ทว่ามันอันตรายถึงแก่ชีวิต ติดต่อทางการสัมผัสและไอจาม นี่คงเป็นเหตุให้ทหารต้าหลางล้มป่วยลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรเราต้องป้องกันคนของเราด้วย มิเช่นนั้นอาจเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่” “พี่เข้าใจ” เกาเจียวหั่วพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามต่อ“แล้วบุรุษที่เจ้าจับตัวไว้จะทำเช่นใดต่อ”“ชายผู้นี้ควรเป็นผู้นำทัพแทนพี่ชายเขา ส่วนมู่ชิงซานอ๋องปีศาจ หากหายสาบสูญไปได้ แผ่นดินนี้ย่อมเป็นสุข”“เฮ้อ เจ้ากำลังกล่าวเรื่องตลกอันใดอาเจี๋ย”“ฮึๆ เดี๋ยวพี่หั่วก็รู้ หากคาดการณ์มิผิด ตอนนี้บุรุษแซ่มู่คงกำลังคลั่งเหมือนหมาบ้า ด้วยกองทัพระส่ำระสาย และน้องชายยังตกอยู่ในมือผู้อื่น”“เจ้านี่มัน!” เกาเจียวหั่วยื่นมือหมายจะขยี้ผมเส้นเล็กดำละเอียดบนศีรษะของฟ่
“ฮ่าๆ เก่งกาจถึงเพียงนี้ หากไร้ประโยชน์ ในเมื่อบ้านเมืองของเจ้ากำลังจะล่มสลาย” มู่ชิงซานไม่คิดขู่สตรี เขาเพียงแต่เอ่ยความจริงเพื่อให้พวกนางเข้มแข็ง ดีเท่าไรแล้วที่มาพบกับเขา มิใช่พวกเผ่าคนเถื่อนที่นอกด่านหากพบเห็นสตรีเช่นนี้ ทั้งสามนางคงไม่แคล้วถูกย่ำยีราวกับเป็นหญิงจากหอนางโลม“ท่านอ๋อง ให้ข้าได้ปรนนิบัติท่านก่อนเถิด” จางหลิงเวยซึ่งเป็นลูกของพ่อค้าเอ่ย นางสืบเท้าเข้ามาหาชายหนุ่ม ท่าทางนางเป็นกุลสตรี แต่ก็ชวนให้เขารู้สึกเร่าร้อนจนเป้ากางเกงพองขยาย“เจ้ามีแซ่อันใด”“ผู้น้อยแซ่จาง นามว่าหลิงเวย”ชายหนุ่มทำเสียงคำรามในลำคอ เขาชมชอบความงามเพราะเป็นสิ่งที่สตรีพึงมี ทว่าหลายปีมานี้ไม่ได้ตบแต่งพระชายา ด้วยยังไม่ถูกใจใครเป็นพิเศษ อีกทั้งไอสังหารรุนแรงที่อยู่ในร่างกายเขาอาจทำให้ธาตุไฟแตกได้ง่ายๆหลายปีที่ผ่านมาจึงติดตามหาคนผู้หนึ่งที่จะมาช่วยทำให้เขาควบคุมสิ่งที่อยู่ในร่างกายให้เป็นปกติ กระนั้นของสวยงามริมทางเขาก็เชยชมมิขาด ด้วยมันช่วยทำให้เลือดลมสูบฉีด ลดอาการงุ่นง่าน“หากเจ้าแน่ใจที่จะรับใช้ข้า จงรีบปรนนิบัติเสีย”แม้จะทำใจดีสู้เสือ แต่จางหลิงเวยยังอดกลัวมิได้ นางค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเข
ความคิดแรกของมู่ชิงซาน ถึงอย่างไรก็ไม่อยากถอยทัพห่างจากกำแพงแคว้นหมิง ทว่าความอ่อนแอของทหารที่เขานำทัพสร้างความเครียดให้ชายหนุ่ม อีกทั้งสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นทุกที ซึ่งดูเหมือนฟ้าดินกำลังลงโทษเขา ดังนั้นมู่ชิงซานจึงต้องออกคำสั่งลงไปเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจเหล่าทหารกลับคืนยามนี้ ศพทหารเกือบสามร้อยนายเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าแผ่นดินเล็กๆกำลังเปิดศึกกับแคว้นหมิง โดยใช้หมอตำแยชั่วร้ายวางยาพิษ ใช่...เขาต้องควานหาคนผู้นั้นให้ได้ และนำเลือดของมันมาล้างเท้าชดเชยความผิดที่มันก่อขึ้น“อ๋องชิงซาน ข้าเกรงว่าตอนนี้ท่านก็ควรระวังชีวิตเอาไว้ด้วย เพราะหน่วยแพทย์ของเรายังมิอาจหาวิธีรักษาพิษดังกล่าว”มู่ชิงซานได้ยินเข้าพลันตบโต๊ะเสียงดัง เขาไม่กลัวตาย แต่ตอนนี้ความอ่อนแอของทหารต้าหลางทำให้เขาอยากสั่งโบยพวกมันให้เนื้อแตกเพื่อเลิกคร่ำครวญหามารดา“ใครป่วยก็ดูแล แต่ถ้าใครสำออยจงโยนมันลงหลุมแล้วฝังดินเสีย อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าอีก ต้าหลางยิ่งใหญ่เกรียงไกร จะมาพ่ายแพ้ต่อไข้ป่าเช่นนี้ได้หรือ”หยวนซางถอนหายใจออกมาหลายเฮือก เขาติดตามมู่ชิงซานมาหลายปีรู้ถึงความเลือดร้อนของอีกฝ่าย แต่ก็รักพวกพ้องยิ่ง หากยามนี้ดูเหมือนผ
บุรุษรูปงามที่ข้าจับตัวได้ฟ่านรั่วเจี๋ยกลับมายังตำหนักของตน เสียงเป็ดที่ร้องต้อนรับทำให้นางรู้สึกปลอดภัย จากนั้นนางจึงเปลื้องผ้าแล้วก้าวลงไปยังบ่อน้ำพุซึ่งก่อนหน้านี้ได้แช่สมุนไพรลับเอาไว้ อีกทั้งใต้บ่อน้ำพุแห่งนี้มีหินวิเศษและแร่ธาตุซึ่งช่วยทำให้ผ่อนคลาย แต่เหนืออื่นใดคือมันมีสรรพคุณช่วยทำให้ความอัปลักษณ์ของนางหายไป!นางหลับตาพริ้ม รู้สึกถึงความผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ขัดเนื้อขัดตัวกระทั่งรู้สึกสบายเนื้อตัวและหายปวดเมื่อยตามร่างกายก็ลุกออกจากบ่อน้ำพุ แล้วสวมใส่เสื้อผ้าในชุดสีเข้มๆ ประหนึ่งเป็นผู้ถือศีลกินเจ นางตรงไปยังกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปเพื่อพบคนผู้หนึ่งเสียงกระแอมไอดังลอดมาจากด้านใน นางจึงรู้ว่าเชลยที่นางได้พบเห็นตรงหน้าปากถ้ำฟื้นแล้วร่างทรงเสน่ห์ก้าวไปมองบุรุษที่นอนอยู่ใกล้ๆ กองฟืน นางมัดผ้าปิดตาเขาไว้ และยังฝังเข็มเพื่อไม่ให้เขาเคลื่อนไหวร่างกายได้“แม่นาง เป็นแม่นางผู้นั้นใช่หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ท่าทางเขาดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงกว่าเดิม บาดแผลต่างๆ ก็มีเพียงภายนอก ซึ่งมิอาจส่งผลต่อชีวิต“เหตุใดถึงไม่ตอบข้า” เขาถาม น้ำเสียงดูร้อนรนฟ่านรั่วเจี๋ยหัวเราะน้อยๆ นับว่าเขาไ