ดวงตาคมกริบมองสตรีตรงหน้า แม้นางจะดูผิดแผกจากผู้คนทั่วไปทว่ากลิ่นกายสาวและเลือดเนื้อที่ส่งไออุ่นมาได้สร้างความรัญจวนให้แก่เขาอย่างประหลาด หรือจะเป็นนางผู้นี้ที่มารดาอยากให้เขาตามหา
“อ๋องชิงซาน...สตรีเช่นข้ามีหน้าที่ส่งข่าวเพียงเท่านี้ หากต้องการรักษาชีวิตคน จงถอยทัพออกไปหนึ่งร้อยลี้ เช่นนั้นข้าจะส่งคืนชายผู้นั้นแก่ท่าน”
มู่ชิงซานคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดที่กล้าล่วงเกินตน และนางยังจงใจพ่นลมหายใจประหลาดออกมาจากจมูกใหญ่โตไม่หยุด ซึ่งไม่แน่ว่ามันอาจมีพิษร้ายซ่อนอยู่
“หากอดีตฮ่องเต้แคว้นหมิงแสดงความกล้าหาญได้สักเสี้ยวหนึ่งของเจ้า ข้าคงมีสิ่งให้กระทำมากกว่านี้”
หญิงสาวโกรธเหลือเกิน หากปั้นสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้เขาเห็นถึงความกลัวและอ่อนแอ
“แล้วเจ้าจะเสนอสิ่งใดเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าของป้ายหยกนี้”
ฟ่านรั่วเจี๋ยอมยิ้มน้อยๆ ดวงตาคู่สวยหวานเกิดประกายขึ้น
“ถอยทัพของท่านออกไปหนึ่งร้อยลี้ และข้าจะส่งบุรุษรูปงามคืน” นางย้ำคำเดิมด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าไม่เล่นกลอันใด มารยาหญิงเชื่อถือได้หรือ โดยเฉพาะสตรีที่มีรูปโฉมเยี่ยงตัวประหลาด”
ฟ่านรั่วเจี๋ยใช้เวลาตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ความบริสุทธิ์ของข้า คือข้อยืนยันว่าคำพูดทั้งหมดนี้เชื่อถือได้”
ดวงตาคมกริบหรี่มองสตรีตรงหน้า
“ฮ่าๆ เจ้ากำลังล้อข้าเล่น” ชายหนุ่มหัวเราะด้วยเสียงน่าเกลียด
“เปล่าเลย...ความบริสุทธิ์ของข้ามีไว้ให้สำหรับผู้ชายที่คู่ควร” นางยังย้ำด้วยถ้อยคำเดิม
“ฮ่าๆ ฉะนั้นข้ามิบังอาจพรากมันมาจากเจ้าหรอก มิมีวัน” เขากล่าวด้วยเสียงหนักแน่น แจ้งเจตนาตน
“ข้าจะจดจำถ้อยคำนี้ไว้ เมื่อใดที่ท่านคืนคำ สตรีแซ่ฟ่าน...จะทำให้ท่านกระอักออกมาเป็นเลือด!” เมื่อนางเอ่ยจบจึงเตรียมผละจากเขา
“เจ้าคิดว่าจะไปจากข้าได้ง่ายๆ เยี่ยงนั้นรึ”
ฟ่านรั่วเจี๋ยอมยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงชี้ให้เขามองด้านหลัง ยามนั้นมีควันไฟลอยขึ้น ต่อมามีเสียงเป่าเขากวางส่งสัญญาณเตือนภัยของทัพต้าหลาง
“จงอย่าลืมถอยทัพของท่านออกไปหนึ่งร้อยลี้ แล้วจะได้บุรุษผู้นั้นกลับคืน”
มู่ชิงซานมองหน้าหญิงสาวอีกครั้งอย่างพินิจ สตรีแซ่ฟ่านผู้นี้สร้างความฉงนแกมขวัญลุกให้เขาโดยแท้ อีกทั้งยังมีใจกล้าที่โยนเงื่อนไขให้เขาถอยทัพห่างจากกำแพงแคว้นหมิง
“เจ้ามั่นใจในสิ่งที่กล่าวออกมาเพียงใด”
“ชินอ๋อง คำพูดนี้สามารถพิสูจน์ด้วยความบริสุทธิ์ของฟ่านรั่วเจี๋ย”นางเอ่ยอย่างเป็นปริศนา และครานี้มู่ชิงซานไม่นึกขำสักนิด
หญิงสาวลูบหน้าอกตนเองไปมา อีกทั้งพยายามเรียกขวัญของตนเองกลับคืน เมื่อครู่นางตื่นเต้นจนแทบควบคุมสติไม่ได้ อีกทั้งกลัวเหลือเกิน ทว่าจะให้ทำเช่นไร ในเมื่อคนที่อยากพบหน้ากลับไม่พบ แต่ศัตรูที่อยากตัดศีรษะเอาเลือดชั่วๆ มาล้างเท้าจู่ๆ ก็ปรากฏตัวโดยมิได้คาดคิดมาก่อน บุรุษแซ่มู่และนางได้เผชิญหน้าเขาแล้ว เช่นนี้นับว่าไม่เสียชาติเกิด!!
ฟ่านรั่วเจี๋ยก้าวเข้าไปในซอกหินเล็กๆ นางวิ่งลัดเลาะไปอย่างรวดเร็วกระนั้นในหัวยังเห็นใบหน้าของปีศาจกระหายสงครามฉายซ้ำไปมา ชายผู้นั้นถูกขนานนามว่าเป็นหมาป่ารัตติกาล เขาสูบกินเลือดมนุษย์ เรือนกายสูงใหญ่กว่าคนธรรมดา แต่ทว่าตัวจริงๆ ของเขายามหายใจรินรดกันกลับไม่ได้ดูน่ากลัวหรือชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อสักเท่าไร อีกทั้งรูปงามมาก มากเสียจนนางรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณท้องน้อย
ชายผู้นี้คือมู่ชิงซานจริงหรือ ไฉนเขาถึงได้งามจนน่าหลงใหล นางรำพึงรำพันในใจ พลางพยายามเตือนสติตนเองมิให้เผลอไผลไปกับกลิ่นอายบุรุษ!แถมเป็นบุรุษชั่วใจโฉดที่คิดจะรุกรานแผ่นดินผู้อื่น
สองขาของนางก้าวไปได้อีกเล็กน้อยจึงพบกับกองกำลังของเกาเจียว-หั่ว หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ตั้งแต่เกิดมานางก็เรียกเขาว่า ‘พี่หั่ว’ และชอบเล่นสนุกกับเขาเรื่อยมา ด้วยชายหนุ่มเป็นลูกของอำมาตย์เกา ซึ่งสมัยก่อนได้ให้ความช่วยเหลือมารดาฟ่านรั่วเจี๋ยอยู่เนืองๆ กระทั่งฝ่ายนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้วเขายังยื่นมือมาดูแลสตรีผู้อับโชคคนนี้ด้วยความมีเมตตา
เมื่อเข้าไปใกล้กองกำลังเกาเจียวหั่ว นางจึงใช้ผ้าผืนหนึ่งพันใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้เพื่ออำพรางผู้อื่น น้อยคนนักที่จะไม่ตกใจเมื่อเห็นจมูกของนาง อีกทั้งรูจมูกเมื่อมองแล้วก็สร้างเสียงหัวเราะขบขัน ซึ่งมิผิดหรอกหากใครจะล้อเลียนนางว่า ‘แม่หมู’ คิดถึงคำพูดนั้นแล้ว ฟ่านรั่วเจี๋ยก็นึกแค้นใจต่อคนแซ่มู่!!
กระทั่งเข้าไปใกล้แนวกำแพงเมืองนางก็ส่งสัญญาณให้แก่เกาเจียวหั่วเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปดับ แม่ทัพหนุ่มของแคว้นหมิงก็ยิ้มกว้างอวดฟันขาวมาอยู่ตรงหน้านาง
“อาเจี๋ย เจ้าซุกซนอีกแล้วใช่หรือไม่”
“พี่หั่ว ข้าจะทำเช่นนั้นได้หรือ รู้ไหมข้าต้องเสี่ยงภัยสักเพียงใด แต่นับว่าทุกอย่างยังเข้าข้างเรา ชายผู้นั้นจู่ๆ ก็ปรากฏตัวให้ข้าเห็น ตอนนี้ข้าได้สั่งให้เขาถอยทัพลูกหมาห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้แล้ว” หญิงสาวกล่าวอย่างอวดอ้าง พลางนึกถึงใบหน้าของมู่ชิงซาน คนอย่างเขาให้ดีก็แค่ชอบขู่ ให้กัดจริงคงไม่กล้า!
“เจ้าหมายถึงทหารเลวของต้าหลาง”
“มิผิด รู้หรือไม่ ข้าจับตัวน้องชายของชินอ๋องชิงซานเอาไว้ เขาย่อมไม่อยากให้น้องชายผู้อ่อนแอสิ้นลมหายใจในมือของข้า”
แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เขายังตามฟ่านรั่วเจี๋ยไม่ทัน นางเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเล่าเรื่องต่างๆ อย่างรวบรัดให้เขาฟัง
“ข้าออกมาเก็บสมุนไพร และตั้งใจไปสืบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในวังอีกทั้งได้ข่าวว่าองค์หญิงใหญ่กำลังไม่สบายใจ นางถูกบีบบังคับให้ไปรับใช้...ปีศาจสงครามชิงซาน” ฟ่านรั่วเจี๋ยหมายถึงฟ่านเยี่ยฉี สตรีที่เป็นของกำนัลจากสวรรค์ นางเลอโฉมหาผู้ใดเทียบได้ เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่าของแคว้นหมิง
“มันช่างเหิมเกริม ไอ้ลูกหมาชิงซานตั้งใจลบหลู่เกียรติพวกเรา องค์-หญิงใหญ่คือไซซีแห่งแผ่นดินหมิง ไฉนจะทำตัวเป็นของเล่นคนแซ่มู่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจฟ่านรั่วเจี๋ยสั่นไหว นางอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมิได้ ผู้ชายทุกคนล้วนเห็นความงามของฟ่านเยี่ยฉีสำคัญต่อแผ่นดิน ส่วนสตรีที่อยู่ตำหนักด้านหลังวังกลับไร้ผู้เหลียวแล ถึงเก่งกาจเพียงใด แต่ในสายตาผู้ชาย ฟ่านรั่วเจี๋ยย่อมเป็นรององค์หญิงใหญ่ ใช่ เรื่องนี้นางรู้และเข้าใจ ผู้คนย่อมมองสตรีที่ภายนอก กระนั้นฟ่านรั่วเจี๋ยก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าเกาเจียวหั่วจะไม่เหมือนคนอื่น!
“เช่นนั้น ข้าจึงสั่งให้เขาถอยทัพออกห่างจากกำแพงเมือง”
“ทุกอย่างมันง่ายดายเช่นนั้น?”
ฟ่านรั่วเจี๋ยรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด แต่เขานับว่าเป็นบุรุษองอาจและกล้าหาญ อีกอย่างใครที่ได้ฟังนางกล่าวคงนึกประหลาดใจอยู่หลายส่วนที่หมาป่ารัตติกาลจะยกทัพถอยไปง่ายๆ
“ใช่ พี่หั่วฟังไม่ผิด ตอนนี้ในพวกทหารเลวของต้าหลางกำลังได้รับพิษบางอย่าง พิษที่จะค่อยๆ แทรกซึมทำให้พวกมันต้องถอยร่นไปจากกำแพงเมืองเรา” ซึ่งเรื่องนี้ฟ่านรั่วเจี๋ยได้รับการช่วยเหลือจากคนผู้หนึ่ง เขาตัดขาดความวุ่นวายของวังหลวงไปหลายปี กระนั้นเขาก็ยังรักบ้านเมือง ไม่คิดปล่อยให้ศัตรูบุกมาทำลายแผ่นดินเกิด
หัวคิ้วเข้มๆ ที่หนาและยุ่งอยู่สักหน่อยของเกาเจียวหั่วขมวดเข้าหากัน ดวงตาเรียวมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงขึงขังเจือด้วยคำตำหนินาง “แคว้นหมิงย่อมไม่เล่นสกปรกในการศึก หากกระทำเช่นนั้นนับว่าไร้ศักดิ์ศรี”
“พี่หั่ว ข้าเป็นสตรีที่แผ่นดินหมิงทิ้งไว้ให้อยู่เบื้องหลัง เป็นคนที่ใครๆอยากลืม แม้แต่หน้าก็ไม่คิดมอง ฉะนั้นย่อมไร้เกียรติอันใด การช่วยให้ท่านเอาชนะมู่ชิงซานด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ นับว่าสมควรที่เขาจะได้รับบทเรียนที่คิดชั่วต่อบ้านเมืองเรา”
เกาเจียวหั่วส่ายศีรษะ แล้วถอนหายใจติดกันอีกหลายหน
“เวรกรรมหนอเวรกรรม เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตอีกแล้วอาเจี๋ย!!”
มู่ชิงซานกลับมาถึงกองทัพของตนและหยวนซาง ผู้สงบนิ่งเป็นวิสัยมาโดยตลอดมีสีหน้าไม่สู้ดี อีกทั้งเดินรอบกระโจมเป็นวงกลมราวกับถูกมดรุมกัด
“หากยังไม่หยุดก้าว ข้าจะสั่งทหารตัดขาทั้งสองข้างของเจ้าเสีย”
กุนซือหนุ่มถอนหายใจหลายเฮือก สถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงมากอีกทั้งเขาต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นโดยด่วน
“โถ ชินอ๋อง เรื่องนี้มันเป็นภัยที่พวกเราไม่รู้จัก และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คราแรกนึกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่เหตุใดทหารจึงได้และเสียชีวิตนับร้อย!”
ผู้นำทัพต้าหลางขบกรามแน่น เขาพยายามคาดเดาไปต่างๆ นานากระทั่งภาพสตรีผู้นั้นปรากฏขึ้นในหัว สิ่งนี้เป็นลางบอกเหตุใช่หรือไม่ มู่ชิงซานอยากไขคำตอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
“แคว้นหมิงอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผัก ผลไม้ และเพาะปลูกได้ดี”
“ข้ารู้!” มู่ชิงซานตอบกลับด้วยสุ้มเสียงหงุดหงิด
“เป็นเช่นนั้น และยังมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย ที่สำคัญ...” หยวนซางเว้นจังหวะเล็กน้อย พลางยกมือลูบเนื้อตัวตนเอง
“เจ้าต้องการกล่าวถึงสิ่งใด”
“สมุนไพรบนแผ่นดินเล็กๆ นี้คือสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมายกลุ่มหมอตำแยมักดั้นด้นมาที่นี่ เพื่อค้นหาวัตถุดิบชั้นเลิศเพื่อปรุงยา ทั้งรักษาผู้คนและวางยาให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
“เหลวไหล เรื่องเหล่านี้มีแต่เขียนไว้ในนิทานหลอกเด็ก”
“หามิได้ชินอ๋อง ครั้งหนึ่งฮ่องเต้แคว้นหมิงได้สั่งจับตัวหมอยาและหมอตำแยมากมาย เพื่อสืบค้นถึงยาลับของสกุลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่ายาพิษชนิดนี้ยังคงมีอยู่ และได้รับการสืบทอดถึงลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้”
“ฮ่าๆ เจ้ากำลังหมายความว่า ทหารต้าหลางถูกมือชั่วลอบวางยางั้นรึ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น และการคาดการณ์ของข้าย่อมไม่ผิด” หยวนซางตอบ
“ฮึ คนชั่วช้าทำเรื่องบัดซบเช่นนี้ ย่อมเป็นชาวหมิง”
หยวนซางปั้นสีหน้ายุ่งยากใจ แล้วกล่าวตอบคนเป็นนายของตนว่า“ถ้าหากผู้ที่กระทำการดังกล่าวเป็นคนของต้าหลางเสียเอง ชินอ๋องจะสั่งตัดหัวพวกเขาหรือไม่!”
“นางงูพิษ!” ฟ่านเยี่ยฉีจ้องบ่าวชั้นต่ำเขม็ง ก่อนหน้านี้พยายามซื้อตัวจางฉีให้มาเป็นพวกเดียวกัน และคิดว่ากระทำได้สำเร็จ สุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวังจางฉียิ้มเยาะอีกฝ่าย ตอบว่า “องค์หญิงใหญ่ อ่อ...ไม่ใช่สิ ตอนนี้ท่านคงเป็นได้แค่กบฏไร้แผ่นดิน เมื่อก่อนข้าเป็นคนอับจนปัญญาอยู่มาก จึงกระทำความผิดต่อฮูหยินในค่ายทหารแคว้นหมิง ด้วยปล่อยให้คนของท่านที่ปลอมเป็นสิบสองเผ่าคนเถื่อนมาจับนางไป ตัวข้าสำนึกผิดในสิ่งที่ทำจนอยากฆ่าตัวตาย แต่ชินอ๋องให้โอกาสข้าแก้ตัวใหม่ ข้าจึงบอกกับตนเองว่าชาตินี้จะจงรักภักดีต่อฮูหยินและชินอ๋อง แม้ตายไปกลายเป็นผีก็จะอยู่รับใช้” ฟ่านเยี่ยฉีถลึงตาใส่จางฉี ก่อนกล่าวด้วยเสียงแหลมสูง“หึๆ หากรั่วเจี๋ยรู้ว่าเจ้าเคยวางยานางในกระโจมที่ค่ายทหาร ฮูหยินที่แสนดียังจะปล่อยให้นกสองหัวเช่นเจ้ามีชีวิตรอดอีกรึ”“ขะ...ข้าย่อมไม่ต้องการให้ฮูหยินยกโทษให้ เพียงแต่ข้าจะไม่ยอมทำผิดเป็นหนที่สอง ข้าอยากเป็นคนดี ไม่เหมือนเจ้าที่จิตใจสกปรก แม้แต่คนในสายเลือดเดียวกันยังคิดฆ่าให้ตาย” จางฉีเอ่ยแล้วนางก็โล่งใจ เรื่องทั้งหมดนางไม่เคยบอกฟ่านรั่วเจี๋ย แม้กระทั่งจางหมิ่นว่านางคือคนที่วางยาในกระโจมจนทำ
“ฮิๆ มีแต่พวกอ่อนด้อยและปวกเปียกราวกับเด็กน้อย”สิ่งที่หญิงหลังค่อมกล่าวย่อมไม่ผิด ก่อนหน้านี้นางได้วางยาพวกเขาในอาหาร ด้วยการหลอกใช้จางฉี ดังนั้นเมื่อองครักษ์ใช้กำลังภายใน พวกเขาจึงถูกพิษแทรกซึมเข้าสู่ร่างไม่ต่างจากจางหมิ่น“ตายเสียให้หมดทุกคน ชาวต้าหลางหน้าโง่!”หมอตำแยเผยธาตุแท้ให้เห็น นางกลายเป็นคนร้ายเต็มตัว และยังแสยะยิ้มน่าเกลียดอวดผู้อื่นฟ่านรั่วเจี๋ยแข็งใจฮึดสู้ รวบรวมแรงของตน นางล้วงเข้าไปในสาบเสื้อได้ยาลูกกลอนเม็ดสีเข้มมีกลิ่นรุนแรงคล้ายซากศพ ก่อนส่งให้จางหมิ่นเอาใส่ปาก จากนั้นจึงหยิบเข็มเงินของตนเล่มหนึ่งที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาปักเข้าบริเวณหลังใบหูจางหมิ่น“ฮูหยิน ห่วงตัวท่านเถิด บ่าวไม่เป็นอะไร” จางหมิ่นเอ่ยจบนางก็ไอติดๆ กัน ก่อนมีเลือดพิษสีดำข้นคลั่กถูกขับออกมาจากทางปากกองใหญ่“จางหมิ่น ข้าหาใช่คนเห็นแก่ตัว เจ้ากำลังจะสิ้นใจตรงหน้าข้าเช่นนี้จะเพิกเฉยได้หรือ” นางเอ่ยจบ จึงขยับตัวเพื่อหลบภัยหากเกิดการปะทะรุนแรงหยวนซางก้าวมาพร้อมองค์รักษ์ที่เหลือ เขาตั้งใจจับหญิงหลังค่อมซึ่งกลายเป็นนางมารร้ายแต่แรกหยวนซางสงสัยอีกฝ่าย ทว่าเขาไม่ได้มีทางเลือกอื่น จึงยอมให้นางแฝงตัวเข้ามาอย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางหมิ่นหาได้มีอาการตระหนก นางเคยช่วยมารดาคลอดน้องชายและน้องสาว รวมถึงยามติดตามกองทัพมักเกิดเหตุไม่คาดฝัน พบเจอสตรีที่คลอดบุตรหรือวัวคลอดลูกจนเกือบต้องเสียชีวิตทั้งแม่และลูกก็หลายหน ดังนั้นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้นางนิ่ง จึงช่วยให้ฟ่านรั่วเจี๋ยสบายใจ ไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ“ฮูหยิน ข้าอยู่ตรงนี้ ท่านอย่าได้เป็นกังวล”จางหมิ่นเอ่ยจบก็ส่งสัญญาณให้จางฉีและหมอตำแย ในขณะที่หมอตำแยได้ยินเช่นนั้น นางกุลีกุจอเข้ามาใกล้ๆ ฟ่านรั่วเจี๋ย เป็นคนท้องที่ต้องกลั้นหายใจเมื่อได้กลิ่นฉุนจัดจากร่างกายอีกฝ่าย กลิ่นดังกล่าวสร้างความกดดันแก่ฟ่านรั่วเจี๋ยจนมีอาการคล้ายจะวูบหลับและหมดสติ“เหตุใดแม่หมอท่านนี้ถึงมีกลิ่นประหลาดจนข้ารู้สึกหายใจไม่สะดวก”หมอตำแยเงยหน้ามองฟ่านรั่วเจี๋ย ดวงตานางบัดนี้ฉายความเย็นเยียบชัดแจ้ง และกล่าวเสียงติดๆ ขัดๆ จนคนฟังรู้สึกรำคาญ“ขะ...ข้าพะ...พกยาสมุนพะ...ไพรตำรับของต้นตระกูลมาด้วย ทะ...ท่านไม่ต้องหะ...ห่วง มันจะช่วยให้ท่านคลอดดะ...ได้ง่าย โปรดวางใจ”“แต่ข้ารู้สึกปวดศีรษะ” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยเสียงห้วนกระด้างพร้อมบีบมือจางหมิ่น แรงบีบของนางส่งผลให้จางหมิ่นเจ็บจนใบ
กระทั่งช่วงหัวค่ำ หมอตำแยกับจางฉียังไม่กลับมา เป็นยามนั้นที่ฟ่านรั่วเจี๋ยอดทนไม่ไหว นางหวีดเสียงดังลั่นและเหงื่อแตกท่วมร่างหยวนซางเดินวนไปมารอบๆ ปากถ้ำ เขาส่งคนออกไปตามหมอตำแยและจางฉี ซึ่งสิ่งที่ทราบในเวลาต่อมาทำให้เขาตกใจ“พอท่านป้าเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็มีควันขึ้น และเสียงดังเหมือน...เอ่อ ปืนใหญ่”“ระเบิดเยี่ยงนั้นรึ” หยวนซางไม่คาดคิดว่าหมอตำแยจะมีศัตรูที่ไหน“ใช่แล้วกุนซือหยวนซาง” จางฉีเอ่ยจบสีหน้านางก็ซีดสลด นางคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัว ตอนแรกยืนพูดคุยกับหลานของหมอตำแยที่เป็นหนุ่มน้อย พอเกิดเหตุร้ายขึ้นเหล่าองครักษ์ก็ได้สั่งให้นางระวังตัว“ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นที่แม่น้ำมีสาวๆ มาซักผ้า บ้างก็ตักน้ำกลับบ้าน ข้าสงสัยอยู่หรอก แต่ไม่ได้สังเกตสิ่งใดเป็นพิเศษ ส่วนองครักษ์ที่ตามไป พวกเขาช่วยสาวชาวบ้านขนน้ำและพูดคุยกันตามประสาคนหนุ่มคนสาว”“เรื่องนี้มีเงื่อนงำน่าสงสัย อย่างไรเราต้องระวังตัว” หยวนซางกล่าวเสียงขรึมจากนั้นหยวนซางจึงฟังรายงานจากองครักษ์ซึ่งเข้าไปตรวจสอบระเบิดและพบว่าหมอตำแยเสียชีวิตพร้อมสามีของนาง กระนั้นยังโชคดีที่หมู่บ้านนี้มีหมอตำแยอีกคนที่เพิ่งเดินทาง
มิได้เป็นเพียงมารดาฟ่านรั่วเจี๋ยไม่อยากให้คนในหมู่บ้านเล็กๆ ที่นางมาอาศัยต้องรับเคราะห์กรรมไปกับนาง หากคนที่ปองร้ายรู้ว่านางหลบอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อาจมีผู้บริสุทธิ์ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นนางจึงแข็งใจหลบไปอยู่หุบเขาที่มีชื่อว่าเผิงกวน ซึ่งด้านในมีถ้ำลึกและกว้าง อากาศก็ปลอดโปร่งเย็นสบายหุบเขาเผิงกวนอยู่ห่างออกไปราวๆ ห้าลี้ โดยจางหมิ่นพบสถานที่แห่งนี้ในตอนที่นางออกตามหาตือเมี่ยว ถึงแม้ถ้ำที่หุบเขาจะไม่สะดวกสบายเช่นจวนชินอ๋อง แต่ก็เป็นสถานที่ซึ่งนับว่าปลอดภัยมาก อีกอย่างด้านนอกเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกและลำธารใส พร้อมบ่อน้ำพุร้อนอยู่เหนือขึ้นไปเมื่อฟ่านรั่วเจี๋ยคิดอย่างถ้วนถี่ นางคาดว่าสามารถคลอดลูกที่นี่ได้ จวบจนร่างกายแข็งแรงจึงจะออกเดินทางไปยังเมืองฝูหนานตามที่มู่ชิงซานวางแผนไว้“พบอาเมี่ยวหรือไม่” ฟ่านรั่วเจี๋ยถามหยวนซาง แต่เขายังไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงเพียงแต่ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับมา“กุนซือหยวนซางไม่ต้องกังวล อาเมี่ยวเป็นหมูที่ฉลาด คงพลัดหลงไปไม่ไกล อย่างไรข้าฝากให้ตามหามันด้วย แต่ทั้งหมดนี้คงขึ้นอยู่กับฟ้าดิน หากได้พบกันอีกย่อมนับว่ายังมีวาสนาต่อกัน”“อาซ้อ…เชื่อข้าเถิ
“หรูซื่อ ดูเหมือนว่าวันนี้คนที่ต้องคุกเข่าให้แก่เด็กน้อยเช่นข้าย่อมต้องเป็นเจ้า”เมื่อเอ่ยจบ ทหารของเกาเจียวหั่วจึงกระจายกำลังโอบล้อมคนของมู่หรูซื่อ“ถ้ายังอยากมีศีรษะอยู่บนหัว จงปล่อยหมิงอ๋องเสีย” แม่ทัพเกาแจ้งความประสงค์“อยากได้ตัวเขาก็จงก้าวเข้ามา อย่ามัวแต่ร้องเสียงดังน่ารำคาญ”“จวิ้นอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ ลูกดอกที่ข้ายิงออกไปเมื่อครู่มันอาบยาพิษและยาพิษนั้นเป็นสิ่งสกปรกอยู่สักหน่อย”ได้ยินเช่นนั้นมู่หรูซื่อจึงครั่นคร้ามใจ เขาไม่คิดว่าตนจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกลอบกัดยังไม่พอ เกาเจียวหั่วยังกล้าข่มขู่เขาด้วยความประสงค์ร้าย“แคว้นหมิงมีแม่ทัพขี้ขลาดเช่นนี้ด้วยรึ ถึงขั้นใช้อาวุธต่ำช้าโจมตีผู้อื่น”“ฮ่าๆ เกรงว่าทั้งหมดนี้ข้าทำด้วยตัวข้าเอง มิเกี่ยวกับกองทัพ และลูกธนูนั้นข้าตั้งใจมอบให้แก่จวิ้นอ๋องเป็นพิเศษ เพื่อตอบแทนที่ท่านกล้าคิดทำร้ายแคว้นหมิง ทั้งที่พวกเราให้เกียรติท่านเสมอมา!” เกาเจียวหั่วเอ่ยจบก็หมายเข้าไปประชิดตัวมู่หรูซื่อ แต่เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่บุรุษรูปงามคิดแผนหนีเอาตัวรอด ระเบิดควันจากมือสังหารจึงทำงานทันทีแม่ทัพหนุ่มหัวเสียหนัก และรีบสั่งคนให้ออกติดตามอีกฝ่ายเพื่อช่ว